ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ❤กายเป็นสุข ใจเป็นสุข❤

    สุขทางโลกอุดมไปด้วยกามคุณ5 กายรับสัมผัสที่ชอบใจ ถูกใจ จากการเสพทาง ตา หู จมูก ลิ้น

    แม้จะเข้าสู่เส้นทางธรรม แต่แวดล้อมคือโลก ก็ยังต้องหล่อเลี้ยงผู้แวดล้อมให้มีความสุขตามฐานะ

    การปฏิบัติต่อผู้มีคุณด้วยกามคุณ5 หรือด้วยรสพระธรรม ก็จัดว่าเป็นมงคลแก่ผู้ปฏิบัติ

    ผู้ที่เข้าใจแล้วทั้งโลกและธรรม จึงประพฤติได้อย่างโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่ขุ่น...โลกเกื้อหนุนธรรม ธรรมเกื้อหนุนโลก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (1).jpeg
      images (1).jpeg
      ขนาดไฟล์:
      18.3 KB
      เปิดดู:
      100
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2021
  2. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
     
  3. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เพราะเหตุไฉนจึงพ้นทุกข์ จิตมันไม่ทุกข์ ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์ มันนิ่ง มันไม่สำคัญมั่นหมาย ดีมันก็ไม่ได้ว่า ชั่วมันก็ไม่ได้ว่า ทุกข์มันก็ไม่ได้ว่า สุขมันก็ไม่ได้ว่า ถูกมันก็ไม่ได้ว่า ผิดมันก็ไม่ได้ว่า มันไม่ได้ว่าอะไรทั้งหมด เป็นสมุจเฉทปหานนี่ เป็นสมุจเฉทวิรัติซี่ ปฏิเสธหมด ไม่รับรองรับรู้เจ้าทั้งนั้น
    .
    เวลานี้มันรับรองหมดนี่ ทุกข์เกิดขึ้นมันก็รับรองว่าตัวทุกข์ ยากเกิดขึ้นมันก็รับรองว่าตัวยาก ดีเกิดขึ้นก็ว่าตนดี ชั่วเกิดขึ้นก็ว่าตนชั่วความรักเกิดขึ้นก็ว่าตนรัก ความชังเกิดขึ้นก็ว่าตนชัง มันไปรับรองอยู่ยังงั้นนี่ มันก็เป็นทุกข์น่ะซี่ เราปล่อยวางซี่ เราเพ่งดูอยู่ภายในอย่างเดียว เราไม่รับรอง ของมันก็ไม่เข้ามาหาเรา
    .
    เราไม่มีเครื่องรับก็ไม่มีอะไรเข้า เปรียบเหมือนกับส่งวิทยุมาสักเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีเครื่องรับมันก็เงียบ ไม่เข้ามาถึงเราสักอย่าง ถ้ามีเครื่องรับรองแล้วมันก็เข้ามาถึงที่ เราดับเครื่องซี อย่าไปรับซี มันก็เข้าไม่ได้ ในไม่ออกนอกไม่รับแล้ว มันก็อยู่เป็นเอกเทศอยู่ซี่ อยู่ใครอยู่มันซี่ เอโกธัมโมซี่ เอกัง จิตตัง มีจิตเป็นเอกซี่ เอโก ธัมโม เป็นธรรมอันเอก เป็นเอกก็เป็นใหญ่ซี่ เอโก อิตถิโย ผู้หญิงก็เป็นใหญ่ เอโก ปุริสโส ผู้ชายก็เป็นใหญ่ล่ะ มันไม่หวั่นไหวอะไรทั้งหมด เป็นใหญ่ได้แล้ว นั่นแหละมันใหญ่ตรงนั้นซี่ มันได้ตรงนั้นซี่ จะไปหาที่ไหนล่ะ นี่แหละธรรมเป็นเอกราชแล้ว ธรรมราชาก็เป็นใหญ่แล้ว
