จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ...จริงๆร่วมบุญเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐมมาหลายรายการแล้วครับ..
    ..เพราะว่าศรัทธาพระองค์ท่านมากครับ..
    ..
    ..จะบาปหรือเปล่าหนอ ผมชอบมองพระพักตร์ท่านภาพที่พระองค์ท่านที่วัดท่าซุง
    ..เพราะสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
    ..ราวกับเทพเทวดาท่าน มาปั้นแต่งพระพุทธรูปเอง
    ..
    ..เป็นพระพุทธรูปที่คล้ายมีความรู้สึก
    ..มองไม่เบื่อเลย มองแล้วทุกข์ก็จางหาย
    ..มองแล้วใจสงบ ใจเป็นสุขจริงๆ
    ..บางทีก็กราบไหว้บอกท่านว่า ตายแล้วขอพระองค์มารับลูกไปด้วยเถอด เพราะเบื่อโลกมนุษย์นี้แล้ว
    ..
    ..อิอิ...
    ..ขออนุโมทนาสาธุๆด้วยนะครับ สาธุๆๆๆ
     
  2. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    คำว่า ละ ตัด ทิ้ง กิเลสหรือขันธ์๕แห่งตนนั้น

    ที่จริงแล้วต้องพูดว่า เราต้องหาจุดที่อยู่เหนือธรรมทั้งปวงให้ได้ เช่น เหนือคำว่ากิเลส เหนือขันธ์๕

    จิตเท่านั้นเป็นคนที่ออกมาจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เพราะแม้นกระทั่งตัวนามละเอียดยิ๊บๆที่สุด ได้แก่
    วิญญาณขันธ์(จิตหรือตัวผู้รู้ๆๆๆ)นั้น เราก็ต้องไม่เอา ก็หมายความว่า เราจะต้องออกมาจากที่ว่ามานี้
    เพราะคำว่า นิพพาน ไม่ว่าจะเป็นพระอริยเจ้าท่านใด ต่างก็กล่าวธรรมเป็นตัวเดียวกันหมด
    เช่น คำว่านิพพาน ใครจะไปก็ได้และไปได้ทุกคนด้วย แต่มีข้อแม้นอยู่นิดเดียว
    (จริงๆแล้ว ไม่นิดเดียว เพราะผู้ปฎิบัติบางท่านมีมีกำลังใจยังไม่มากพอ ก็ละได้ยากหรือออกมาจากสิ่งนั้นๆได้ยาก)

    ผู้ที่มีสิทธิ์ไปอยู่นิพพานถาวร นอกจากละขันธ์(ตาย ) สิ่งที่ต้องมีไว้เป็นกรรมสิทธ์ก่อนตาย คือ
    คำว่า ทุกข์ ต้องตัดออกไปก่อนเลย เมื่อเราตัดได้แล้ว จึงตัดคำว่า สุข คือของทุกคนที่ชอบใจนั้น ให้ได้
    แต่จะตัดสุขโดยตรงมิได้ หรือตัดตัว สังขารขันธ์ โดยตรงมิได้ นอกจากเราออกจากตัว วิญญาณขันธ์คือจิต ของตนให้ได้ก่อน
    ส่วนที่เหลือก็จะหลุดออกไปทั้งหมด นั่นแหละ
    จิตเราก็จะออกมา อยู่เหนือ ขันธ์๕ เหนือทั้งทุกข์ และ สุข

    ความหมายจริงๆของคำว่า ละหรืออยู่เหนือขันธ์ ๕ นั้น ก็คือ...
    การแยกจิตออกมาจาก รูป๑ นาม๔ ของตน เท่านั้นเอง


    ตราบใด เรา(จิต)ยังละ ยังตัด ยังอยู่เหนือขันธ์๕ ของตนเอง มิได้
    เพราะฉะนั้น สิ่งที่อยู่ข้างนอกกาย ข้างนอกใจของตนเองนั้น ก็ยังละไม่ได้เช่นกัน

    อย่าไปเสียเวลา หรือพยายามละมันเลยกับสิ่งภายนอกกายและใจของตน
    เพราะเราไม่สามารถจะไปบังคับ ขัดขืน ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ใดๆได้เลย เพราะทุกสิ่งล้วน อนัตตา
    คือเรามิอาจทำตามใจเราทุกสิ่งหรือทุกอย่างให้ไปตามใจของเราได้เลย
    เพราะฉะนั้น ก็อย่าไปคิดเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ภายในจิตของเราเลย เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้

    แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่จะพอเปลี่ยนได้บ้าง นั่นก็คืิอ จิตของตนเอง
    จำไว้เลยว่า ตราบใดจิตเรายังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ไม่ได้ เราก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงใดๆได้เลย
    ยิ่งใครคิดจะไปเปลี่ยนแปลงใดๆ สิ่งที่อยู่ภายนอกจิตของตนเอง เห็นมีแต่จะเป็นทุกข์ลูกเดียว
    อยากทุกข์ ก็คิดเปลี่ยนแปลงคนนู้นน คนนี้เข้านะ
    แต่ถ้าเป็นสุขก็คิดเปลี่ยนแปลงตนเอง ใหไปทิศทางที่ดี คือเป็นบุญกุศลอย่างเดียว


    แต่ถ้าจิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีได้แล้ว ต่อไป วิชั่นหรือวิสัยทัศน์ของเราก็มีแต่บุญกุศลไป
    ผู้ที่บอกว่ากรรมฐานนั้น ไม่ยากหรอก เพราะกำลังใจมีมาก
    แต่ผู้ที่มีกำลังน้อยก็บอกว่า กรรมฐานนั้น ทำยาก
    ก็เลยสวนทางกันไปมา เหตุเพราะกำลังใจอย่างเดียว

    ถ้าคนส่วนใหญ่รู้ว่า บุญใหญ่คือบุญภายใน คือบุญกรรมฐานกันนะ ป่านนี้
    ไม่พากันรักษาศีล หรือไม่ก็พากันปฎิบัติธรรมเต็มบ้าน เต็มเมืองไปแล้วหรือ
    แต่ถ้ามิใช่เป็นเพราะว่ากำลังใจหรอกหรือ
    รู้หมด รู้ทุกคน ว่า ทำบุญแบบไหนถึงจะได้บุญใหญ่
    แต่ถ้าใจเราไม่พาทำ กายหรือจะไปทำเองได... หมายถึงการปฎิบัติธรรมนะ


    โมทนาสาธุ ขอให้ผู้ปฎิบัติทุกคน นำจิตของตนไปตั้งอยู่แต่เฉพาะฝ่ายบุญกุศลลูกเดียว
    โดยเฉพาะ สำรวมจิตให้ได้ดั่งพระอริยสงฆ์..สาธุ


    ภูทยานฌาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2013
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  4. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เกิดตาย เมื่อเราเกิดมาแล้วโยม ก็คือเราตายแล้วนั่นเอง ความแก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ เหมือนกับต้นไม้ อันหนึ่งต้น อันหนึ่งปลาย เมื่อมีโคนมันก็มีปลาย เมื่อมีปลายมันก็มีโคน ไม่มีโคนปลายก็ไม่มี มีปลายก็ต้องมีโคน มีแต่ปลายโคนไม่มีก็ไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น…. หลวงปู่ชา สุภัทโท
     
  5. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เมื่อคืนฝันมากมาย มีอยู้ตอนนหนึ่งฝันว่า เรามองและยอมรับกิเลสต่างๆก้อนโต จำไม่ได้ว่าอะไรบ้าง แต่ในฝันคิดว่าฉันจะทิ้งเธอละนะ ตัดใจแล้วในฝันก็รู้สึกปลอดโปร่งมาก ตื่นมาก็ยังจำความรู้สึกได้ แต่ตอนนี้จำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ขอให้ฝันเป็นจริง สติบอกว่าฝันจะเป็นจริงไม่ได้หากเจ้าไม่เพียรปฏิบัติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2013
  6. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส สามประโยคสั้นๆ ดูไปก็คล้ายเบื้องต้น เอ๊ะ ดู๐ๆไปไหงคล้ายเบื้องปลาย ดูๆไปเหมือนง่าย แต่
    ไหงดูอีกที กลับเป็นยาก วานผู้รู้ไขข้อธรรมนี้ด้วยเถิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      182.3 KB
      เปิดดู:
      58
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2013
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไม่สูญ พระอรหันตสาวกนิพพานแล้วไม่สูญ ยังเมตตาเสด็จมาโปรดได้

    พระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก สมเด็จพ่อองค์ปฐม พระท่านยังเมตตามาสอนมาโปรดได้เลย

    ทำไมพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ พระอรหันตสาวกทั้งหลายจะเสด็จมาเมตตาโปรดลูกหลานไม่ได้ พ่อฤาษีท่านก็ยืนยันว่ามาได้

    สมเด็จพ่อองค์ปฐมและอีกหลายๆ พระองค์เสด็จไปที่ท่าน นิพพานแล้วไม่สูญนี่ ท่านยังอยู่ ยังมาโปรดมาสอนมาเมตตาได้

    แต่การมาของพระท่านนี่สิที่ไม่เหมือนเดิม ท่านจะมาโปรดมาเชื่อมต่อสายใยเดิม

    มาเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องผูกพันธ์กันมาก่อน จะเนื่องด้วยเป็นลูกเป็นหลานก็ดี

    นี่แหละที่เฉพาะบุคคลไม่เหมือนทั่วไปเท่าไหร่นัก ใครกำหนดกันเล่าว่านิพพานแล้วสูญ นิพพานแล้วมาไม่ได้

    ขอเปรียบบุคคลที่นิพพานแล้ว อุปมาว่าเป็นคนพ้นคุกพ้นโทษไปแล้วกัน

    บุคคลที่พ้นทุกข์พ้นโทษพ้นคุกไปแล้ว ยังสามารถแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมบุคคลที่ยังติดอยู่ข้างในได้


    ฉันใดก็ฉันนั้น พวกขี้คุกก็พวกเรานี่แหละที่ยังตายเกิดๆ กันร่ำไป ชอบติดคุกติดตาราง ไม่คิดพ้นหาทางออกจากทุกข์นัก

    ในเมื่อบุคคลที่พ้นไปแล้ว เขารู้ทางพ้นรู้วิธีทำให้พ้นรู้โทษรู้ภัยของการติดคุกแล้ว เขาก็ไม่คิดจะกลับเข้าไปข้างในอีกแล้ว

    แต่ยังมีความเมตตาเพราะเข้าถึงใจคนคุกมาก่อนแล้ว จึงแวะเวียนเข้ามาเยี่ยม มาพูดคุย บอกต่อแนะนำ

    แนวทางวิธีพ้นคุก พ้นทุกข์ พ้นโทษ พ้นเครื่องจองจำถาวร ถึงวิธีปฏิบัติตนเช่นไรให้พ้นจากสิ่งเหล่านั้นได้

    ในเมื่อลูกหลานท่าน สายใยสายสัมพันธ์ท่านยังติดคุกอยู่มากมาย ท่านด้วย

    ความเป็นผู้เมตตาสูงสุดด้วยความบริสุทธิ์หมดจดหมดสิ้นแล้ว บริสุทธิเมตตาคุณล้วนๆ

    ท่านจึงมาเยี่ยมมาหาลูกหาหลานท่านก่อนเป็นลำดับแรก เพราะรู้จักกันมาก่อนแล้ว ง่ายต่อการติดต่อพูดคุย

    เมื่อมอบให้ลูกให้หลานแล้ว ท่านก็แนะนำ หยิบยื่นส่งต่อ ให้บุคคลอื่นๆ ที่ยังติดคุกโทษทุกข์อยู่ โดยผ่านทางลูกทางหลานของท่าน ส่งต่อเป็นทอดๆ

    ใครรู้ทางพ้นแล้วก็เอาตนเองให้รอด ในขณะที่ทำตนปฏิบัติตนให้ถึงซึ่งความพ้น ก็ด้วยความเมตตาของพ่อผู้มาโปรด ส่งเป็นทอดๆ ต่อไปยังบุคคลอื่น

    รอบข้าง และยังต่อไปเรื่อยๆ เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่นะความเมตตาของผู้ที่พ้นคุกโทษทุกข์ไปแล้ว

    จะพากันเข้าใจได้ถึงไหน เมตตาท่านประมาณไม่ได้ ท่านพ้นแล้วเป็นอิสระจะไปไหนมาไหนก็ย่อมได้ ง่ายนิดเดียว รู้แค่ว่าท่านทำได้ของท่านก็แล้วกัน"



    สัพพะ พุทธะ สัพพะชยันโต

    ที่มา ...FB ลูกพระพุทธ บุตรพระธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2013
  8. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    จิตพร้อมรับภัยภิบัติกันหรือยังคะ

    มาเตือนจิตเตือนใจและเตือนตนเองอีกหน

    ............................................................................
    ภูทยานฌาน2
    --------------------------------------------------------------------------------


    ข่าวดี!!!
    สำหรับผู้ที่ยังรู้สึกว่าตนเองยังมีทุกข์อยู่
    จะเป็นทุกข์ด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
    ท่านไม่ต้องบอก และพวกเราก็จะไม่ถามท่านด้วย
    เพราะสมาชิกกลุ่มจิตเกาะพระนี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความทุกข์ ความสุข
    แม้นกระทั่งภัยพิบัติธรรมชาติที่กำลังจะมาถึง
    แต่เพื่อนๆสมาชิกปฎิบัติการจิตเกาะพระ พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกๆดวงจิตเท่าเทียมกันหมด
    โดยมิได้เลือกว่าท่านคือใคร ช่วยโดยไม่เคยเห็นตากันด้วยซ้ำไป
    และไม่เคยถามว่าท่านเป็นใคร ท่านอยู่ที่ไหน รวยหรือจน
    แต่พวกเราสนใจดวงจิตที่กำลังเป็นทุกข์ ที่อยู่ภายในกายของท่านนั้น ต่างหาก

    แต่ให้ความสำคัญ หรือสนใจจิตเกาะพระ เกาะพระนิพพานกันอย่างเดียว
    พวกเรา(จิตเกาะพระ)ยังไม่ทันตาย ก็เป็นสุขอย่างยิ่ง
    ร่ายกายอยู่ต่อไปก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้ คือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
    เพราะต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้ว แต่เราพร้อมแล้ว และพวกท่านหล่ะ! จิตพร้อมกันไหม๊?
    ถ้าภัยพิบัติมาจริงๆ และทำใจกันได้ไหม๊? กับที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ลูกๆ ญาติๆ และสมบัติต่างๆนั้น

    กายนี้ไม่เที่ยง จักต้องตายอย่างแน่นอน แต่จะตายช้า หรือเร็วเท่านั้นเอง

    เพราะภัยพิบัติธรรมชาตินั้น ไม่มีผู้ใดยับยั้งมันได้
    เพราะฉะนั้น พวกเรามาฝึกจิตกันไม่ดีหรือ???
    พวกเราอย่ามัวไปรอลุ้นว่า ถ้าภัยพิบัติมันเกิดขึ้นจริงๆ
    แล้วตัวเรา พ่อแม่ พี่น้อง ลูกๆ ญาติๆของเราจะรอดไหม๊?
    ใครรอด ใครไม่รอดนั้นไม่สำคัญ อย่ามัวเสียเวลาลุ้นกันเลย จิตเสียเปล่าๆ

    เพราะถ้ากายรอด แต่จิตท่านรอดกันไหม๊???
    แต่ถ้ากายรอด แต่จิตไม่รอด หมายถึงเป็นบ้า เป็นบอ อย่างนี้ท่านไม่เท่ากับตายทั้งเป็นหรือ???
    แล้วท่านจะอยู่ได้อย่างไร
    ในเมื่อคนที่รู้จักท่าน คนในครอบครัวหรือญาติๆของท่านตายไปหมด
    แล้วใครจะมาดูแลท่าน ในเมื่อจิตท่านเป็นบ้าๆ เป็นบอๆ ท่านเองก็ไม่สามารถดูแลร่างกายของท่านได้

