หลวงพ่อไปฟังธรรมในวันวิสาขบูชา ที่พระจุฬามณีเจดียสถาน โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย กุญแจธรรม, 20 พฤษภาคม 2016.

  1. กุญแจธรรม

    กุญแจธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +287
    [​IMG]

    จากหนังสือ หลวงพ่อธุดงค์
    ตอน ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ 2 โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็ยังเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เพราะว่า บันทึกติดต่อกัน สำหรับตอนนี้ก็มาพูดถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของป่าศรีประจันต์ พอวันรุ่งขึ้นเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก็มานั่งปรึกษากัน 3 องค์ว่า วันนี้เป็น วันวิสาขบูชา เราจะบูชาพระพุทธเจ้า กันที่ไหน เพื่อนทั้ง 2 องค์ก็บอกว่า การบูชาที่ไหนก็ถึงพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าเรานึกเห็นท่านเมื่อไร ก็ถึงเมื่อนั้น

    การเห็นบรรดาท่านพุทธบริษัทบางท่านก็บอกว่า อาจจะเป็นพุทธนิมิตบ้าง อาจเป็นองค์จริงบ้าง ทั้งนี้ไม่ขอวิจารณ์ ก็ถือว่า ถ้าเห็นภาพพระพุทธเจ้าได้ เป็นใช้ได้ จะเป็นภาพเป็นพุทธนิมิตก็ตาม ภาพเขียนก็ตาม ภาพปั้นก็ตามเราถือว่า นั่นคือ พระพุทธเจ้าเพราะจิตเราไม่ติดที่รูป จิตเราติดที่พระพุทธเจ้า คือ ธรรมะของพระองค์

    ขณะที่นั่งคุยกันว่า เราจะทำอย่างไรดี เป็นวันวิสาขบูชา เราจะเวียนเทียน เราก็ไม่มีเจดีย์ เราจะบูชาพระพุทธรูป เราก็ไม่มี เราก็บูชานึกถึงพระ จะนั่งกันเฉย ๆ ก็ดูท่ากระไรอยู่คิดว่าเอาอย่างนี้ดีไหม เราใช้วิชาตุ่มน้ำ ดีไหม ตุ่มน้ำในห้องของอาตมา สององค์ก็บอกว่าแกก็ใช้วิชาตุ่มน้ำก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องหรอก ข้าไม่ต้องเข้าตุ่มน้ำ ถามว่า เราจะไปไหนกันดี เขาก็เลยบอกว่าทางที่ดีก็คือ พระจุฬามณี

    เวลานั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง 2 องค์เขามีความสนใจเรื่อง นิพพานเพราะว่าทั้ง 2 องค์นั่นเขาปรารถนา สาวกภูมิ แต่อาตมาปรารถนา พุทธภูมิ เรื่องนิพพานยังไม่เข้าใจ ขอพูดด้วยความจริงใจว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ และการไปไหนได้ ก็ไปแค่ยันพรหมไม่ถึงนิพพาน (นี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้)

    ก็เป็นอันว่า ตัดสินใจกันว่า ถ้าอย่างนั้นเราไปพระจุฬามณี สององค์ก็บอกว่าถ้าเราไปที่พระจุฬามณี แล้วเราจะเลยไปไหน ก็คุยกันบอกว่า เราก็ไปแค่จุฬามณีก็พอ เพราะว่าที่พระจุฬามณีนั่นใช้เวลา 1 วันของท่าน เท่ากับ 100 ปีของเรา เราไปชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวมันก็ 24 ชั่วโมง แล้วไปที่นั่นก็มีแต่ความสดชื่น มีแต่ความเอิบอิ่ม มีแต่ความปลาบปลื้มใจอารมณ์ มีอารมณ์เป็นสุข ร่างกายเป็นอย่างไร ก็ช่างหัวมันเป็นไร เรื่องร่างกาย เราไม่เกี่ยว ถ้าเราอยู่กับมัน เราเกี่ยว เราไปจากมันเราไม่เกี่ยว ก็ตกลงกันบอกว่า ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวประมาณสัก 3 โมงเช้า เราไปกัน

    ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั่นเอง บรรดาท่านทั้งหลาย ก็ปรากฏว่ามีเสือลาดพาดกลอน 2 เสือ อาตมาจะไม่เรียกว่า 2 ตัว ทั้งนี้ก็เพราะว่า จะเป็นการปรามาสครูบาอาจารย์ สองเสือย่างสามขุมเข้ามา ท่าทางดุดัน องอาจมาก ทำท่าคล้ายกับว่าจะกิน พวกเราทั้ง 3 คนเห็นเข้าก็นึกในใจว่า เสือมาแล้ว ทุกวันเราเห็นแต่เพียง เสือปลาบ้าง เสือดาวบ้าง แต่วันนี้เจอะลายพาดกลอน แล้วก็ยาวมากใหญ่มาก ถ้าแกจะกินเราก็รู้สึกว่า 3 คนอิ่มพอดี ๆ ทุกคน ตั้งใจเลิกพูด ตอนนี้เลิกพูดแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทุกคนยังกลัวตายอยู่ไม่ใช่ไม่กลัวตาย ก็นึกในใจว่า เวลานี้เสือมา ถ้าเสือทำร้ายเรา เราก็ต้องตาย แต่ความตายของเรามีความหาย นั่นคือถ้าเราตายเวลานี้ เราจะไปอยู่พรหม (นี่อาตมา คิดอย่างนี้นะ อีก 2 องค์เขาคิดอย่างไรก็ไม่ทราบ) อีก 2 องค์ดูเหมือนว่าจะตั้งใจไปนิพพานเลย แต่ว่าอาตมาเอง ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานก็คิดว่า ถ้าตายเวลานี้เราอยู่พรหม ทำไมจึงจะไปพรหม ถ้าหากว่า เราจะไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือในเมื่อเราปรารถนาพุทธภูมิ ก็มีความรู้สึกว่า ชั้นดุสิตนี่มีนางฟ้ามาก พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งมีนางฟ้าเป็นบริวาร เป็นหมื่น ๆ แล้วก็สวยเสียด้วย เรื่องภารกิจ ความห่วงใยกังวลก็ยังมีอยู่ ถ้าไปอยู่พรหมเราอยู่คนเดียว พรหมองค์หนึ่ง วิมานหลังหนึ่งมีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวารสำหรับบริวารก็มีวิมานคนละหลัง ไม่อยู่ร่วมกัน เราชอบ อารมณ์เป็นสุข

    เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มจับอานาปานสติ แล้วเสือก็ย่าง 3 ขุมเข้ามา หลับตานึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก เห็นตามเดิม ท่านอยู่กับ ลุงพุฒ คือ มหาพุฒ เห็นท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ชื่นใจ คิดว่าเอาละช่างมัน คราวนี้กายเนื้อมันจะตายแต่กายที่ไม่ใช่กายเนื้อเราจะไปพรหม แล้วเสียงลุงพุฒก็ถามมาบอกว่า ไปแค่พรหมน่ะพอใจแล้วหรือ ก็เรียนท่านบอกว่า ในเมื่อมาจากพรหม ก็ขอไปพรหม ท่านก็บอกว่า ไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ก็บอกว่าผู้หญิงมากและผู้หญิงที่นั่นก็สวยมาก ก็เกรงว่ากำลังใจจะยุ่งกับผู้หญิงมากเกินไป เดี๋ยวกังวลจะมีมาก ก็ขอไปอยู่พรหม ไปอยู่คนเดียวท่านก็บอก ตามใจ นั่งทำสมาธิไป จิตใจจับที่ภาพพระพุทธเจ้าอย่างเดียวไม่ไปไหน ก็คิดว่าร่างกายมันจะเป็นอาหารของเสือเวลานี้ ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจแล้ว แล้วก็ประกอบกับความรู้สึกว่าคิดว่าดี ถ้าตายเวลานี้ ดี เราอยู่กับพระพุทธเจ้า อย่างไร ๆ เราก็ไม่ลงนรกจิตใจชุ่มชื่นต่างคนต่างทำสมาธิกัน

    อีก 2 องค์เขานึกอย่างไร อาตมาไม่ทราบสักพักใหญ่ ๆ เสือก็ไม่กินพอลืมตาขึ้นมาดูเสือนั่งข้างหน้าเฉย ๆ นั่งมองคนนั้น นั่งมองคนนี้ ในเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ถามเสือว่า ทำไมแกจึงไม่กินฉันล่ะ เสือขยับหนวด ขยับปาก แต่ไม่ใช่แยกเขี้ยว ไม่ใช่ขยับเขี้ยว เสือขยับหนวด ขยับปาก ก็บอกว่า เสือ 2 ตัวนี่ไม่กินโว้ย เสือ 2 ตัวนี่อยากจะรู้ว่า ลูกศิษย์ที่ปล่อยเข้ามาอยู่ป่าศรีประจันต์นี่ มันจะมีกำลังใจขนาดไหน มันจะมีความกล้าหรือมีความกลัว การตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจถูก เสียงเสือตัวที่พูดตัวแรก เสียงเหมือนหลวงพ่อปานชัด (เสือพูดภาษาคน) และเสือที่สองก็พูดเบา ๆ เหมือนเสียงหลวงพ่อจง ท่านบอกว่า การตัดสินใจแบบนี้ถูกต้องทุกองค์ สององค์นั่นตัดสินใจเพื่อนิพพานตรง เพราะเป็นพุทธสาวก ปรารถนาสาวกภูมิถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้และองค์นี้ปรารถนาพรหม ก็ดี เพราะปรารถนาพุทธภูมิตั้งใจไปพรหม