    .
    ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมเห็นในตนของตน สันทิฐิโก เป็นอย่างไรล่ะ นี่เราไปคอยจะรับเอา เห็นเขาว่าดีก็ดีตามเขา ชั่วขึ้นมาก็ว่าชั่วตามเขาเขาไม่ได้ว่าเขาดีเขาชั่ว ทะเลนี้เขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นน้ำทะเล ถามเขาว่าเจ้าเป็นทะเลไหม เงียบ เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรสักอย่าง เราไปว่าเอาเองน่ะซี ถามเขาว่าเจ้าเป็นภูเขาไหม เงียบ เขาไม่ได้ว่าอะไร เจ้าเป็นดินไหม เงียบ เขาไม่ได้ว่าอะไร เขาเฉยหมด เราเป็นผู้สมมติเอาเอง
    .
    นี่แหละสัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในมหาสมุทร คือตกอยู่ในความสมมตินิยม เขาว่าดีก็จะดีกับเขา เขาว่าชั่วก็จะชั่วกับเขา เขาว่าทุกข์ก็ทุกข์กับเขาล่ะ เราไม่ต้องหลงซี่ ให้รู้เท่าในสังขาร เขาว่าดี เราไม่ดีก็จะว่ายังไงล่ะ เขาว่าชั่ว เราไม่ชั่วก็จะว่ายังไง เขาว่าสุข เราไม่สุขจะว่ายังไงล่ะ เขาว่าทุกข์ เราไม่ทุกข์จะว่ายังไงล่ะ นั่นคือเป็นเอกราชา เป็นใหญ่ ไม่หวั่นไหวอย่างนี้น่ะซี นี่คือรู้เท่ากองสังขาร
    .
    คังมาจากพระธรรมเทศนาเรื่อง
    +ความรักและความชัง+
    เมื่อปี ๒๕๐๘ ณ วัดเขาบันไดอิฐ
    ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ขันธ์ ๕ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ตัณหา ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป “พระโสดาบัน” ท่านละสังโยชน์ตัวนี้ได้ พูดง่ายๆว่า ขนมีกิเลสไหม ผมมีกิเลสไหม หนังมีกิเลสไหม มันรักใคร มันชังใคร เพราะฉะนั้น “พระโสดาบัน” ท่านละสังโยชน์ตัวนี้ได้ หมายความว่า วัฏฏะไม่มีอยู่ในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัววัฏฏะ ที่มีอยู่ในกรรม กรรมกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ โลภ โกรธ หลง พระโสดาบันท่านจึงเชื่อต่อกรรม และ ผลของกรรม กรรมก็หมายถึงเจตนานั่นเอง มีกรรมในใจของเรา เป็นอนุสัยนอนอยู่นี่ ละความชั่วโดยเด็ดขาดแล้ว ท่านจึงมี ศีล ๕ บริสุทธิ์ เป็นบริสุทธิ์ศีล