    ลองไปคิดกันดูใหม่นะ

    ยังพอมีเวลากันอยู่
    (แต่ไม่น่ามากแล้วนะ)
    ทั้งคนธรรมดา คนมีญาณ พระอริยเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้นกระทั่งธรรมชาติก็ยังออกมาเตือนกันอยู่บ่อยๆ

    ที่พูดนี่มิใช่ให้กลัว หรือตื่นตูม ตระหนกตกใจกันนะครับ
    บอกเพื่อเตือนกันให้ตื่นตัว ให้ตระหนัก เตรียมพร้อมทั้งกายและใจ
    อย่าประมาท
    คืออย่าเตรียมพร้อมแต่กายเพียงอย่างเดียว
    ขอให้เตรียมจิตใจกันด้วย

    เพราะจิตกับกายนั้น จิตสำคัญที่สุด
    กายตาย แต่จิตไม่ได้ตายตามกายไปด้วย แต่จิตต้องไปต่อ
    และมีเพียงแต่บาปกับบุญ(เท่านั้น)ที่ติดตามดวงจิต ดวงวิญญาณของตนไป
    พ่อแม่ พี่น้อง ลูกๆ ญาติๆ หรือสมบัติต่างๆ มิได้ไปกับเราด้วยนะ
    แล้วท่านจะมาห่วงอะไรกันอีก???
    ถึงท่านเป็นห่วง ท่านก็มีแต่เป็นทุกข์ใจเท่านั้น และจิตไปจุติสุคติภูมิกันไม่ได้ เพราะเหตุคำว่า "ห่วง" นั่นเอง
    (จิตหลงชั่วขณะ นั่นเอง! ไม่มีอะไรหรอก)

    เรื่องที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ จะเป็นจริงเท็จอย่างไร ก็ขอให้ไปถามพระอริยเจ้ากันเอาเอง
    ว่าคนเรานั้น ที่หลงกันมาเกิดนั้นนับชาติไม่ถ้วน
    เผลอๆศัตรูกัน หรือฝ่ายตรงข้ามกับตนเองนั้น อาจจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ลูกๆ ญาติๆ ของท่านเมื่อชาติที่แล้วก็เป็นได้ เพราะกรรมกระทำกันมา
    Share
    Share this post on Digg
    Del.icio.us
    Technorati
    Twitter
    | Like
    --------------------------------------------------------------------------------
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ภูทยานฌาน2 : 15-04-2012 เมื่อ 09:48 AM
     
  9. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    Wittayapon
    --------------------------------------------------------------------------------

    ว่าจะแอบอ่านอย่างเดียว แต่จิตท่านบอกให้เขียนสะ เลยขอเขียนนิดนึงนะครับ จากผู้ที่กำลังคลุกฝุ่นเดินทางอยู่

    ทุกท่าน เหนื่อยและหนักกับภัยภิบัติใช่หรือไม่

    ทุกข์ทั้งกายและใจ

    ห่วงว่าจะทำเช่นไรดี จะเกิดเมื่อไหร่ เกิดแล้วเราจะเป็นเช่นไร เราจะรอดไหม ครอบครัวเราจะเป็นเช่นใด

    ผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย ก้อเครยดจะทำเช่นไรกับทรัพย์สมบัติ จะไปย้ายหนีไปที่ใดดี ต้องไปหาที่ หาบ้าน หาที่เก็บทรัพย์ หาอะไรต่อมิอะไรอีมากมาย เหนื่อยใช่ไหมครับ(ถ้าท่านบอกไม่เหนื่อย ผมว่าท่านกำลังหลอกตัวเอง)

    สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีกำลังทรัพยเช่นผม ก้อเครียดใช่ไหม เราจะเอาเงินทองที่ไนมาเตรียมการองรับ เราจะหนีไปอยู่กับใครดี เราจะไปอย่างไร เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร ถ้าตกงาน
    และถ้าๆๆๆๆๆๆ อีกมากมาย

    วิตก กังกล ไม่สบายใจ ห่วง หวาดผวา เครียด ทุกข์ไหมครับท่านๆ

    ท่านเคยคิดไมครับ ทำไมเรายังทุกข์ ไม่ว่าจรหรือรวย ทุกข์มดใช่ไหมครับ ม่มีใครพ้นทุกข์ไปได้ จริงไหมครับ

    เราลืมไปไหม เราส่งจิตเราไปจับกับภัยพิบัติมากไปหรืเปล่า จนเราทุกข์(ใครมีศักยภาพก้อทำไปครับ ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ)

    เราต้องมาทนทุกข์เพราะอะไร เพราะเรายังต้องกลับมาเกิด มาทนทุกข์ครั้งแล้วเล่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกกี่ครั้ง ถึงจะพอ

    สัมภาระภายนอกมันหนักไหมครับ นักก้อปล่อยครับ วางลงบ้าง แล้วมาลองดูสิ เราจะแก้อย่างไร ความทุกข์มาจากไหน จิตเราทุกข์ หรืออะไร ลองคิดดูครับ

    ลองปรับมุมนิดนึง อย่าไปวิ่งกับสิ่งภายนอก กลับมาที่ตัวเรา มาที่จิตเรา ตายแล้วจะทำไม รอดแล้วดีอย่างไร ถ้าท่านจะรอดมันก้อคือต้องรอดครับ

    รอดแล้วเป็นคนบ้า สติวิปลาส จะอยู่เพื่ออะไร มีประโบชน์หรือไม่ โปรดตรองดูเถิดท่านทั้งหลาย

    ตายแล้วจิตอยุ่กับพระ ดีกว่าไหม หรือให้ดียิ่งขึ้นไป ไม่กลับมาเกิดเลยดีไหม โปรดตรองดู

    อยู่กับพระ อยุ่กับธรรมชาติ อยู่แบบปกติ ทุกอย่างที่เกิด ก้อต้องดับไป ต้องผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่ถาวร

    จิตเกาะพระ ทำให้จิตของเราอยู่กับพระพุทธองค์ แล้วเราจะกลัวไปใยกับแค่ความตาย
    รอกแบบมีคุณภาพ หรือ ตายแล้วปอยู่ในภพภูมิที่ดี ดีไหมครับ ไม่ต้องตอบผม แต่ขอให้ท่านตอบตัวเอง แล้วคิดตรองดู ชอบแบบไหน แล้วทำเลยครับ อย่าลังเล

    มีไม่กี่คนที่ได้เห็นได้อ่าน ได้มีโอกาสเรียนรู้

    ปลดเปลื้องภาระภายนอกอันรุงรังเถอะครัล

    หนักและเหนื่อยมามากพอแล้วท่านทั้งหลาย

    จิตของเรากายของเรา มีแค่นี้ อยู่ที่นี่และครับ

    ผมก้อพยายามอยู่ครับ กำลังเรียนรู้ และก้อยังไม่รู้จะไปได้ถึงจุดไหน

    แต่ขอบอกไว้ อย่าทำเล่นๆ ต้องจริงจัง มีความเพียร ทำจริงๆ แล้วท่านก้อจะได้จริงๆ

    ขอผลบุญที่ผมได้ทำมา มอบให้ทุกท่านครับ

    ของดีมาแล้ว จับเอาไว้ครับ

    ทุกอย่างมีที่ไปมีที่มา ธรรมะจัดสรรแล้ว

    อย่าพลาดนะครับท่านผู้ใฝ่ธรมทุกท่าน

    สวัสดีครับ
     
  10. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เผื่อท่านที่มาใหม่และอ่านช่วงต้นๆยังไม่หมดค่ะ

