เรื่องเด่น ล้างภพชาติ และด้านมืด ในใจตน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 9 ธันวาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ?temp_hash=79d2d06751dc3a5a745334308373c629.jpg


    FvnGQaKzTEMfHXjZ3dE0IecLrVbtBC_aktw186FTYTS5&_nc_ohc=zvRm_a97npkAX8iuraG&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    ฝึกพื้นฐาน ให้มีความชำนาญอยู่เสมอ
    ตั้งแต่ระลึกรู้สึกตัว รู้กายได้เนืองๆ
    จนรับรู้กายได้ทั่วทั้งตัว
    อยู่ในฐานของกายได้ดี
    #วางจากฐานกาย เข้าสู่ฐานของเวทนา
    เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
    อยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ทรงตัวดี
    #วางจากฐานของเวทนา เข้าสู่ฐานของจิต
    รู้จิตที่ตั้งมั่น มีความมั่นคง ตื่นรู้อยู่ภายใน
    เมื่อสติมีกำลัง จิตก็จะเกิดการขยายจางคลายตัว เกิดสภาวะรู้ตื่นเบิกบาน
    การรับรู้ก็จะแผ่กว้างออกไป
    #ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ เข้าสู่ธรรมานุปัสสนา
    ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
    เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ถ้ากำลังของข่ายญาณกางได้ทรงตัวดี
    จะเกิดสภาวะที่เรียกว่า... #รู้รอบ รับรู้ได้เป็น 360 องศา
    เมื่อทรงตัว เราจะรับรู้บรรยากาศ สภาวะได้รอบทิศทางทุกฐาน จะถูกรู้ทั้งหมด
    ทั้งลมหายใจ ฐานของกาย ฐานของเวทนา
    ทั้งฐานของจิต
    สรรพสิ่งต่างๆที่อยู่ในข่าย
    ก็จะถูกรู้ เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ภาษาพระท่านเรียกว่า #ญาณทัศนะ
    #ญาณคือรู้ #ทัศนะคือเห็น
    สภาวะรู้ ที่ทรงตัว
    จนเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
    การรู้เห็นด้วยญาณทัศนะ
    จะปราศจากการยึดมั่นถือมั่น
    เห็นการแตกดับของรูปนาม ของขันธ์ทั้ง 5
    ถ้ามีกำลัง ก็จะสามารถแผ่ขยายการรับรู้
    ออกไปกว้างได้เรื่อยๆ เหมือนเรดาร์เลย...
    วงของเรดาร์ที่แผ่ออกไป
    ทุกอย่างที่อยู่ในข่ายญาณก็จะถูกรู้
    ถูกเห็นได้ทั้งหมด
    บางท่านกำลังจิตสูงมาก เป็นสิ่งที่สะสมมา
    ไม่ใช่เฉพาะภพชาตินี้เท่านั้น
    เรียกว่าเป็นจิตที่สะสมมานับภพชาติไม่ถ้วน
    เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
    ข่ายญาณจะกางกว้างออกไปทั่วจักรวาลเลย
    ไม่ได้รับรู้แค่อยู่ข้างใน
    นั่นคือเป็นปกติของจิตที่มีกำลังสูง
    จิตที่มีกำลังสูงมีหลายสาเหตุ
    ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นดวงจิตที่อยู่มานาน
    พออยู่มานานกำลังก็เลยสูง
    หรือบางดวงจิตก็สะสมบารมีพวกเป็นโพธิต่างๆ
    ก็อยู่มานานเช่นกัน
    หรือบางดวงจิตก็อยู่มานานไม่พ้นสักที
    ก็อยู่มานานเช่นกันนะ ก็มีเยอะ
    กำลังสูงนี่ ไม่ใช่เฉพาะ
    เรื่องของ #บารมีธรรม เท่านั้นนะ