    ถ้าเป็นฆราวาสก็ไม่สามารถทำบาป ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง พระโสดาบันท่านละสังโยชน์อย่างหยาบ ทำบาปด้วยกายวาจา ละได้ รักษาวาจาให้เรียบร้อบบริสุทธิ์ แต่ สังโยชน์อย่างกลาง อย่างละเอียดยังฝังอยู่ ยังเกาะอยู่ สังโยชน์อย่างกลาง อย่างละเอียด ไม่เป็นเหตุให้ตกอบายภูมิทั้ง ๔ มีแต่ มนุษย์สุข สวรรค์สุข ตลอดจนนิพพานนั้นๆ เป็น “นิยโตสัตว์ เป็นนิยโตจิต” อย่างช้าสุด ๗ ชาติ ท่านก็ไปนิพพาน

    พระโสดาบันท่านไม่ตกนรก เมื่อพระโสดาบันท่านเห็นว่า ท่านไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตน ท่านไม่เห็นตนเป็นขันธ์ ๕ ไม่เห็นขันธ์ทั้ง ๕ มีในตน ไม่เห็นตนมีในขันธ์ ๕ แล้ว ท่านเห็น อะไร?

    ตอบว่า พระโสดาบัน ท่านเห็นกรรม เห็นกรรมเป็นตน กรรมเป็นกิเลส มันแก้ไม่หมด เป็นสังโยชน์ผูกอยู่นั่น พูดง่ายๆ ท่านเห็นต้นตอของวัฏฏะแล้ว มีแต่พยายามที่จะทำลายมันเท่านั้น นี่ท่านจึงเข้าถึง “สัมมาสมาธิ” สมาธิความตั้งใจไว้ชอบ อันมีความสุข ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็น "อกาลิโก" เป็น "สมาธิตลอดเวลา" แม้จะ ยืน เดิน นอน นั่ง อะไร เข้าสังคมไหนก็ไม่เสื่อม ไม่เหมือนสมาธิประเภทอื่น

    สมาธิประเภทอื่นนั้น ตอนนั้นจึงเข้าสมาธิ ตอนนี้จึงเป็นสมาธิ สมาธิอันนี้มีสังโยชน์คลุมเครืออยู่ ตัดสังโยชน์ไม่ขาด เป็น “สมาธิเฉยๆ” ไม่ใช่ “สัมมาสมาธิ” ส่วน "สัมมาสมาธิ" ใน "อริยมรรค" ต้องอาศัย "ปัญญา"

    หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      98
  5. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    VtP0rO.jpg
     
  6. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ไปนั่งดูซิ ความคิดอันนั้นแหละที่มันมาเกิดขึ้นอีกมันเกิดจากตัวเราเอง มันเกิดขึ้นอีกแล้วกว่าจะแก้ตก เวทนาก็มาทับเสีย แล้วก็เลยนอนหลับสบายไป กิเลสมันก็ไชโยนะซิ มันกล่อมเราได้ผลให้เรานอนหลับ
    .
    สักหน่อยก็ไปกล่าวตู่ศาสนาว่าไม่จริงเท่านั้นเอง ที่แท้ตัวเองลงมือทำอะไรก็ทำไม่จริง มันก็เลยกลายเป็นว่าไม่จริงไป ถ้าของตัวเองไม่จริงแล้วมันจะเห็นของจริงได้อย่างไร อยู่ทางโลกมันก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง
    .
    พระพุทธเจ้าท่านว่า "อุฏฐานสัมปทา"(ถึงพร้อมด้วยความมั่น คือขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพที่สุจริต ในการศึกษาเล่าเรียนและในการทำธุระหน้าที่การงาน รู้จักใช้ปัญญาสอดส่อง หาวิธีจัดการดำเนินการให้ได้ผลดี) ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียรท่านไม่ว่าเกียจคร้านในสุภาษิตมีอย่างนั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัติเอาทำอย่างไรมันถึงจะเกิดถามเข้าไปในจิตตัวเอง มันจะตอบขึ้นมาเองหรอก
    .
    ถ้าไปพิจารณา ถ้าไปหัดความสงบ ก็หัดเข้าไปเลยมันจะเกิดขึ้นเองหรอก แล้วพอมันสงบเข้า สงบเข้า พอจิตมันรวมกันเข้า รวมกันเข้าก็เกิดแสงสว่างขึ้นความอัศจรรย์มันไม่ออกจากนั้นหรอก มันใคร่ครวญอยู่นั่นแหละ
    .
    นี่ปัญญาเกิดมันเกิดจริง ๆ นะ ปัญญาขอให้มันเกิดเถอะ เรื่องเหตุผลมันจะไหลอยู่นั้นแหละ เหมือนคนไม่เคยมีเงินกำเงินในมือจนเหงื่อออกมือ นี้ก็เหมือนกันถ้ามันใคร่ครวญอยู่ ถ้ามันเห็นแล้วใคร่ครวญอยู่เป็นวันก็เป็นวันนะ มันจะเกิดความอัศจรรย์
    .
    คัดมาจากพระธรรมเทศนาเรื่อง+ใจมันคอยวิ่งตามกิเลส+
    จากหนังสือ +เศรษฐีธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร+
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    งานที่เราปั้นเหมือนกัน มีคนสั่งปั้น พอปั้นเสร็จไม่อยากให้ อยากเก็บไว้เอง มันมีความภูมิใจอยู่ในนั้น มันมีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นความสามารถของเราเอง มันมีความไม่อยากสูญเสีย อยากเก็บไว้ จริงๆ มันเกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมาจริงๆ...เราดูมัน เห็นมัน