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ภูทยานฌาน2 อ่านข้อความ
    สวัสดีครับ
    ยินดีต้อนรับทุกๆดวงจิตนะครับ
    ถูกต้องแล้วครับผม รับทุกดวงจิต และจะไม่ถาม ไม่มานั่งซักถามประวัติกัน หรือมาถามว่าท่านได้รับทุกข์อะไรมา
    ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน การเงิน หรือความรัก ไม่ต้องมาถามกันให้เสียเวลา
    ปิดประตูความทุกข์ของคุณไปกันตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย และเริ่มปฎิบัติการจิตเกาะพระกันต่อไปเลย ทิ้งมันซะ ลืมมันไปซะ สำหรับอดีตหรืออนาคต
    มีแต่ทำ หรือธรรมปัจจุบัน และนับต่อจากนี้ไปขอให้ตั้งใจกระทำกรรมดี ที่เป็นฝ่ายบุญกุศลกัน(เท่านั้น)
    เพราะกรรมในปัจจุบันทั้งดี ทั้งไม่ดี มันจะส่งผลในอนาคตอย่างแน่นอน
    มีหลายท่านมากที่ชอบไปพึ่ง หรือชอบไปอุดหนุนหมอดู(อาชีพ) เพราะหมอดูก็ต้องดูที่กรรมของผู้นั้นว่า กระทำกรรมดีหรือไม่ดี จะมาทายตามใจชอบของหมอดู หรือตนเองก็ไม่ได้ เพราะกรรมเท่านั้นจะเป็นผู้กำหนดชตาชีวิตของคนเรา
    ง่ายนิดเดียว ถ้าตนเองอยากดีขึ้น หรือร่ำรวยขึ้น เราต้องทำกรรมดี หรือทำบุญมากๆ หรือทำความดีมากกว่าความชั่ว และวันหน้าท่านจะดีขึ้นอย่างแน่นอน

    กระทู้นี้มิใช่เปิดเพื่อเฉพาะกิจใด กิจหนึ่ง แต่จะเปิดเพื่อรองรับดวงจิตที่กำลังหลงเดินหลงทางกันอยู่ ณ.ขณะนี้
    มาช้าดีกว่าไม่มา หรือรู้สึกตัวช้ายังดีกว่าไม่รู้สึกตัว ลองมาปฎิบัติกันดูก่อน ก่อนที่จะสงสัย
    ท่านคิดว่าพวกผมมาหรอกกันหรืออย่างไร ที่มาบอกว่าให้จิตทุกท่านจำพระ หรือว่าจิตเกาะพระ(พระพุทธเจ้า หรือพระอริยเจ้า)
    จงอย่าเข้าใจกันผิดนะว่า ผมพยายามสร้างอัตตาขึ้นมาใหม่ อันนั้นคนละเรื่อง เพราะบอกไปแล้วว่า ตามลำพังตนเองนั้นมีกำลังใจไม่พอ จึงต้องนำจิตไปเกาะพระไว้ก่อน เพื่อให้มีกำลังใจในการปฎิบัติธรรมกันมากขึ้น
    สำหรับนักภาวนาท่านอื่นๆก็เหมือนกัน ก็ทำกันได้ แต่ถ้าท่านภาวนามาหลายปีแล้ว แต่ไม่ค่อยจะก้าวหน้า หรือไม่เจริญในธรรมสักที เพราะจิตทรงสมาธิ ทรงฌานไม่ต่อเนื่อง เพราะต้องอาศัยกายหยาบไปทำ ไปปฎิบัติกัน เพราะต้องรอเวลาว่าง ลางานก่อนจึงจะไปปฎิบัติกันได้
    พอดีกัน ในระหว่างที่ท่านกำลังรอๆๆกันอยู่นั้น จิตขาดช่วง ขาดตอน จิตก็เลยขาดสมาธิ ขาดฌานตามไปด้วย และท่านต้องมานั่งเริ่มต้นนับศูนย์กันใหม่ พอดีจิตกำลังจะนิ่ง กำลังสงบ เวลาปฎิบัติก็หมดอีกแล้ว เห็นมั๊ยครับ!

    ในขณะนี้ สมาชิกในกลุ่มจิตเกาะพระ กำลังแนะให้พระภิกษุบางรูป คือให้พระทำจิตเกาะพระ แต่ท่านก็ระลึกถึงพระรัตนตรัยประจำอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงได้ไปแนะให้พระภิกษุไปทำจิตเกาะพระอีก เพราะจิตเกาะพระนั้นจะมีความพิเศษ ซึ่งไม่มีในตำรามาก่อน แต่ก็คล้ายๆมโนยิทธิ แต่จะแตกต่างกันนิดนึงถึงกระบวนการ

    และถ้าพระภิกษุที่กล่าวมาแล้ว คือท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่(ตอนนี้ขอสงวนนาม) แต่ถ้าท่านทำสำเร็จเมื่อไหร่ แล้วจะแจ้งให้ทราบกันในภายหลัง เพราะจะได้ไปสอบถามกันเอาเอง

    กระทู้นี้เปิดเพื่อวัตถุประสงเดียวก็คือ รับสมัครยกจิตคน หรือมนุษย์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม ที่เป็นอยู่กันทุกวันนี้
    เพราะจิตที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เรายังมีสติไม่เพียงพอ หรือมีกำลังใจยังไม่เพียงพอที่จะนำเราไปปฎิบัติ
    (กำลังใจในที่นี้หมายถึงบุญ หรือบารมีของตนเอง)
    เพราะฉะนั้นผู้คนส่วนใหญ่มักไปถึงกันแค่ อามิสบูชา หรือสร้างบุญภายนอกกันเท่านั้น เพราะ(ธรรม)ปฎิบัติบูชา หรือการสร้างบุญภายใน(จิตของตน)นั้น จะต้องอาศัยกำลังใจของตนเป็นหลักก่อน
    แต่ถ้ากำลังใจมีไม่เพียงพอ เราต้องสร้างขึ้นมาใหม่
    (การสร้างกำลังใจ ได้แก่ การทำบุญทำทาน สวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นต้น)

    สำหรับผู้ใดปฎิบัติการ " จิตเกาะพระ " อันนี้จะได้กำลังใจไว
    และถึงกระแสจิต กระแสธรรมไวตามไปด้วย เพราะตามลำพังเรามีกำลังใจไม่พอ เราจึงต้องอาศัยพึ่งบุญบารมี ขออาราธนาบารมีจากพระก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่าลืม @ ภาวนา

    อย่าลืมเรื่องภาวนาของตน
    ถือว่าเป็นหน้าที่หลักของจิตวิญญาณของหมู่เหล่ามวลมนุษย์ทั้งปวง
    โดยเฉพาะ ผู้ที่ปรารถนาพัฒนาจิตใจตนให้สูงขึ้น

    อย่าหยุดภาวนาเด็ดขาด
    เพราะถือว่าเป็นการชำระจิตล้างจิตใจตนไปในตัว
    เพราะถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลอันใหญ่หลวงของตนเอง

    เพราะทุกวันนี้ มีสิ่งกระทบทางกาย ทางจิตใจมาก
    โลกหรือสังคม มิได้บีบครั้นจิตใจของเราให้ไปฝักใฝ่แต่เรื่องแบบนั้น
    แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่า หรือมีผลเฉพาะแต่ ผู้ที่มิได้ฝึกจิตมาดี
    ส่วนผู้ที่ฝึกจิตมาดีแล้ว ย่อมไม่มีผลทั้งนั้น
    เป็นกันห่วงตรงนี้นี่แหล่ะ
    เพราะผู้ที่ประมาท คือผู้ที่ไม่ค่อยระมัดวัง โดยเฉพาะเรื่องสังขารแห่งตน
    โดยยึดถือเอาตัวสังขารมาเป็นตัวเป็นตน สิ่งเหล่าน่ากลัวมาก
    นั่นก็หมายถึง เราไปเปิดประตูกรรม โดยเฉพาะกรรมไม่ดีเข้าสู่จิตของตนเอง
    แต่ไม่รู้ตัวกัน เพราะว่าเรามีสติปัญญาไม่มากพอ ที่จะตามหรือรู้เท่าทันกับสิ่งเหล่านี้
    ซึ่งจิตปุถุชนก็ต่างกับจิตอรหันต์ ก็เพราะด้วยเหตุนี้ คือไม่พยายามสำรวมจิตของตนเอง

    โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่เมืองไทย ที่กำลังจะจบยาก
    คนที่ไม่ยากยุ่งเรื่องคนอื่น โดยเฉพาะทางการเมือง
    ผู้ที่ไม่เคยออกมาก่อนหน้านี้เลย แต่ก็จำเป็นต้องออกมา เพราะคิดว่า มันมากไปแล้ว
    ตรงนี้ข้าพเจ้า เข้าใจถึงความรู้สึกดีกับทุกคน โดยเฉพาะประเทศไทย
    ทุกคนย่อมมีความคิดเห็นต่างกันไป เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ไม่ธรรมดานั้นก็คือ เราไปยึดถือเอาตัวเอง เป็นตัวเป็นตนกันนี่แหล่ะ
    เรื่องทางโลกจึงจบยาก เพราะมิได้มุ่งเน้นแก้ไขที่จิตตน แต่มุ่งไปในทางคนอื่น
    เรื่องก็เลยจบยาก เพราะแต่ละคนทำตามใจของตน แต่ลืมไปว่า
    ผู้ที่ทำเพื่อคนอื่นโดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ ย่อมได้ผลตอบรับในแดนบวกแน่
    เพราะไปตามกฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งยุติธรรม นั่นเอง

    ข้าพเจ้า ที่ออกมาเคลื่อนไหวนี้ มิใช่เพื่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง
    แต่จะออกมาเคลื่อนไหว มาเตือนสติ มาเตือนตัวสังขารแห่งตน
    อย่าลืม อย่าไปโทษว่าคนอื่นเขาทำ แต่ถ้าเราเองมีสติปัญญาเป็นของตนแล้วย่อมจะรู้ดี
    พวกที่พากันละหรือออกจากขันธ์๕ของตนเองแล้ว ย่อมไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดๆ
    เพราะเมื่อจิตเข้าใจหรือถึงธรรมแล้ว ย่อมยอมรับได้ทั้งปวง คือไปตามกฎแห่งกรรม
    พระบอกว่า เรื่องข้างนอกจิตตนนั้น แก้ไม่ได้ และไม่มีผู้ใครไปตามแก้ไขให้กันด้วย
    เพราะฉะนั้น เราเองเท่านั้น ที่จะต้องเป็นผู้ที่แก้ไขจิตของตนเอง

    เมื่อไหร่ ถ้าผู้ปฎิบัติสามารถละขันธ์๕ตนเองนี้เป็นหลักแล้ว ย่อมไม่ล่วงกฎแห่งกรรมแน่
    เรื่องทางโลกไม่มีวันจบสิ้นง่าย เพราะจิตวิญญาณทางโลกนั้น คำว่า ให้อภัยกันยาก
    เพราะพรหมวิหารจะเกิดกับจิตผู้นั้น ต้องภาวนาให้ถึงจิต ถึงธรรมตนเอง เท่านั้น
    เมื่อจิตผู้ใดเข้าถึงธรรมแล้ว ธรรมนั้นย่อมรักษาจิตของผู้นั้นเอง
    นอกจาก ไม่มีคำว่าทุกข์ใดๆแล้ว ยังมีกำลังใจมากที่จะคอยช่วยเหลือหรือสงเคราะห์ผู้อื่นอีก

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่รักเคารพพระตถาคตเจ้า จริงๆ ย่อมจะปฎิบัติตามพระตถาคตเจ้า
    เพราะผู้ที่ปฎิบัติได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุขกว่าผู้ใด

    ซึ่งมีผู้ปฎิบัติธรรมหลายท่าน ร่อนจดหมายมาถาม ปัญหาตนเอง
    แต่ถ้าเป็นไปได้ จะขอตอบเฉพาะปัญหาธรรม หรือโดยเฉพาะเรื่องจิต
    เพราะถ้าเราสามารถเข้าใจ เข้าถึงสภาวธรรม คือสภาวะจิตตนเองแล้ว
    ย่อมตอบปัญหาของตนเองได้ก่อน ต่อไป เราจึงจะไปตอบปัญญาให้กับผู้อื่น
    ว่าจริงไหม..
    ตราบใดถ้าเรายังมีความลังเลหรือสงสัยใดๆอยู่ภายในจิตของตนละก้อ
    ไม่มีทางเราจะไปตอบให้ตรงจิตตรงใจผู้นั้นได้เลย
    เพราะอะไร ก็เพราะว่า จิตเราก็ไม่ได้ต่างกับจิตของผู้อื่นเลย ใช่ไหม
    ถ้าผู้ใดสามารถเข้าถึงจิต เข้าถึงธรรมตนเองได้แล้ว ย่อมเข้าใจสิ่งที่ข้าฯพูดถึง

    อย่าลืม ธรรมของผู้ปฎิบัติ ปัญญาของผู้ปฎิบัติ ความหลุดพ้นของผู้ปฎิบัตินั้น
    มิได้อยู่ไกลเกินเอื้อมของตนเองเลย ที่แท้ก็อยู่ที่ภายในกาย ภายในจิตตนเท่่านั้น
    โดยเฉพาะ ผู้ที่เข้าใจจิตตน ผู้ที่เข้าถึงจิตตน
    แต่ถ้าเราเข้าใจเข้าถึงจิตตนเองมันก็จบเท่านั้นเอง
    เพราะทางโลกไม่มีวันสิ้นง่ายๆ เห็นมีแต่ทางธรรม คือจบที่จิตตนเอง
    นี่คือ สุดปลายทาง เรื่องจิตวิญญาณแห่งมวลมนุษย์ทั้งหลาย
    ที่หลงเกิดมาสร้างทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีสลับกันไป
    เห็นมีแต่ผู้ที่ฝึกจิตมาดีย่อมแยกหรือคัดกรองสิ่งที่เรียกว่า บุญหรือบาป
    กุศลหรืออกุศล อันไหนเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีได้เอง
    เมื่อจิตเราแยกแยะได้แล้ว ย่อมเสมือนน้ำอมฤต เราดื่มได้ ให้ผู้อื่นดื่มก็ได้ เช่นกัน
    เพราะอย่าลืม จิตใจคนอื่นก็เหมือนจิตใจของเรา ไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิดเดียว
    เหมือนปุถชนหรือคนธรรมดา กับพระอรหันต์ ข้างนอกเหมือนกันหมด
    แต่ต่างกันตรงที่จิต ระดับจิต ความละเอียดแห่งจิตวิญญาณเท่านั้นเอง
    ทุกท่านก็ทราบกันดีหมดแล้ว หรือว่าทราบแต่เรื่องคนอื่นมากกว่าตนเอง อย่างนั้นหรือ
    พยายามมุ่งแก้ไขที่จิตตนเอง อย่าไปมุ่งแก้ไขจิตของผู้อื่น
    ถ้าผู้ใดกระทำแบบนั้น ก็เท่ากับไม่ปฎิบัติตามพระตถาคต หรือครูบาอาจารย์ของตน
    แล้วการปฎิบัติธรรมของตนเอง จะเจริญก้าวกน้ากันได้อย่างไร
    เพราะเมื่อจิตเราไปติดค้างอยู่กับสิ่งใด ควรตามแก้ไขให้ดี
    ไม่ต้องไปแก้ที่ไหน ให้แก้ไขที่จิตตนเอง เท่านั้น
    เพราะถ้าไปแก้ไขที่อื่น ที่มิใช่จิตตนเองนั้น เห็นมีแต่ผู้นั้นหลงทาง
    เพราะท้ายที่สุด ก็ไม่พ้นคำว่าทุกข์ เพราะเหตุเรามัวแต่ไปยุ่งเรื่องนอกจิต
    หรือเรื่องของผู้อื่น นั่นเอง

    จริงๆแล้ว ถ้าผู้ปฎิบัติธรรมสุดซอยแล้ว (ขออนุญาตใช้คำฮิตติดชาร์ท)
    จริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นของตนเลยสักอย่างเดียว รูปมีไหม (มีก็สักแต่ว่ามี)
    นามมีไหม (มีก็สักแต่ว่ามี) แต่ถ้าทุกคนเห็นตามพระตถาคตแล้ว
    ทุกธรรมก็มีแค่ เกิดและดับ เท่านั้น นอกนั้น ไม่มี

