เรื่องเด่น เกร็ดธรรม คำสอน "รู้" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 1 พฤษภาคม 2017.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เอาเฉพาะเรื่องดับวิญญาณนะครับ..

    [๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงไม่มี เมื่อความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปไม่มี ชาติชราและมรณะ โสก ปริเทวทุกข โทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

    เป็นข้อศึกษาเฉยๆ ถ้าดูตามพระสูตรนี้ ก็จะเห็นว่าเป็นทั้ง มรรค (ทาง) และเป็นทั้ง ผล คือ ปฏิเวธ อันจะพึงปรากฏ คือความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล
     
  2. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :pอจ.วรณ์นิ...
    โอ้โฮ ยอดเยี่ยม ..ไล่จนพังเลย อิอิ (แกล้งบ้านะนี่)-เดี๋ยวโดนแว้งกัดนะ-อ้อโดนไปแล้วนี่ ..บอกแล้ว อย่าไล่ให้จนตรอก อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2017
  3. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    พี่เสขะ..ทิ้งเถอะ ตำราเดิมนะมันมั่วไปหมดอธิบายไม่ได้ เรียนแบบ อิทัปปัจจยะตา มีเหตุ-มีผล แบบ พุทธวจน..ไม่เอารึ
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นิดหนึ่งนะครับ ไม่นอกเรื่องเสียทีเดียว..

    ภาวนาติดพยาบาท ต้องระวังครับ ใครก็ตาม แค่นิวรณ์ ๕ เอาให้รอดก่อน ดูให้ออก ๆ สงบให้ได้ก่อน แล้วจึงจะไปถึงซึ่งความมีสมาธิตั้งมั่นได้

    "สมาธึ ภิกขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ

    ภิกษุทั้งหลาย เธอจงยังสมาธิให้เกิดเถิด ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง"
     
  5. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    เอาสิครับ..ขอเรียนสองแบบเลยได้ไหมครับ ถ้าสองตำราลงกัน ลงใจด้วย จะได้ไม่เสียทีเกิดมาเจอพุทธศาสนา ศึกษาแผนที่เข็มทิศแบกมาก็หนักก็นานจะได้เริ่มเดินทางตรงสักทีครับ..พี่เกิดนำเหนอมาเลยคับ สำหรับพี่ผมพร้อมเปิดหูเปิดตา เปิดใจรับฟังเสมอ
     
  7. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ขอความรู้ด้วยครับ

    หลวงปู่ไหนเหรอครับที่สอน ท่านสอนให้ใครเมื่อไหร่
    แล้วขอที่มากัณฑ์เทศน์หรือชื่อหนังสือด้วยครับ จะไปหาศึกษาฟังอ่านต่อครับ

    ขอบคุณครับ
     
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอเตือนว่า อย่าลืมเรื่องความไม่ประมาทครับ ตัวนี้ก็สำคัญไม่ใช่เล่น
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การดับวิญญาณที่ท่านนำมาเป็นการดับวิญญาณเพื่อมิให้เกิดขึ้นแห่งภพใหม่...ที่จริงแล้ว ยังมีสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ก็คือ แม้จะไม่คิด ไม่ดำริลงไปในสิ่งใด แต่ยังมีจิตฝังลงไปในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ เพื่อเป็นที่ตั้งขึ้นแห่งวิญญาณ ดั่งพระสูตรที่ลงไว้ในกระทู้ด้านล่างนี้ค่ะ

    http://palungjit.org/threads/อาการของสมาธิที่มีลักษณะจิตรวมเป็นหนึ่ง.611320/

    การดับวิญญาณนี้ เพื่อมิให่เกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ก็เป็น"สภาวะที่อยู่กับรู้" ของหลวงปู่ดุลย์ สอนไว้ค่ะ ไม่มีแม้กิรยาจิต จิตวางอุเบกขา อยู่กับสติ ไร้การปรุงแต่ง จึงเป็นสิ่งที่จิตไม่ฝังลงไปในสิ่งใด เพื่อมิให้การเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ในลักษณะดับวิญญาณตามพระสูตรที่กล่าวถึง....

    แต่ถ้าเป็นการดับวิญญาณอย่างถาวร เพื่อดับนามรูปในวงจรปฏิจสมุปบาท. ที่คุณสาสนีกล่าวถึงไว้ต้องเป็นสภาวะรู้ ที่รูัแจ้ง. คือ พบผู้รู้ ทำลายผู้รู้ ที่หลวงตาบัวสอนไว้ นั่นจึงเป็นการดับการเวียนว่ายตายเกิด หรือ ดับวิญญาณ เพื่อดับรูปนามในการหลุดพ้นค่ะ

    การดับวิญญาณน่ามีสองลักษณะ คือ ดับวิญญาณเพื่อมิให้เกิดขึ้นแห่งภพใหม่ กับดับวิญญาณเพื่อดับรูปนามพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อวิมุตติหลุดพ้น
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เกินภูมิปัญญาผมไปเยอะแล้วครับ :D
     
  11. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    " ผู้รู้ รู้แค่หลังฉาก "

    " ฟาดผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมาย "

    หากเข้าใจว่าเป็น ความหมายเดียวกัน
    ไฟล์ที่ 004
    ฟังได้ที่นี่ครับ http://www.fungdham.com/sound/sound.html
     