    จากนั้นก็ทวนกระแสถอยเข้าไปๆ ........................ตัวสุดท้ายที่เจอคือ...ตัวกู ของกู........ร่ำไรเป็นยางยืดเลยแหละ

    ทุกข์ทั้งนั้น ตอนที่นั่งทำก็ทุกข์ ขณะทำก็ทุกข์ ทำเสร็จยิ่งทุกข์...โอ๊ย...ทุกข์ไป 108

    จะยกให้เขา ก็มาทุกข์อีก...ใช่คนดีป่าวว้า
    ถ้าให้ไปแล้ว เขาไม่รักษาเหมือนที่เรารักษา จะทำไงว้า
    เนี่ยๆๆๆๆ ทุกข์ทั้งนั้น...หลอกตัวเองว่านั่นคือความภูมิใจ

    กรรมฐานก็บอกอยู่โต้งๆ ว่าคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำไมไม่เชื่อ ไปหวงทำไม? ถีงเวลานั้น มันแสดงอย่างนั้นจริงนะ มันจะมี 3 ตัวคุยกันในตัวเอง ดีนะที่มี 3 ตัว ก็เลยมีกรรมการผู้ตัดสิน

    ข้างในมันแสดงอย่างนั้น ปัญญาก็ห้ำหั่นกับกิเลสไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    มันจะมี 3 ตัวคุยกันในตัวเอง ดีนะที่มี 3 ตัว ก็เลยมีกรรมการผู้ตัดสิน


    สัญญา สัมปชัญญะ วิปัสนาญาณ

    ส่วนจิตก็ดูอย่างเดียว มี 4 อ่ะ
     
  9. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เราเห็นแค่ 3 อ่ะ
    จิตเป็นสติ เป็นผู้ดู แล้วสัญญาก็มีอยู่ในจิตที่ระลึกได้ ส่วนสัมปชัญญะเป็นปัญญาเกิดคู่กับสติ
     
  10. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    สติ (อาการ - ระลึก)... + สัมปชัญญะ (รู้สภาวะ.. กาย / เวทนา / จิต / ธัมม์ ) + วิปัสนาญาณ (ค.ว.ย.) + ปัญญา ...? :D:D

    แล้วแต่ว่า.. สติ.. จะครอบคลุมการระลึกอะไร..?? แล้วจะรู้อะไร..? (หยาบ - ละเอียด) ...?? :D:D
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2021
  11. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    จิตหมดภาระก็อยู่เหนือกาลเวลาแล้ว

    โลกคือภาระ ต้องทำสิ่งนี้เพื่อสิ่งนี้ตลอดเวลา เมื่อไม่มีภาระก็ไม่มีกฏเกณฑ์เวรเวลา เวลาไหนๆ ก็ไม่มีความหมาย จริงมั้ยจ๊ะ...จิตที่ปลดเปลื้องภาระทั้งปวงได้แล้วจึงอยู่เหนือกาลเวลา...
     
  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ความผูกพันมันเกิดเพราะเยื่อใย ตัดยากที่สุดก็ความผูกพันนี่แหละ ยกกรรมฐาน 40 กอง ขึ้นพิจารณาจนเห็นไตรลักษณ์นั่นแหละ จึงจะวางได้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ สักสามเฮือก แล้วก็...เฮ้อ...