    แต่เราต้องเห็นทุกสิ่งที่กำลังเกิด กำลังดับอยู่นั้น เป็นธรรมดาเีสียก่อน
    เราจึงจะเป็นผู้ดู(ใจเป็นกลาง)+รู้(รู้วางด้วยปัญญา)+เฉย(อุเบกจริงๆหรือสังขารุเบกขาญาณ)
    หรือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้จริงๆ

    ขออนุญาตเตือนผู้ที่กำลังปล่อยจิตให้ไหลไปตามทุกสิ่ง
    จะบอกให้นะว่า ไม่ว่าจิตผู้ใดทั้งนั้น จิตเขาบอกว่า ไม่ชอบ
    เพราะนั่น ไม่ใช่ทางสงบสุขแห่งจิตตนเอง

    ปล.อย่าปล่อยจิต อย่าทำร้ายจิต นั่นแสดงว่า เรากำลังทำร้าย ทำลายตนทางตรง
    มิใช่ ทำร้ายทางอ้อม โปรดสังเกตดูให้ดี
     
  12. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    .วันนี้ผมส่งการบ้านวันแรกไปแล้วครับ
    ..อิอิ ดูเหมือนจะไม่ค่อยไหวเช่นบ้านเค้าเรยครับ สอบตก เรยยยย
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    เห็นหัวข้อธรรม ตัวเบ้อเริ่ม "ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส" ...เราก็รีบ ปูเสื่อ รอฟังเทศน์ จากคุณลินดา ทันที ...
    แหมๆๆๆ ที่ไหนได้ แวะมา ตั้ง ปุจฉา... แล้วท่านน่ะ ทำไมไม่ วิสัชนา...แจกแจงธรรม ข้อนี้ เป็น ธรรมทาน ให้พวกเราสดับรับรส พระธรรม จากท่านซะเลยด้วยเล่า ...

    ท่านลินดา ^^...
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    "พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก

    เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ

    นั้นคือ พระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปรกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ

    ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์

    ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า มหาสุญญตาหรือจักรวาลเดิม หรือเรียกว่าพระนิพพาน

    อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เราปฏิบัติมาก็เพื่อเข้าถึงภาวะอันนั้นเอง"

    "ตำรา เป็นอาวุธ ความรู้เป็นวิธีใช้ ปัญญาคือใช้อาวุธนั้นอย่างแยบยลให้ผลเต็มกำลัง

    แต่การเรียนมากรู้มาก บางทีก็เป็นอุปสรรค ทำให้ปฏิบัติล่าช้า

    นักปฏิบัติจึงต้องมุ่งมั่นฝึกฝนตามดูรู้จิตตน เพราะจิต คือพุทธะ เป็นแก่นแห่งธรรมทั้งมวล

    ธรรมมะจริงๆ แล้วมีอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง ค้นพบตน คือ ค้นพบธรรม ค้นพบธรรม คือ ได้พบพระศาสดา"

    .......................
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


    Cr...Fb สัพพะ พุทธะ สัพพะชยันโต
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ของภัทรกัป

    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*​



    มีผู้ปรารถนาจะฟังธรรมที่เข้าสู่ระดับจิตตนได้อย่างเบื้องปลายอยู่มาก

    ฉะนั้นฉันจะสอนเรื่องของสมาธิ อานิสงส์จากบุญที่ได้กระทำมาเป็นเบื้องแรก
    พุทธบริษัทที่มีจิตใจมุ่งมั่นในการทำบุญนั้น


    1. ต้องมี "ศรัทธา" ในจิตตน ถึงจะมีแรงดลใจให้บุญได้เกิดขึ้นแล้ว เกื้อหนุนขึ้นมา

    2. เมื่อมีศรัทธาเป็นแรงนำขึ้นมาก็ต้องมี "ขันติ" ตามมา ขันติความอดทน อดทนเพื่อธรรม ธรรมคือพระนิพพาน

    3. เมื่อมีขันติตามมาในเบื้องรองแล้ว ต้องมี "สัจจะ" เป็นบรรทัดเป็นทางที่จะทำให้พวกเธอทุกคนได้ถึงที่หมายสมปรารถนา
    เบื้องแรกของธรรมในการปฏิบัติตนให้ถึงซึ่งอริยมรรคนั้น คือสัจจะหรือบำเพ็ญสัจจะบารมี
    คนเราถ้าขาดสัจจะบารมีหรือไม่มีสัจจะในตนแล้ว ศีลก็ผิดหมด

    การถือศีล คือการที่เราให้สัจจะแก่ตนเองไม่ให้ละเมิดศีลนั้น ซึ่งถ้าเราจะละเมิดไปก็ไม่มีใครรู้ เพราะเราอยากจะทำ แต่เราก็ต้องละอายแก่ตนเองว่าแม้แต่กับตนเองก็ยังหาสัจจะอะไรไม่ได้เลย ฉะนั้น การกล่าวว่า “อีกนิดคงไม่เป็นนะ” “นิดหน่อยคงไม่เสียหาย” นั่นคือ เราไม่เที่ยงตรงต่อสัจจะของตนเอง แล้วกรรมที่จะเป็นเครื่องสนองตอบเรา คือความไม่สบายใจประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือเราเสมือนว่าโกหกพระ

    เมื่อบุคคลทั้งหลายมีสัจจะแล้ว ความซื่อตรง ความมั่นคง (หรือรวมเรียกว่า กตัญญู คงไม่เพี้ยนกัน) ก็จะเกิดขึ้นแก่ตน เมื่อตนทำจิตทำใจตนให้เป็นคนมั่นตรงต่อสัจจะแล้ว ความเหลาะแหละคงหมดไป เมื่อหมดไปนิวรณ์ทั้งปวงจะขจัดออกไปเอง ด้วยความมั่นคงของเรา นิวรณ์หมดไปแล้ว

    สมาธิคือความทรงตัวของจิต ก็จะจับใจในจิต ตลอดจนในกายและวาจา เมื่อมีสมาธิ จิตจับด้วยความบริสุทธิ์ของศีลก็ดี สัจจะก็ดี ฌานก็เกิดขึ้น เมื่ออารมณ์เข้าจับอยู่ในสมาธิในฌาน เราจะมีอารมณ์วิปัสสนาญาณเมื่อใดก็ย่อมทำได้ทันที

    เมื่อถึงอารมณ์วิปัสสนาญาณแล้วพิจารณาทบทวน ตรงไปด้วยกุศลจิตด้วยดี ด้วยถูกต้องสมควร อารมณ์จากสติจะเกิด นั่นคือ "ปัญญา" เมื่อมีปัญญาไตร่ตรองถ่องแท้แน่ชัดขึ้นทุกที จนเรารู้สึกสำนึกมุ่งไปในกมสันดานแน่ชัดแล้ว จะตัด จะละ จะปล่อยสิ่งเหล่านั้นได้เป็นสมุจเฉทปหานแน่นอน ที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ คือวิธีพอคร่าวๆ

    เมื่อรู้จักวิธีทำแล้วตนย่อมรู้กมลสันดานของตนเองได้โดยสอบดูว่า

    1. โลกธรรม 8
    2. สมมติ
    3. กิเลส
    4. ตัณหา
    5. อุปาทาน

    เหล่านี้ยังยึดอยู่หรือเปล่า...?​


    ที่ฉันถามๆ มาใช้ได้ ใช้ได้ทุกคน ไม่เสียแรงที่ฟังธรรมเป็นปกติ

    การทำสมาธินั้นก่อนอื่นต้องล้างใจตนเองเสียก่อน โดย

    1. ยึดมั่นในความดีของพระพุทธเจ้าเพราะเราจะเป็นลูกศิษย์ใคร เราก็ต้องมีความมั่นใจในครูเสียก่อน

    2. หาพระบริสุทธิคุณให้พบ เราจะไปเรียนจากครู เราก็ต้องรู้ว่าครูนั้นเป็นอย่างไร ควรจะทำตนให้เข้าหลักกับครูได้อย่างไร