    กำลังของดวงจิต จะประกอบด้วยด้านสว่าง
    กับด้านของความมืด
    มันก็เป็นพลังงานทั้งคู่เช่นกัน
    ด้านมืดมีกำลังมาก
    ก็ถือว่าเป็นดวงจิตที่มีกำลังสูงเช่นกัน
    ซึ่งพลังงาน มันสามารถขับเคลื่อนสิ่งต่างๆได้
    ไม่ว่าจะเป็นพลังงานด้านสว่าง
    หรือพลังงานด้านมืดก็ตาม
    เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่า
    ผู้ที่มีกำลังสูงจะเป็นคนที่มีบารมีธรรมมาก
    แต่เป็นผู้ที่มีกำลังมาก
    ตรงนี้เมื่อฝึกเรื่องของญาณอภิญญาต่างๆ
    จึงขึ้นอยู่กับกำลังของจิตนั้นๆ
    มีกำลังไม่เท่ากัน
    อุปมาเหมือนบางดวงจิตมีกำลังเหมือนมด
    ต่อให้คล่องอภิญญาสมาบัติเท่าไหร่
    ก็มีกำลังระดับมด
    แต่บางดวงจิตมีกำลังประดุจช้างสาร
    ถึงแม้จะไม่ได้คล่องอภิญญาสมาบัติ
    แต่ด้วยความที่ธรรมชาติของตนมีกำลังสูง
    กำลังจึงสูงกว่ามากนะ
    กำลังตรงนี้ มันก็เหมือนเป็นสนามพลัง
    ของแต่ละดวงจิต ดวงจิตที่มีสนามพลังมาก
    ย่อมมีกำลังที่สูงกว่า
    มันไม่ใช่สิ่งที่จะสะสมกันภพชาติเดียว
    มันสะสมกันมาอย่างยาวนานมาก
    ซึ่งถ้าเราเดินในระดับ #อรูปฌาน
    เราก็จะเริ่มสัมผัสสิ่งที่เรียกว่า #กำลังของจิต
    ตรงนี้ เป็นพลังของจิตที่สะสมมา
    เมื่อเรากางข่ายญานออกได้เป็น ก็ฝึกให้ชำนาญ
    คือเมื่อกางออกไปเป็น ก็ถอยกลับมาได้
    ถอยกลับเข้าสู่ฐานของจิต
    ....ข่ายญาณก็จะหุบลงมา
    จนเกิดความตั้งมั่นอยู่ข้างใน
    เมื่อหุบเป็น ก็ฝึกกางออกใหม่
    เมื่อจะยกจิตวิปัสสนาญาณ
    ก็สามารถแผ่การรับรู้ให้กว้างออกไป
    #รู้ตื่นเบิกบาน พลิกเป็นวิปัสสนาญาณ
    เมื่อจะถอยกลับมาเป็นสมาธิ
    ก็หดการรับรู้เข้ามา มีความตื่นรู้อยู่ข้างไหน
    ฝึกแผ่ออก แล้วก็หดเข้ามาให้ชำนาญ
    อันนี้คือ
    #วิธีการพลิกระหว่างสมถะกับวิปัสสนาญาณ
    พลิกให้กว้างออก แล้วก็หดเข้ามา
    ให้สังเกตุว่าเวลาจิตที่แผ่กว้าง
    กับจิตที่หุบเข้ามาเนี่ย
    สภาวะมันมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
    ฝึกซ้อมเรียนรู้ให้ตนเองมีความชำนาญ
    สภาวะมันจะมีความแตกต่างกัน
    อันนี้จะทำได้.. สำหรับผู้ที่เริ่มมีจิตตั้งมั่นได้ดี
    ก็ฝึกแผ่กว้าง เบิกบาน หุบเข้า
    เหลือแค่ตื่นรู้ขึ้นมา ฝึกให้ชำนาญ
    นั่นคือวิธีการพลิกระหว่าง ฌาน กับญาณ
    พลิกกลับไปกลับมาได้
    ถ้ามี #ความชำนาญไม่ต้องตั้งท่า
    ทำอะไรก็พลิกได้ ไม่ต้องตั้งท่า
    เดินเล่นทำอะไรอยู่ ก็สามารถพลิกไปมา
    ระหว่างฌาน กับญาณได้
    ซึ่งสภาวะของฌาน กับสภาวะของญาณ
    มีความแตกต่างกัน
    ถ้าต้องการ #เดินปัญญาญาณ
    ก็ต้องพลิกเป็นวิปัสสนาญาณ
    เห็นการแตกดับของรูปนามขันธ์ 5
    ถ้าต้องการอยู่กับความ #สงบตั้งมั่น
    สะสมกำลังของสติกำลังของสมาธิ
    ก็อยู่กับความตั้งมั่นของจิตเป็นหลัก
    พระพุทธองค์ตรัสว่า...