    เวลาที่นึกถึงใจเขาใจเรา เจ้าความสงสารมันก็บีบคั้นใจ ดังนั้น เราต้องพิจารณาให้เห็นเรื่องวิบากกรรม แล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เค้ากับเราคงเคยมีวาสนาร่วมกันมาเพียงระยะเวลาสั้นๆ พอหมดวาสนาต่อกันก็แยกย้ายไปตามทาง

    เราเคยเจอมาแล้วความบีบคั้นนั้น...มันทรมานใจ ได้แต่โทษตัวเอง ทุกข์ๆๆๆ พอมามองเรื่องกรรมในอดีต เห็นทะลุเรื่องกรรม ใจก็วางลงได้...เราเข็ด ทุกวันนี้รักเมตตาได้ แต่ไม่ทุ่มเท เลี้ยงเค้าให้ดีที่สุดขณะที่อยู่กับเรา ไม่เอาใจไปร้อยรัด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    การ "ถอนตัว" ออกจาก "สมมติ" เพื่อให้จิตหลุดพ้น ไม่ "หลงในอาการ" ด้วย "สมถะ" และ "วิปัสสนา"

    "สมถะ" ให้แยก "กายกับจิต" กาย เป็นที่อยู่ที่อาศัยของจิต ทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ ให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต แล้วเอา จิต ให้รู้จัก ลม ภาวนา พุทโธ พุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมด อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้น ให้ปล่อย ให้เป็น "อันเดียว" รวมจิตลงที่ "อันเดียว" มันไม่ ส่งจิต ไปทางอื่นแล้ว มัน จะรวม อยู่ที่นั่น เมื่อพบเช่นนี้ เราก็มี "อันเดียว" เท่านั้น เหลือแต่ "ความรู้" หรือ "ผู้รู้" อันเดียว ให้รวมจิตเข้ามาเป็น "หนึ่ง" หรือ "จิตหนึ่ง" นี้คือธุระหน้าที่ของเรา

    "วิปัสสนา" เมื่อ "จิตหนึ่ง" เกิดแล้ว (จากสมถะ) กำหนดเอา "จิตหนึ่ง" มาเดิน "วิปัสสนาปัญญา" พิจารณาใน "ปัจจุบันธรรม" ให้ยึดหลัก " ทุกข์มันไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในใจหรอก มันเกิดเมื่อมันรู้เดี๋ยวนี้ กิเลสไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในใจเราเหมือนกัน มันเกิดเดี๋ยวนี้ เกิดในปัจจุบันธรรม"

    ใน "ปัจจุบันธรรม" จะมี ผู้รู้, จิต, และ, อารมณ์ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่

    "ผู้รู้"... เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสัมมาทิฐิ ผู้รู้ ออกมาจาก จิต ผู้รู้ กับ จิต เป็นตัวเดียวกัน

    "จิต".... เป็นผู้ทำงานทั่วถึงทุกทิศ ทั้งภายในภายนอก เป็นผู้นึกคิด เป็นผู้ปรุงแต่ง

    "อารมณ์".... อารมณ์เกิดมาทาง ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    ** เมื่ออารมณ์มากระทบอายตนะ มันก็มาถึงจิตทันที **

    เมื่อ "ผู้รู้" เห็นเช่นนี้ เกิดแล้วมันก็ดับ ดับแล้วมันก็เกิด มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น

    เมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน จิตก็จะปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ

    สุข - ทุกข์ มันก็มีแต่การเกิด - ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันเพราะมันไม่มีอะไร
    อันนี้เป็น "อารมณ์" อันนี้มันเป็น "จิต" เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ ตามเป็น จริงแล้ว

    "จิต" นั้นเลยเป็น "เสรี" (จิตหนึ่ง)

    .
    พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
    วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
     
  14. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ขณะอาพาธหนักในช่วงบั้นปลายของชีวิต

    ".. ก่อนที่จะละสังขารพร้อมมรดกธรรมของหลวงปู่ที่ฝากไว้เตือนใจ...