    3. ยึดธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมคือทฤษฎีแนวทาง หรือหนังสือที่ครูหยิบมาให้เราอ่าน เราคือคนพิสูจน์ “เรา”

    4. ล้างความไม่มั่นคงในฤทธิ์เดช เดชาของอำนาจไสย คือล้างไม่ให้ยึดในอำนาจฤทธิ์เดชไสย เพราะถ้ายึดแล้วจะมานั่งพิจารณากันทำไม คุณ ฤทธิ์ เดชไสยนั้น อยู่ยงคงกระพันไม่ตาย แต่เราตาย ถ้าเรายึด เราจะหลง ยึดแล้วไม่หลงก็ดีไป ส่วนอำนาจพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพนั้น ก็ไม่อยากให้ยึดไว้อย่างงมงาย ที่พูดนี้ไม่ใช่พูดให้คนไม่เชื่อในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เพราะสามอย่างนี้แม้จักรวาลก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ให้ยึด เพราะว่าสามสิ่งนี้เป็นความดีที่สนองตนเองอยู่แล้วโดยไม่ต้องร้องขอ ถ้ายึดแบบบนขอนั่นขอนี่กันทุกวันก็เป็นเรื่องลวงทั้งนั้น

    5. มุ่งมั่นในใจว่ากรรมเป็นของแท้แน่นอน คนเรามีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นที่มา มีกรรมเป็นที่ไป และมีกรรมเป็นที่อยู่ ใครทำกรรมใดมา คนนั้นใช้กรรมของตน ที่สอนนี้เพื่อไม่ให้ไปหลงลงโทษดินฟ้าอากาศ เพราะเขาไม่รู้เรื่องหรอก รู้ว่ามีกรรม รู้สวรรค์ รู้นรก รู้ว่าเกิดจากไหน ตายแล้วไปไหน รู้ว่าการตายแล้วเกิดใหม่มีจริง เก็บไว้อธิบายคนอื่นที่มาถามได้

    6. ปรารถนาที่จะล้างอกุศลกรรม และมิจฉาทิฐิ เพื่อให้จิตบริสุทธิ์ พ้นกิเลส


    จดจำไว้นะ สำหรับคนที่มุ่งมรรคผลโดยแท้ ศึกษาเท่านี้แล้วเธอทั้งปวงจะทำใจให้ปลอดโปร่งได้ เห็นมรรคเห็นผล


    ...ลูกขอน้อมจิตก้มกราบ รับพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพ่อพระพุทธกัสสป สัมมาสัมพุทธเจ้า
    มาปฏิบัติตามให้เกิดผล ด้วยเศียรเกล้า พระพุทธเจ้าค่ะ
    กราบ กราบ กราบ...

    ...ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นแล้ว เข้าถึงแล้ว
    ขอให้ลูกได้เห็นธรรมนั้น และเข้าถึงธรรมนั้นได้อย่างแจ่มแจ้งแทงตลอด
    ตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ...
    สาธุ สาธุ สาธุ​


    ขอบคุณที่มา ...FB พุทธธรรมนำใจ../..FB Pattranit Chance​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2013
  16. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    วันนี้ทำงานอยู่โดนรุ่นพี่ที่ทำงานติเรื่องงานรู้สึกเครียดตามดูจิตจิตๆนิ่งๆๆๆๆมีอารมณ์

    ปฎิฆะคือความไม่ค่อยพอใจทุกข์หนอตามดูตามรู้ดูมันจนดับหลังจากเลิกงานกลับมาบ้าน

    ยังรู้สึกเครียดยังตามคิดเรื่องนี้มันเพราะอะไรหนอพิจรณาด้วยปัญญาอันน้อยนิดกิเลสตัวไหนหนอ

    ปกติต้องดับไปแล้วนึกได้ตัวมานะนั่นเองมานะ+อุปาทานฟุ้งปรุงแต่งเล็กๆๆๆๆๆตามดูตามรู้

    ผิดถูกอย่างไรแนะนำด้วยครับท่านศิษย์พี่ทั้งหลาย

    ที่ทำงานเป็นที่ปราบเซียนและทำให้เราเป็นเซียนได้เช่นกัน

    อาวุธที่ผมมี สมาธิ(ทรงฌาน)+สติ(ตัวรู้)+วิปัสสนา สู้กับศัตรู กิเลส+ตัณหา+อุปทาน(เคยคบกันเป็นพันธมิตรมานานแสนนาน)+อกุศลกรรม

    ทราบจากหน่วยข่าวกรองว่ามันจะบุกมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เตรียมรับมือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2013
  17. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    โถ คุณแนท ลินดาก็ติดๆดับๆ เรียบเรียงเสียงประสานก็งู๐ๆปลาก็หวังจะมาหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมนะคะ นำไปพิจารณาบ่อยๆ โดยหวังว่าจะเกิดปัญญาญาณเพื่อเป็นที่พึ่งถาวรให้ักับตนเองในสักวันข้างหน้า กำลังวิ่งตามกลิ่นฝุ่นคุณแนทอยู่(แบบว่าไม่เห็นฝุ่นแล้ว) .อย่าลืมทิ้งกลิ่นไว้เป็นร่องรอยบ้างนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ แหม๊ๆๆ ผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระท่านนี้ มีหน่วยข่าวกรองด้วย
    เยี่ยมๆ :cool:
    เพราะต่อไป จิตตนเองก็ึจะเป็นหน่วยข่าวกรองซะเองเลย
    กรองทั้งข้างนอกและข้างใน
    ทำไปๆๆ แบบเดิมนี่แหล่ะ เรากำลังสร้างสติปัญญา เธอมาถูกทางแล้ว
    เริ่มเห็นการพัฒนาจิตตนเองแล้ว เห็นไหม
    พี่ภูถึงบอกว่า ในขณะที่เธอกำลังสร้างบุญภายในแห่งตน
    คนอ่านเขาก็กำลังรับรู้และตามดูการพัฒนาจิตของเธอ ไปตามลำดับจิตด้วย
    เพราะฉะนั้น เธอได้บุญทั้งขึ้นทั้งล่อง คือได้ธรรมาทานกับผู้อื่นๆที่กำลังลังเลหรือสงสัย
    หรือยังไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรม จะเป็นเพราะด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่

    พี่ภูขอโมทนาบุญกับเธออีกครั้งนึง ขอให้เจริญในธรรม
    ส่วนสิ่งกระทบจิตจากที่ทำงานเธอนั้น ก็ถือซะว่า เขาคือครูของเราอย่างดีเลย
    ว่าสิ่งที่เรากำลังปฎิบัติอยู่นั้น เราเก่งแต่เฉพาะในห้องเรียนรึป่าวนะ
    แล้วจิตเกาะพระ จะสอนจิตเธอปล่อยวางอย่างไร ค่อยๆทำไป เห็นเธอมีได้ ไม่มีเสีย
    บุญกุศลทั้งนั้นที่เธอกำลังกระทำอยู่ ส่วนที่เธอลงในกระทู้นั้นก็เป็นธรรมาทาน
    ซึ่งเป็นบุญเหมือนกัน ที่จะช่วยหนุนนำให้การปฎิบัติของเธอ เจริญในศีล ในธรรมยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วย
    พี่ภูขอเป็นกำลังใจให้กับเธอ และผู้ปฎิบัติท่านอื่นๆด้วย สาธุ
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    กราบน้อมรับ พระธรรมคำสั่งสอนของท่านพ่อฤาษี ลูกขอจดจำ