    ผู้ที่สามารถ ทั้งสมถะ และวิปัสสนา
    ที่ว่าเข้าคู่กันได้อย่างแน่นแฟ้น มีความกลมกล่อม จะสามารถ Balance สมดุลทุกอย่างได้มีความลงตัว
    บางทีเราเดินวิปัสสนาญาณตลอดเวลา
    สภาวะการแตกดับมาก... บางทีมันก็เหนื่อย
    มันเห็นแต่การแตกดับของรูปนาม
    แล้วก็เวลา สภาวะที่เปิดกว้าง ก็จะไปรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก กระแสภายนอกได้ง่าย
    โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ ฆราวาส
    ที่อยู่ในโลกภายนอก
    เวลาข่ายญาณที่กว้างออก
    คิดดู.. เฉพาะอารมณ์ตัวเองเนี่ย เหนื่อยไหม?
    แค่รู้อารมณ์ตัวเอง แล้วต้องไปรับรู้
    อารมณ์ชาวบ้านเหนื่อยไหม?
    เพราะฉะนั้น ก็จะใช้ชีวิตยากกว่า
    แต่ถ้าต้องการความสงบ
    ก็ถอยกลับมาที่สมาธิ ความตั้งมั่นแห่งใจ
    อย่างนี้... ก็จะไม่ไปรับรู้อารมณ์ภายนอก
    รู้แค่กายแค่ใจของตนเอง
    แต่ถ้าเป็นชีวิตนักบวช ไม่มีสิ่งภายนอกมารุมเร้า
    เราก็จะสามารถอยู่กับวิหารธรรม
    ที่เหมาะสมได้สบายๆ
    ถ้าเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกภายนอก
    ความชำนาญตรงนี้จะช่วยให้เขา Balance
    ระหว่าง #โลกกับธรรม ได้มากนะ
    #ถอนฐานจิต แล้วก็ถอยกลับมา
    ที่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้
    แล้วก็ #ถอยกลับมาที่ฐานของกาย ได้
    ฝึกตรงนี้ให้ชำนิชำนาญนะ
    เรียกว่าเป็นผู้มีความชำนาญในสติปัฏฐานทั้ง 4
    #เป็นมรดกธรรม
    ที่พระพุทธองค์ทรงมอบไว้ให้แก่ชาวโลก
    ปัญหาของคนใหม่ก็คือฝึกแล้วพัฒนาได้ช้า
    เกิดความง่วง ความฟุ้ง ลังเลสงสัย ความขี้เกียจต่างๆ คือ ไม่สามารถฟันฝ่าอารมณ์ๆหยาบๆของจิตได้
    บางคนก็เลิกไป หรือมีสิ่งที่ดึงไปบ้าง
    สาละวนอยู่กับอารมณ์หยาบๆอยู่
    ไม่สามารถพัฒนาตนเอง
    เข้าสู่สภาวะละเอียดที่ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆได้
    บางคนใช้เวลาช่วงต้นนาน
    ในการเกลาอารมณ์ตนเอง พัฒนาจิตของตนเอง
    แต่บางคนสามารถพัฒนา จนข้ามสภาวะที่หยาบ
    เข้าไปสู่สภาวะที่ละเอียดประณีตได้ไว
    ระดับสมาธิเป็นต้น
    ไปได้ไว.. ก็จะเจอปัญหาอุปสรรคอีกรูปแบบ
    ก็คือ พอจิตมันกว้าง จิตมีความประณีต
    มันสบาย มันเบา โล่ง สงบ
    แต่ว่าเวลาใช้ชีวิตอยู่ภายนอก
    การที่ข่ายการรับรู้มันกว้าง
    ก็จะไปรับรู้อารมณ์ กระแสภายนอก
    ทำให้มีอุปสรรคในการใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
    ก็คือไปรับอารมณ์ภายนอกได้ง่าย
    แล้วเวลาสภาวะที่ละเอียด เวลาต้องพูดคุยสื่อสารทำงานการต่างๆ
    ....บางทีจิตมันไม่ปรุง
    พอจิตไม่ต้องคิด ไม่ปรุง
    การสื่อสารทำงาน ก็จะเป็นไปด้วยความติดขัด