    รวมความว่าทุกองค์ตัดสินใจถูก ความกลัวย่อมมีแก่คนทุกคน บุคคลใดถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ตาม ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่ม้าอาชาไนย หรือไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิต้องกลัว แต่การกลัวของพวกคุณทั้งหมด ถูกต้อง เป็นการกลัวที่ถูก คือ กลัวเสือจะกิน แต่ก็ไม่กลัวในการที่จะไปเป็นพรหม ไปนิพพาน
    หลังจากนั้น เสือทั้ง 2 เสือ ค่อย ๆ คลายตัว เป็น หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อจง ในเมื่อกลายเป็นหลวงพ่อทั้งสอง ก็ลุกขึ้นกราบท่านด้วยความเคารพอิ่มใจ ชื่นใจ น้ำตาไหล ท่านถามว่า ดีใจรึ บอก ดีใจขอรับ ถามว่า หลวงพ่อเป็นเสือได้อย่างไร ท่านบอกว่า มันเรื่องของฉัน ฉันจะเป็นเสือฉันจะเป็นแมว ฉันจะเป็นอะไร มันเรื่องของฉัน ไม่ต้องถาม พวกเธอทำตามคำสั่งให้ดีที่สุด แล้วการกระทำของพวกเธอทั้งหมด นี่มันไม่พ้นสายตาของฉัน ก็ถามว่าหลวงพ่อส่งตาทิพย์มาดูหรือ ท่านก็เลยบอกว่า งานของฉันมาก ไม่มีเวลาจะดูพวกเธอ แต่ว่าเทวดาเขารายงาน เทวดารายงานทุกอิริยาบถที่เธอทำ เธอจะนั่งท่าไหน จะนอนท่าไหนเขาบอกหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2016
  2. กุญแจธรรม

    กุญแจธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +287
    ก็รวมความว่า ไม่พ้นสายตาของท่าน เพราะเทวดาบอก ท่านก็เลยบอกว่า วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ทุกองค์ก็ตั้งใจไปพระจุฬามณีเจดียสถานก็แล้วกัน ไปตั้งใจอธิษฐานว่าจะอยู่ที่นี้จนกว่าจะได้อรุณ จึงจะลง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้น พอได้อรุณปั๊บมันจะเคลื่อนลงทันที เมื่อท่านสอนแบบนั้นแล้ว ท่านก็หายไป เราก็กราบตามหลังท่านไม่รู้ว่าท่านไปอย่างไร ร่องรอยก็ไม่มีเงาก็ไม่มี ไม่รู้ว่าหายไปไหน

    เมื่อหลวงพ่อทั้งสองหายไป พวกเราก็ดีใจ คิดว่า โอ้โฮ..เสือใหญ่นี่จำไว้เลยว่า เสือใหญ่เสือลายพาดกลอนแบบนี้ แล้วก็เข้ามาขนไม่พอง แสดงว่าเสือไม่จริง เป็นเสือปลอม เป็นอันว่าท่านสอนแนะนำให้ไปพระจุฬามณีเจดียสถาน เราก็ไปกัน ก็ตัดสินใจว่า เราไปกันเดี๋ยวนี้ไม่ต้องตั้งท่า
    คำว่าเดี๋ยวนี้ปั๊บ ก็ปรากฎว่า ถึงพระจุฬามณีเจดียสถาน เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมไหม ท่านพุทธบริษัท เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อธิศีลสิกขา อธิจิตสิขา อธิปัญญาสิกขา ทำเสียให้ครบถ้วนละก็ จะไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรตำหนิ และก็ไม่มีอะไรจะชม จะเป็นอุเปกขาญาณได้