  12. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    วิญญาณตัวรู้แจ้งอารมณ์ก็เกิดจากสังขารคือการปรุงแต่ง คือปรุงแต่งทางความคิด ทางคำพูด ทางการกระทำ วิญญาณนี่จึงไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันหมดทุกคน ถ้าเราปรุงแต่งคิดลบมันก็รับรู้เกิดทุกขเวทนาตามมา ถ้าคิดบวกมันก็รับรู้เกิดสุขเวทนา แม้จะรับรู้สิ่งเดียวกันบางคนสุข บางคนทุกข์ อย่างฝนตกบางคนก็ชอบ บางคนไม่ชอบ นี่คือวิญญาณเกิดจากความคิด คืิอรับรู้ไปตามที่เราเชื่อ นักวิทยาศาสตร์ก็ว่าเชื่ออย่างไรก็จะเห็นไปตามนั้น แต่ความคิดนี่มันก็ไม่ได้เกิดจากความรู้ตัวเสมอไป เกิดจากความเคยชินที่ได้ปรุงแต่งเอาไว้แล้ว หรือสัญญาเก่านี่ส่วนมาก เราเคยมีประสบการณ์ถึงเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้อย่างไร ความคิดที่เกิดจากสัญญาเก่าก็เกิดขึ้นแบบนั้น เช่นฝนตกแล้วเสื้อเปียกและเคยเป็นทุกข์มา พอเจอฝนตกใหม่ก็ตอบสนองแบบเดิม อันนี้น่าจะเกิดจากความฝังใจเก่า
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

    เคย แย๊บไปแล้ว ครั้งนุง

    อุเบกขา อทุกขมสุข ก็จัดเป็น เวทนา

    พอเป็น เวทนาตัวนี้ ส่วนมาก เป็น วิบากจิต มันเลยยิ่งเฉยๆ
    เพราะ จิตมันพอระลึกได้ว่า ไปห้ามมันไม่ได้

    แต่เราไม่ได้ ภาวนาเพื่อไปห้ามมันเกิด [ ถ้าใช้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะ อะอื๊ม !! ]

    เราภาวนาเพื่อ ประจักษ์ อริยสัจจอย่างนึง คือ จิตมันเกิดดับ
    ของมันตลอด มันจึงแปรปรวนไปเรื่อย [ ถ้าใช้ กายคตาสติ จะอนุโลมง่าย
    ไม่ไปพยายามห้าม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่ให้แปรปรวน ]


    อุบายนำออกจึงอยู่ที่การเห็น ".........." เกิดดับ ( เน้นนะว่า อุบาย )


    หลวงปู่ดูลย์ จึงบอกว่า เรารู้อยู่ที่ "รู้"

    ทีนี้ กิจในอริยสัจจ อะไรหละ ที่ กำกับด้วย "รู้" [ พระป่าจึงนิยม ผม ขน เล็บ ฯ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2017
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ไม่ได้พยายามห้ามให้วิญญาณเกิดเป็นเพียงรู้การเกิดดับของขันธ์ 5 ขันธบรรพ

    http://oknation.nationtv.tv/blog/tonklathai/2016/11/19/entry-1
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก้ต้อง ทัก กันตามเทคนิค อะฮับ

    เพราะเวลานักภาวนา มาถึงจุดๆนึง

    จะคล้ายๆว่า เกิดอนุโลมญานเต็มแก่

    ซึ่ง ถ้าเกิดอนุโลมญานตามรู้จริง จะต้อง ผลั๊วะ จึดจึดจึด

    แต่ ร้อยละร้อย มันจะไม่ พลั๊วะ ก้เพราะติดที่
    จะไปอนุโลม ไม่ได้หมดเจตนา สมถะ ไม่ได้เริ่ม
    อย่างที่หลวงพ่อพุธ "บอกจุดนัดพบ"

    ก้จะ ทักกันทาง เทคนิค กันไป

    พอทักกันแล้ว หากยัง สัปปายะกันอยู่

    ก้จะบอกกันอีกว่า ลางทีก้เสื่อมไปเปนปีๆ
    กว่าจะมา อย่างนี้ อย่างนั้น ใหม่

    ถ้าค้างตลอด เหนตลอด ต้องสอดส่องดีๆ


    บัดนั้น ลาโลดดดดด
     
  16. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ใช่ครับ บางทีก็ลืมการเตือนกันสำคัญมาก
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เวทนาแบบไหนเกิด รู้ทันความยินดี/ยินร้าย ความพอใจ/ไม่พอใจอยู่ นี่ก็ถือว่าครอบคลุมหมดแล้วนะครับ ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก ภาวนาแบบติดโลภ ติดคิด อันนี้สุขเวทนา อันนี้ทุกขเวทนา อันนี้อุเบกขาเวทนา ระวังตัวหลังให้ดีอะไรแบบนี้ ไม่ต้องก็ได้ เพราะมันจะกลายเป็นภาวนาแบบติดคิด จิตหมกมุ่นไปโดยไม่รู้ตัว จะถูกตัณหาครอบงำเอาแบบไม่รู้ตัวได้ครับ

    รู้ไปตามเหตุปัจจัย เห็นทุกข์เห็นโทษไปตามเหตุปัจจัยนั่นแหละครับ จริงๆ แบบนี้จะทำการทำงานอะไร ก็รู้ได้ทั้งวันอยู่แล้ว เอาศีลมาช่วยเรื่องความเพียร มีสติ ศีล ๕ ทรงตัวดีแล้ว ก็เอากรรมบท ๑๐ มาสมาทานต่อ เป็นต้นครับ สมาธิในรูปแบบก็อย่าทิ้ง ทำวัตรสวดมนต์ พวกนี้ส่งเสริมความเป็นสัปปายะ เป็นคุณต่อการภาวนาทั้งนั้นครับ ผมว่าคุณน่าจะพอทราบดีอยู่แล้วล่ะ ส่งเสริมกันไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...