    จะ balance ตรงนี้ได้ยาก
    เพราะฉะนั้น สภาวะในแต่ละระดับ จะเป็นคนที่
    อยู่ในระดับต้องขัดเกลาอารมณ์หยาบก็ดี
    หรือเป็นผู้ที่อยู่ในสภาวะละเอียดทรงตัวก็ดี
    ก็ล้วนมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนด้วยกันทั้งนั้นนะ เพื่อที่จะได้ บาล้านซ์ระหว่าง
    โลกภายนอก กับโลกภายใน
    ให้มีความกลมกล่อมมีความสมดุล
    ที่เรียกว่า #โลกไม่ช้ำธรรมไม่ขุ่น
    เพราะฉะนั้น...
    ถ้าเราไม่ฝึกเบสิคให้ชำนาญไว้เนี่ย
    เวลาจิตเราละเอียดไปมาก
    เราต้องถอยกลับมาฝึกเบสิค
    ก็เสียเวลาเช่นกัน...
    เรียกว่ามันไม่ค่อยลงมาแล้ว
    มันชอบอยู่กับความเบา อยู่กับความสงบ
    อยู่กับความประณีต
    เวลาเราเริ่มได้ถึงของดีแล้วเนี่ย
    มันก็จะไม่ค่อยถอยมาอยู่กับอารมณ์หยาบๆแล้ว
    ถ้าเราไม่ถูกฝึกเรียนรู้มาตั้งแต่ต้นนะ
    บางทีต้องใช้ฝึกเวลาแบบนี้หลายเดือนเลย
    เนื่องจากธรรมชาติของคน ชอบความสุขอยู่แล้ว
    อยู่กับความเบา อยู่กับความโล่ง
    อยู่กับความสงบเนี่ย มันประณีตกว่า
    มันไม่ค่อยอยากจะถอยกลับมาอยู่ที่ฐานกาย
    อยู่กับอารมณ์หยาบๆอยู่แล้ว
    เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกเบสิคในทุกๆวันเนี่ย
    มันจะทำให้เรามีพื้นฐาน #มีรากฐานที่มั่นคง
    โดยเฉพาะ #กายคตาสติ เปรียบเหมือนแผ่นดิน
    ความหนักแน่นมั่นคง ที่รองรับสรรพสิ่ง
    บางคนพัฒนาสภาวะได้ละเอียด
    จนเข้าสู่ #ความว่าง ไม่มีอะไรเลยนะ
    ในความว่าง... ก็มีทั้งระดับที่เป็นสมาธิ
    ซึ่งก็มีทั้งระดับ ที่เป็น #มิจฉาสมาธิ
    แล้วก็เป็นระดับที่เป็น #สัมมาสมาธิ
    และก็มีความว่างที่ระดับ
    เป็น #สุญญตาวิหาร เช่นกัน
    สมาธิก็มีแบ่ง ทั้งสมาธิที่เป็นมิจฉาสมาธิ
    หรือเป็น สัมมาสมาธิ ก็มีความว่างเช่นกัน
    แต่มีความแตกต่างกัน
    หรือความว่าง... ที่เป็นชั้น #โลกุตตร
    เป็นความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
    เนื้อของความว่าง ก็มีสภาวะที่แตกต่างกัน
    มันไม่ใช่ว่าคำว่า " ว่าง " คำเดียว
    แล้วจะตีความว่า การปฏิบัติถูกต้อง
    ....มันไม่ใช่แบบนั้นนะ
    ต้องแจกแจงว่า มันอยู่ในหมวดไหน
    #หมวดของสมาธิ
    แยกออกเป็น มิจฉาสมาธิ หรือสัมมาสมาธิ
    #หมวดระดับโลกุตตระ
    เป็นสภาวะที่พ้นจากการปรุงแต่ง
    ความว่างก็จะมีความลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆเช่นกัน
    โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Qi-11.jpg
      Qi-11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.2 KB
      เปิดดู:
      250
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
    การฝึกสติปัฏฐาน...