    ก็รวมความว่า เมื่อถึงพระจุฬามณีเจดียสถาน สิ่งที่พบก็คือ อาจจะเป็น พระพุทธเจ้าเนรมิตก็ได้ หรือพระพุทธเจ้าองค์จริงก็ได้ใครก็ไม่รู้ แต่ที่เห็นก็เห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริงสวยงามอร่ามมาก มีแพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ไพเราะมากจับใจ ชื่นใจ การแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ลีลาไม่มาก สำนวนไม่มาก ท่านเทศน์ชัด ๆ เทศนาตรง ๆ เทศน์ให้เข้าใจเรื่องขันธ์ 5 ขันธ์ ของใครก็ตาม ไม่มีการทรงตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ชอบใจจริง ๆ อยู่คำหนึ่งชอบมาก เทศน์ทั้งกัณฑ์ ชอบมากอยู่คำหนึ่งว่า

    เวลานี้ท่านทั้งหลาย ท่านที่ตายจากความเป็นคนมาเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ร่างกายของทุกท่านไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข แม้ว่าท่านทั้งหลายที่ยังไม่ตายจากความเป็นคน แต่เวลานี้ชำระร่างกายอันประกอบไปด้วยขันธ์ 5 ใช้อทิสมานกายขึ้นมานั่งอยู่ที่นี่ ร่างกายอันนี้ของท่านก็ไม่มีทุกข์อย่างขันธ์ 5 ธรรมดา เป็นร่างกายที่มีความสุข ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่าประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราจะอยู่กับโลกตลอดกาล ตลอดสมัย แต่จงตัดสินใจตายก่อนอายุขัย หรือตามกาลเวลา ถ้าเวลายังมีอยู่เพียงใด ตัดสินใจทำลายกิเลสให้พ้นไป

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สักกายทิฎฐิ ให้มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ทำอารมณ์ใจวางเฉยในร่างกาย มันจะแก่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของมัน มันจะป่วยก็เป็นหน้าที่ของมัน เพราะกฎของกรรม มันจะตายก็เป็นหน้าที่ของมัน ถ้าร่างกายมันตายเมื่อไร ที่ไปของเรา คือ นิพพาน ถ้ากำลังใจยังไม่ถึง นิพพาน เราก็มาค้างสวรรค์ หรือค้างพรหมโลก เท่านี้เราก็มีความสุข

    ท่านเทศน์เยอะ นั่งฟังกันตั้งแต่เวลา 4 โมงเช้า ถึงเวลา 6 นาฬิกา ก็รู้สึกว่าไม่นานหลังจากนั้น ร่างกายก็กลับลงมา เป็นวันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 6 พอกลับลงมาแล้ว ทีนี้ไม่ทันจะถือบาตร ปรากฎว่า เทวดา นางฟ้า ซึ่งเป็นกุมเทวดาบ้าง รุกขเทวดาบ้าง อากาสเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ท่านนั่งกันเป็นแถวอยู่แล้ว พร้อมในการใส่บาตร แต่ว่าการใส่บาตรของท่านมันแปลก จะกี่องค์ก็ตาม ปริมาณอาหารเท่าเดิม ถ้าท่านมาองค์เดียว การใส่บาตรก็มีปริมาณอาหารเท่านั้น มาหลายองค์ ต่างคนต่างใส่ ปริมาณอาหารเท่าเดิม คือ อิ่มพอดี กินอิ่มแล้วมีความชุ่มชื่น แม้แต่น้ำก็ไม่ค่อยอยาก ความกระหายไม่มี ชุ่มชื่นมาก อารมณ์มีความสุขในเมื่ออารมณ์มีความสุข มันก็มีความสบายทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าท่านทั้งหลาย การเกิดขึ้นมาแล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มีเป็นของธรรมดา ท่านใส่บาตรแล้ว ต่างคนต่างก็ไป


    Cr โดยคุณ : อริยบุตร หนังสือธรรมะ

    อ่าน E-book หลวงพ่อธุดงค์และเรื่องอื่นๆของเรื่องพ่อได้ที่
    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
  3. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     
  4. บัวแรกแย้ม

    บัวแรกแย้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2015
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +9,122
    กราบนมัสการหลวงพ่อครับ
     
  5. sandrine75

    sandrine75 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +24
  6. sandrine75

    sandrine75 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +24
    Coucou, ton forum est trop ! Je viens tous les jours et cela me plait beaucoup
    voyance gratuite
     
  7. เด็กสร้างบ้าน

    เด็กสร้างบ้าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +538
    ได้เห็นได้รู้จากการอ่าน ต่อไปก็ปฎิบัติครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...