    พึ่งร่างกาย กายก็แตก พึ่งน้ำในกาย น้ำก็สลาย พึ่งไฟในกาย ไฟก็กระจาย กาย ทั้งร่างมีแต่เรื่องแตกกระจาย แล้วจะพึ่งอะไร.. ? พึ่งบ้าน บ้านก็จะพัง พึ่งสมบัติเงินทอง ก็ล้วนแต่สิ่งจะพังทลาย ยังเพลินเมามัว มั่วสุมอยู่หรือ..? มนุษย์เราตัวฉลาดแท้ๆ ไม่สมควรกับความเป็นดังที่กล่าวมา ความดีมีอยู่แสวงหาซิมนุษย์ทั้งหลาย ท่านหาความดีได้ ทำไมเราหาไม่ได้..? เวลาไพล่ไปหาความเลวทรามต่ำช้า ทำไมหาได้..? สิ่งเหล่านั้นมันวิเศษวิโสอะไร..? ถ้ามันพาคนให้วิเศษ มนุษย์พากันวิเศษเลิศโลกไปนานแล้ว ไม่จมปลักดังที่เห็นกันอยู่นี้เลย จึงไม่ควรเพลิดเพลิน ไม่ควรมัวเมา ไม่เข้าเรื่องอยู่เปล่าๆ อะไรดี มีสาระ รีบแสวงหา.."

    #หลวงปู่ขาว_อนาลโย
    วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี
    *************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เราไม่ได้ศึกษาสภาวะฝัน แต่รู้แค่ว่าจิตลงภวังค์ก็ฝัน แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากจิตปรุงแต่งไปในกิเลสที่มีอยู่ในจิต ความฝันแบบนี้จะบ่งบอกให้รู้ถึงเรื่องกิเลสตน กับอีกแบบ คือฝันที่เกิดจากนิมิตสมาธิ เป็นอารมณ์ที่เกิดสืบเนื่องจากสมาธิขณะที่ยังไม่หลับ บ่งบอกให้รู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆ เราใช้ประโยชน์จากความฝันทั้งสองแบบมาพิจารณาธรรม กิเลสตัวไหนแสดงตัว เราก็เพิ่มความเพียรลงไป

    จิตที่เผลอสติจะลงภวังค์ได้ง่าย การลงภวังค์โดยขาดสติ จิตจะฟุ้งตามกิเลส เราไม่ค่อยได้หมกมุ่นเรื่องสมาธิมากนัก อย่างที่เคยบอกไป เราใช้แค่เป็นฐาน และใช้กดข่มกิเลสระหว่างวัน กดข่มกิเลสเนี่ย เป็นวิธีที่เราใช้เมื่อก่อน การกดข่มกิเลสระหว่างวันนี่แหละ มันไปแสดงให้เห็นตอนหลับ จิตจะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ตอนหลับ

    เราเพิ่งนำสมาธิและฌานมาใช้กับงานปั้นเมื่อไม่นานนี้เอง ทดลองดู ปล่อยให้จิตเป็นผู้กระทำ ส่วนเราตามดู เราไม่มีความรู้เรื่องปั้นเลย แต่ทดลองใช้จิตตานุภาพ ควบสติปัฏฐาน ยกกายให้จิตควบคุม ไม่ใช้สังขารขันธ์ เพราะสัญญาที่เกี่ยวกับงานปั้นไม่เคยมีเลย จึงไม่มีสัญญาในเรื่องนี้

    (คนส่วนใหญ่เวลาจะทำอะไร จะน้อมนึกไปในสัญญาอดีต สัญญาอนาคต แล้วใช้สังขารขันธ์ปรุงแต่งออกมา)

    ขณะที่ทำ กายเบา จิตเบา เหลือเพียงอุเบกขา ดูความเคลื่อนไหวของกายขณะที่ทำงานปั้น เห็นรูปเกิด รูปดับ ไม่มีความเหนื่อยเมื่อยล้า เรานั่งท่าขัดสมาธิปั้นทั้งวัน ทั้งคืน เปลี่ยนอิริยาบทตอนลุกเข้าห้องน้ำ กับกินข้าว