    จนสามารถสลัดคืนเข้าถึงความบริสุทธิ์
    ของธรรมชาติตรงนี้แหละ
    เนื้อของความบริสุทธิ์ตรงนี้แหละ
    ที่จะชะล้างวิบากกรรมต่างๆ
    อาสวะกิเลสต่างๆ
    ที่หมักหมมอยู่ในขันธสันดาน
    มันต้องค่อยๆชำระไป
    เหมือนน้ำดีชำระล้างน้ำเสีย
    เราเกิดมากี่ภพชาติที่มันสะสม
    ถ้าอยู่ในสภาวะของนิโรธสมาบัติแบบละเอียด
    เราจะเห็นสิ่งที่เรียกว่า #กระแสวิบากกรรม ได้
    แต่ละคนรายล้อมเป็นเหมือนหางว่าวเลย
    มันจะเป็นพลังงานมืดที่รายล้อมเราอยู่
    ไม่ว่าเราจะไปเกิดภพภูมิใด
    สิ่งนี้มันก็จะตามให้ผล
    มันจะอยู่ในมิติของอวกาศ
    อยากเรียนรู้เรื่องของวงจรกรรม
    ก็ต้องชำนาญใน #สมาบัติทั้ง8 แล้วก็ 9
    แล้วก็ #ชำนาญในปฏิจจสมุปบาท
    ซึ่งต่อไปก็จะเริ่มลงอรูปเรื่อยๆ
    แล้วก็พลิกเป็นวิปัสสนา
    แล้วก็อนุปบุปพีวิหาร
    แล้วก็อยู่ในนิโรธสมาบัติ
    จนสามารถเห็นสิ่งที่เรียกว่า
    # วิบากกรรม#วงจรกรรม ต่างๆ
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา
    มันไม่ได้มีอะไรบังเอิญเลย
    มันเป็นวิบากกรรม เป็นวงจรกรรม
    ที่ให้ผลทั้งนั้นเลย
    ซึ่งถ้าเราอยากจะเรียนรู้ระดับสูงขนาดนั้น
    ก็ต้องอาศัยการฝึก
    ที่เรียกว่าเก็บตัวปฏิบัติ มีจิตใจที่ตั้งมั่น
    อีกครึ่งพรรษาหลังก็จะลงลึกลงไป
    แต่ว่าจะถึงระดับนั้นนี่ กำลังต้องดีมากเลย
    ก็ค่อยๆฝึกปฏิบัติไป
    ซึ่งพอไปถึงตรงนั้น...
    เราก็จะแยกระหว่างเนื้อที่มันเป็นเนื้ออวกาศ
    กับเนื้อที่เป็นเนื้อของอมตธรรม
    อย่างที่เคยบอกว่าธรรมชาติมันมีอยู่ 2 เนื้อ
    คือเนื้อที่เป็นเนื้อความบริสุทธิ์
    กับเนื้อที่เป็นเนื้อความมืด
    เนื้ออวกาศทั้งหมด
    มันคือเนื้อความมืดทั้งหมดเลย
    ใหญ่ขนาดไหนล่ะ?