    คำสั่งสอนของท่านพ่อเพื่อนำมาปฏิบัติตาม...ไม่ว่าธาตุขันธ์ของลูกจะเป็นไป

    ทางด้านบวกหรือลบ คำสั่งสอนของท่านพ่อนี้จะคอยเตือนลูกเสมอ ลูกขอกราบ

    น้อมรับคำสั่งสอนของท่านพ่อเจ้าค่ะ น้อมกราบท่านพ่อฤาษีด้วยเศียรเก้ลาค่ะ.
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้ที่บอกว่าทำยากนั้นฯ จึงหมายถึง ผู้ที่มีจิตยังหยาบอยู่ ก็เพราะยังชอบทำชั่วอยู่
    พอถึงเวลาจะละชั่ว จึงละยากอยู่ นั่นเอง
    แต่พอจะทำดี ก็ทำยากอีก เพราะว่า เคยทำแต่ความชั่วเป็นประจำ จนติดนิสัย เป็นสันดาน นั่นเอง
    แต่พอจะทำจิตให้ผ่องใส ก็ทำยากอีก เพราะว่า เคยทำแต่กรรมชั่ว พอจะทำดีก็ทำยากอีก
    แล้วสุดท้าย จิตมันจะไปผ่องใสกันได้อย่างไร

    ส่วนผู้ที่บอกว่าทำง่ายนั้น จึงหมายถึง ผู้ที่มีจิตค่อนข้างละเอียดสักหน่อย ก็เพราะว่า ชอบทำแต่ความดีเป็นปกติอยู่แล้ว
    เช่น ผู้เจริญทั้งหลาย ทั้งปวง หรือผู้ปฎิบัติธรรม เป็นต้น
    พอพูดถึงละชั่ว จึงทำง่าย หรือไม่ต้องออกแรงละชั่วหรอก เพราะสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนั้นคือ ทำแต่กรรมดีเป็นประจำกันอยู่แล้ว
    สรุปแล้ว คือละชั่วในตัว ทำดีในตัว สองอย่างจึงไปได้สวยทั้งคู่ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
    เพราะผู้ปฎิบัติย่อมจะมีคุณสมบัติของผู้ดีหรือคนดีนั่นเอง นั่นเราก็หมายถึง ผู้ปฎิบัติทุกท่านก็พยายามรักษาศีลตนอย่างดีอยู่แล้ว
    พอถึงเวลจะทำให้จิตตนผ่องใส เราแทบไม่ต้องไปทำเลย เพราะจิตมันผ่องใสของมันเองอยู่ทุกวันอยู่แล้ว
    เช่น อิ่มบุญ ผู้ปฎิบัติที่สามารถเข้าถึงธรรมจริงๆนั้น ทุกข์ทางใจเขาไม่มีแล้ว มีแต่ทุกข์ทางกายเท่านั้น
    ถามว่าทุกข์ทางกายแล้ว ทำไมใจไม่เป็นตามกายไปด้วย ทั้งๆที่กายหยาบก็เป็นของเรา เพราะเรายังไม่ตายนิ
    ตอบว่า...ผู้ปฎิบัติธรรม โดยเฉพาะจิตพระโสดาบัน ย่อมรู้จักคำนี้ดีว่า สักกายทิฎฐิ แปลว่าอะไร ให้จิตเป็นผู้เรียนรู้ มิใช่เรา
    เมื่อจิตมีสัมมาทิฎฐิ คือถ้ามองเห็นถูกต้องว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตามพระตถาคตเสียแล้ว
    เมื่อจิตมันไปยึดไปเกาะกับสิ่งใดเสียแล้ว ปลายทางนั้น เห็นมีแต่จะเป็นทุกข์
    เมื่อก่อนจิตเป็นมิจฉาทิฎฐิ ก็เลยเห็นร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา มันถึงทุกข์ได้ตลอดชีวิต
    เมื่อจิตมันไม่เอา ไม่ไปยึดอะไรแล้ว โดยเฉพาะขันธ์๕ด้วยแล้ว เพราะฉะนั้น การทำจิตให้ผ่องใสจึงกระทำได้ง่ายนั่นเอง
    จิตมันจะผ่องใสกันได้อย่างไร เพราะในเมื่อจิตเรายังไปเอา ไปยึด ไปเกาะแต่ขันธ์๕ทั้งคืนวัน ทั้งมืดแลสว่างอยู่อย่างนั้น
    เพราะขันธ์๕นั้นเป็นกองแห่งทุกข์ ชื่อก็บอกกันอยู่แล้ว พระตถาคตเจ้าบอกให้ท่านออกมากัน แล้วทำไมไม่ออกกันเอง
    ใช่ไหม ถ้าทุกคนทำตามพระตถาคตเจ้าแล้ว ย่อมได้จิตผ่องใสเป็นธรรมดา
    เหมือนมีคนบอกว่าปล่อยวางสิ ถือไว้ทำไม ยิ่งไปยึด ไปถือมันมากเราก็ยิ่งหนัก นี่ยังไม่นับกาลเวลากันนะ
    คนเรายืนถือเหล็กสองสามชั่วโมงยังแต่เลย นี่ถ้าคนเราแบกกาย แบกสังขารไปตลอดชีวิต
    แล้วไม่ให้มันทุกข์ เมื่อจิตไม่รู้จักวางขันธ์๕ แล้วจิตมันจะเบาไหม มันจะผ่องใสกันไหม
    ส่วนผู้ที่บอกว่า ทำจิตให้ผ่องใสยากนั้น ก็เพราะเขาไม่รู้วิธีการละปล่อยวางเรื่องขันธ์๕ตนเอง

    บอกแล้วพูดธรรมะไม่เก่งหรอก แต่ถ้าใครถามมาก็จะตอบหมดแร๊ะ
    แต่จะตอบถูกจริต หรือถูกใจหรือไม่ อันนั้น มิทราบ
    และไม่มีใครในโลกนี้จะตอบดีเท่ากับธรรมที่ผุดขึ้นภายในจิตตน แน่นอนที่สุด
    ถึงวันนี้เราได้คำตอบกับผู้ที่มีปัญญาที่สุดในโลกแล้ว แต่เชื่อเห่อ พรุ่งนี้ ก็จะมีคำถามหรือสงสัยอีก
    แก้ไขโดยการเจริญสติ การเจริญปัญญา วิปัสสนาให้ขาด
    ถึงพระตถาคต ดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว ถ้าเป็นลูกหลานของพระองค์ท่านจริง ย่อมตอบธรรมะแทนได้
    ถึงไม่เหมือนสักทีเดียว ไม่เป็นไร ถึงไม่ใช่ ก็ขอให้ใกล้เคียง ตอบธรรมะไม่เหนื่อยใจหรอก เพราะพูดแต่ความจริง
    แต่ถ้าพูดเรื่องจะโกหกนี่สิ น่าเหนื่อยใจกว่า เพราะต้องคิดหลายเฉิน จึงเหนื่อยกว่ามาก
    พูดความจริงนั้น ไม่ต้องเตี้ยม แต่พูดไม่จริงนี่สิยาก ถึงเตรี้ยมมาเป็นอยู่ดี แต่ถ้าให้พูดเหมือนกัน แต่เวลาต่างกัน ชักเริ่มเพี้ยนแร๊ะ
    แต่ถ้าเราพูดแต่เรื่องจริงแล้ว เราไม่ต้องเตี้ยม พูดตอนไหนก็พูดได้ และความหมายก็คล้ายๆกัน
    และตรงนี้แหล่ะ เหตุที่ศาลนำไปใช้ เพราะจะจับผิดนักโทษ หรือผู้ต้องสงสัย
    สังเกตดูให้ดีๆว่า...คนชั่วจะทำชั่วง่าย แต่ทำดียาก แต่คนดีจะทำดีง่าย แต่จะทำชั่วยาก
    เพราะถ้าข้างในมันดี ข้างนอกมันย่อมดีตาม แต่ถ้าข้างในมันชั่ว ข้างนอกมันย่อมชั่วตามไปด้วย เป็นต้น
    (ข้างในหมายถึงใจ ข้างนอกหมายถึง คำพูดหรือการกระทำ)
    ปล.คนจิตหยาบ มิได้หมายถึง คนไม่ดีนะ ดีเหมือนกัน แต่ถูกกิเลสจรมาเป็นบางครั้ง บางครา จิตก็เลยเศร้าหมอง เป็นธรรมดา
    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่ง ที่ท่านถามมาไม่กี่คำ ไม่กี่ประโยค

    ท่านถามสั้นๆ ผมก็ตอบสั้นๆ แบบนี้แหล่ะ จึงจะสมน้ำสมเนื้อกันดี เห่อๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...