    ถ้ากายกับจิตแยกกันเบ็ดเสร็จ จะไม่มีทุกขเวทนา ไม่มีสุขเวทนา
     
  16. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    กายจริงๆ มันก็ไม่ทุกข์ ที่เห็นว่าทุกข์เพราะจิตไปยึดมั่นถือมั่นในกาย ในกาม เวลาที่เราฝึก เราฝึกจริงๆ ฝึกให้รู้เห็นความจริง หาดูซิ ทุกข์อยู่ตรงไหน เหตุแห่งทุกข์มาจากอะไร โดยใช้มรรควิธี ความรู้ที่ละเอียดลุ่มลึกเรายกให้เป็นหน้าที่ของจิต กายเป็นเหมือนหุ่น

    กายที่ไร้จิตครอง ก็เป็นเหมือนหุ่น หุ่นนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมาเป็นคนเชิด กิเลส ตัณหา หรือสัมมาธรรม เป็นผู้เชิด ณ ขณะนั้นๆ

    กายที่ไร้จิตครองก็ไม่ต่างจากซากศพที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร การที่กายเคลื่อนไหวได้ ปราศัยได้ ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทั้งกุศลและอกุศล ก็เกิดจากการเชิดหุ่น

    เพราะจิตเข้าไปยึดกาย จึงเกิดเรื่องราวมายามากมาย

    ความรู้นี้เกิดขึ้นตอนยืนพิจารณาซากศพ ถามหาความรัก ความชัง กับซากศพนั้นว่ามันอยู่ที่ไหน ใช้รูปอดีตตอนที่มีชีวิต กับตอนที่ไม่มีชีวิตมาพิจารณาเปรียบเทียบกัน มันเป็นเพียงภาพมายา มันเป็นแค่อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความหลงไปในกาย...เห็นตอนที่ตายไปแล้ว นานหลายสิบปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่เห็น เราไปรับศพจากโรงพยาบาล อาบน้ำให้ศพ บรรจุศพ คนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับเราเลยนะ แต่เราเคยชื่นชมเค้าว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย มีครอบครัวเพอร์เฟค มีลูกน่ารัก ภายหลังครอบครัวแตกแยก เลิกรา แล้วสุดท้ายเค้าประสบอุบัติเหตุทางรถ ตาย ได้เห็นครบ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    เรามองศพเค้าแล้วถามตัวเองว่า ไหนล่ะความชื่นชม ที่เราชื่นชมคืออะไร สามีเค้ามีเมียใหม่ ลูกที่น่ารักญาติๆ นำไปเลี้ยง ขณะที่จัดงานศพ อดีตสามีและเมียใหม่นั่งคุยกันเรื่องมรดก ญาติๆ ก็นั่งคุยกันเรื่องมรดก ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน แย่งสมบัติคนตาย ตอนอาบน้ำศพ มีเราอาบให้เค้าคนเดียว ร่างเปลือยเปล่า เรามองจนทั่วทั้งร่าง พิจารณาไป มันน่าเศร้ามาก ที่เราได้เห็น ภาพเก่าที่เราเคยเห็นเค้าว่าสวยสดงดงาม มันไม่มีเหลือให้เห็นเลย มีรอยฟกช้ำทั้งตัว เนื้อตัวบวมอืด ที่จดจำได้ทุกตอน เพราะเป็นสภาวะครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับจิตเห็นธรรม

    เรากลัวผี เราภาวนาพุทโธตลอด จิตดำเนินเข้าสู่สมาธิตามลำดับขณะที่พิจารณา เมื่อก่อนเราชอบพิจารณาจากภายนอกแล้วน้อมเข้ามาสู่ภายใน...ผู้หญิงคนนี้มีบุญ เพราะทำให้เราเข้าถึงธรรม ทำให้เราได้เห็นความไม่แน่นอน ปรวนแปรไป ของสิ่งๆ หนึ่ง ยึดถือไว้ไม่ได้ ได้เห็นมายา...ประทับใจไม่รู้ลืมเลย