    นั่นแค่ส่วนเดียวของธรรมชาตินะ
    ที่มันแยกออกมา
    แต่เวลาสลัดคืนเข้าถึงความบริสุทธิ์
    มันหลุดไปถึงเนื้อที่เป็น #เนื้อบริสุทธิ์
    เนื้ออวกาศจะมีความเวิ้งว้าง
    มันเป็นความว่างเหมือนกันนะ
    แต่มันเป็นความเวิ้งว้าง
    #แต่ถ้าเป็นเนื้อของความบริสุทธิ์ไม่มีความเวิ้งว้าง
    จิตวิญญาณจำนวนมาก
    ที่ค้างอยู่ในเนื้ออวกาศ มหาศาลมากเลย
    ทั้ง #รูปพรหม #อรูปพรหม
    แล้วก็ชั้นที่ลึกลงไป มหาศาลมาก
    ที่อยู่ในมิติของอวกาศทั้งหมดเลย
    น้อย! ที่จะข้ามเข้าไปถึงเนื้อความบริสุทธิ์ได้
    ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องยุคที่
    พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นนั่นแหละ
    ช่วงที่พระองค์อยู่ พระองค์ก็จะโปรด
    แล้วก็นำเข้าสู่เนื้อตรงนี้เลย
    นอกนั้นส่วนใหญ่ก็จะค้าง
    อยู่ในอวกาศกันมาก
    เพราะฉะนั้น เรายังมีโอกาส
    ได้ #ศึกษาเนื้อสภาวะระดับสูง
    #ความว่างมีหลายระดับ
    ทั้งเป็นมิติส่วนตัวที่สร้างขึ้นมา
    แล้วก็เนื้อของธรรมชาติ
    เนื้อธรรมชาติ ก็จะมีเนื้อระดับของอรูปฌาน
    แล้วเนื้อของอวกาศที่เป็นธรรมชาติจริงๆเลย
    Space จริงๆ เนื้ออวกาศเนี่ย
    สรรพสิ่งก็เกิดมาจากเนื้ออวกาศตรงนี้แหละ
    ไม่ว่าจะเป็นระบบดวงดาว ทุกอย่าง สิ่งมีชีวิต
    โลกเราก็อยู่ในอวกาศถูกไหม?
    ทุกอย่างมันก็อยู่ภายใต้อวกาศ
    อวกาศ มันก็มีเนื้อที่เป็นมิติที่ลึกลงไปอีกนะ
    มีความละเอียด ความอะไรขึ้นไป มหาศาลมาก
    แต่เราไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้พวกนั้นทั้งหมดหรอก
    แต่สิ่งที่เราควรรู้ คือ
    เราจะข้ามพ้นเนื้อจักรวาลอวกาศได้อย่างไร?
    ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า #อมตธรรม
    เพราะว่านั่นคือ สิ่งที่เราจะพ้น!
    จากวงจรตรงนี้อย่างถาวรได้
    ก็ค่อยๆ ฝึกไป...
    โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
    พระวิปัสสนาจารย์
    หลังปฏิบัติธรรม 17/08/63
    j80-bWQ4KfZg_KXCQGk_nlwgal1-Bn068xdHGWnkTqB4&_nc_ohc=M2zinpbsSBgAX-6wcKN&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,422
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +70,473
    #ปุจฉา: การมีครอบครัว มีลูก
    สิ่งนี้จะทำให้เรายังคงปฏิบัติธรรม
    ให้เข้าถึงการหลุดพ้นได้ไหมคะ?
    #วิสัชนา: ตอบปัญหาธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
    ก็สามารถทำได้นะ
    โดยเฉพาะถ้าฝึกตามเช้าค่ำเนี่ย...
    เป็นโอกาส
    .
    ลูกศิษย์ลูกหาที่มีครอบครัว
    และพัฒนาเข้าถึงสภาวะที่ลึกซึ้ง
    ก็มีเยอะแยะไปนะ
    เพราะฉะนั้น..
    ก็สามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน
    ฝึกปฏิบัติไปเรื่อย ๆ นะ
    ..............................................................
    ตอบปัญหาธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
    ณ ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธฯ เขมรังสี (ศูนย์ 4) จ.พระนครศรีอยุธยา
    วันที่ ๔ กรกฏาคม ๒๕๖๓
    gED5GlFe2yQGBXlNaD_GEAx7o3ckRQdKf3Ynbc6-_sDV&_nc_ohc=fnDFeuTOYo0AX-_yqLA&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...