    การรู้ธรรม เห็นธรรม ของจิตนี่เป็นลำดับขั้นจริงๆ ปรับทิฐิให้ตรงเป็นสัมมาก่อน จากสัมมาสมาธิ ตอนที่พิจารณาศพในตอนนั้น เรายังไม่รู้จักกรรมฐานกองอื่นๆ เลยนะ เรารู้จักแค่อานาปานสติ มารู้ในภายหลังว่า...นั่นคือ...มรณานุสสติกับอสุภะกรรมฐาน

    ที่พิจารณาก็เพราะความกลัวผีเป็นเหตุ ภาวนาพุทโธเพื่อให้มีสตืตลอดเวลาจะได้ไม่กลัว พอมีสติก็เพ่งมองซากศพแล้วคุยกับตัวเอง ถามตอบกับตัวเองไปเรื่อยๆ

    ผู้มีพระคุณเรารักทุกคน แต่เราไม่เคยร้องไห้ตอนที่ทุกคนตาย เรามองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนบนโลกต้องได้พบเจอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    กลุ่มผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ทารกที่ไม่ได้ดื่มนมมารดาเมื่อแรกคลอด ผู้หญิง-ผู้ชาย วัยทอง ผู้ที่มีโรคประจำตัว จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด โควิดทำร้ายได้แค่ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ จากสถิติของผู้ที่ตายจากการได้รับเชื้อ

    พืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนใช้ได้หมด กินแล้วร้อนหงื่อแตกใช้ได้

    ใครที่ติดเชื้อแล้วใช้รักษาได้ ใครที่ยังไม่ติดใช้สร้างภูมิคุ้มกันได้

    กรุณาดูแลตัวเองกันให้ดีๆ อย่าพาตัวเองไปหาความเสี่ยง

    เมื่อวานเห็นสเตตัสหนึ่ง ว่าพยาบาลเหนื่อยแล้ว ลูกพยาบาลยิ่งเหนื่อยกว่า...แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เค้าก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล อย่าเห็นแก่ตัว ผลักภาระให้แต่แพทย์และพยาบาล

    พวกเค้าเจออะไรกันบ้างวันๆ เราไม่รู้หรอก เรารู้แต่เรา...ว่าเจออะไรบ้าง แล้วเราก็เลยไม่พอใจกับการรับบริการ คิดให้ดีๆ

    ไม่ใช่นักวิจัย ไม่ได้เป็นหมอ แต่เป็นห่วง
    :):):)
     
  18. ❤️ปราวตี

    ❤️ปราวตี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +75
    อนัตตา ผู้เอา อนัตตา มาเป็นอัตตา
     
  19. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    คุกที่ขังหมู่สัตว์ คือ ตัณหา3

    ในคุกมีไฟ 3 กองคอยแผดเผา ไฟ3 กอง ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ

    เวลาที่ตัณหาเกิด มีสภาวะเหมือนถูกคุมขัง ให้ต้องโลดแล่นไปในไฟ 3 กอง

    โซ่ตรวนที่ล่ามให้ติดอยู่ในคุก คือ กิเลสสังโยชน์ 10
    .
    .
    .
    ท่องไว้นะ..อ๊บๆ อ๊บๆ อ๊บๆ:D
     
  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ไฟกระทบน้ำ...ทำให้น้ำเดือด อย่างนี้เรียกว่าไฟเบียดเบียนน้ำหรือเปล่า...?

    กรรม คือ กระทบ ผลกรรม คือ เดือด

    แต่ถ้าเห็นว่าทั้งกระทบและเดือดเป็นเพียงอาการ ก็ไม่มีกรรมและผลกรรม

    ธาตุมันกระทบกันอยู่ตลอดเวลา เราเป็นเพียงผู้รู้อาการ บางทีเล่นเกิน...เข้าไปเป็นผู้มีอาการซะเอง
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:
     

แชร์หน้านี้

Loading...