เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพพักอยู่ที่โรงแรม The Fern เมืองกังต็อก นครรัฐสิกขิม โรงแรมนี้อยู่ห่างจากสถานีกระเช้าลอยฟ้า ชั่วระยะเวลาการเดินประมาณ ๑๐ นาที ตอนนี้เป็นเวลา ๐๑.๔๐ น. ซึ่งน่าจะตรงกับเวลา ๐๓.๑๐ น. ที่เมืองไทย

    เมื่อวานนี้พวกเราได้เตรียมพร้อมกันตั้งแต่เช้า โดยการส่งกระเป๋าขึ้นรถคันเดิม เพื่อที่จะวิ่งมายังโรงแรมแห่งนี้ ส่วนตัวเองนั้นจะต้องไปขึ้นรถยนต์ ซึ่งเป็นของคนพื้นเมืองที่นี่ เนื่องจากว่ากฎหมายการท่องเที่ยวนครรัฐสิกขิมได้บังคับเอาไว้ว่า ถ้าหากจะต้องเดินทางไปยังทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องใช้รถของคนพื้นเมืองที่นี่ คือเป็นนโยบายหาเงิน หางานให้กับคนพื้นเมืองที่นี่นั่นเอง

    หลังจากนั้นแล้วก็มีการวัดการเต้นของหัวใจและค่าออกซิเจนในเลือดด้วย เพราะว่าทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ซอมโก ซึ่งเป็นภาษาทิเบต หรือว่าทะเลสาบฉางกู่ในภาษาจีนนั้น อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ๓,๗๕๓ เมตร อากาศค่อนข้างที่จะบางเบา ถ้าหากว่าค่าออกซิเจนในร่างกายต่ำก็ไม่ควรที่จะเดินทางไป เพราะว่าอาจจะเป็นโรคแพ้ความสูง Altitude Sickness ได้

    เมื่อพวกเราเตรียมพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ไปรับประทานอาหาร หลังจากนั้นด้านรถยนต์ของทางนี้ก็มาถึง ปรากฏว่าเป็นรถที่น่าใช้มาก คือรถยี่ห้อ Toyota Crysta ลักษณะคล้ายคลึงกับ Toyota Fortuner ของทางเมืองไทย แต่ว่าเป็นระบบอัตโนมัติทั้งคัน ถึงขนาดที่คนขับต้องใช้หัวเสียบเข็มขัดนิรภัยแบบหลอก เสียบเอาไว้ทุกที่นั่ง ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะออกรถได้

    พวกเราต้องวิ่งขึ้นไปยังทะเลสาบซอมโก ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนประเทศจีนประมาณ ๕ กิโลเมตรเท่านั้น เส้นทางขึ้นเขาไปเรื่อย แล้วก็มีฝนตก มีหินถล่มไปตลอดทาง บางช่วงก็มืดมิดเหมือนกับเมืองในหมอก มาติดอยู่ที่ตรงด่านตรวจคนออกจากเมือง เกิดปัญหากันเล็กน้อย เพราะว่าคณะของเรานั้น นายสุเรศวร์ไม่ใช่คนพื้นเมืองสิกขิม แต่ว่าเป็นคนอินเดีย ทำให้ทางด่านไม่ยอมปล่อยให้ผ่าน นายสุเรศวร์กับคุณเอต้องลงไปเจรจากับนายด่าน จนกระทั่งได้รับการอนุโลมปล่อยให้ผ่านไปได้

    พวกเราก็วิ่งขึ้นเขา คดเคี้ยว วกวน ทั้งลื่น ทั้งเปียก บางช่วงก็มีหินถล่มลงมาตลอดทาง และทางด้านซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ก็จะเป็นเหวลึกลิบลิ่ว โดยเฉพาะช่วงบนสุดนั้น เหวลึกหลาย ๆ ร้อยเมตร..! มองลงไปแล้วใจหายทีเดียว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    จนกระทั่งมาถึงจุดพักรถ ซึ่งเป็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งทางรัฐบาลจัดเอาไว้ แต่ละแห่งจะมีหมายเลขประจำร้าน พวกเราเข้าไปที่ร้านหมายเลข ๒๒ เพื่อใช้ห้องน้ำ ซึ่งถ้าหากว่าดูจากหน้าร้านแล้วก็เล็ก ๆ แคบ ๆ นิดเดียว แต่ความจริงก็คือร้านสร้างอยู่ริมขอบเหว ทำให้ต้องเดินลึกลงไปข้างล่างเพื่อที่จะเข้าห้องน้ำ ถ้าหากว่าไม่มีผนังก็คงจะหวาดเสียวน่าดู แล้วก็ได้รับคำบอกเล่าว่า พวกเราจะต้องกลับมารับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่

    เมื่อเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางกันต่อไป ซึ่งต้องผ่านด่านตรวจทหาร แต่ว่าไม่ได้เรียกให้หยุด เพราะมั่นใจว่าทุกคันที่ผ่านมานั้นต้องได้รับอนุญาตแล้ว เพียงแต่บังคับว่าจะต้องปิดโทรศัพท์มือถือทั้งหมด ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั้นไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ เพราะว่าสัญญาณไม่มี จึงใช้ในฐานะเครื่องถ่ายวิดีโอเท่านั้น ในเมื่อใช้ในฐานะเครื่องถ่ายวิดีโอ ก็ถือว่าไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ จึงไม่ได้ปิด ยังคงใช้ถ่ายภาพและคลิปวิดีโอไปเรื่อย

    เมื่อพวกเราไปถึงริมทะเลสาบแล้ว ก็ได้เดินลงไปที่ริมทะเลสาบ ซึ่งมีบรรดาคนพื้นเมืองนำเอาจามรี หรือที่พวกเราแกล้งออกเสียงผิด ๆ ว่ายักษ์ เอา Yak มาให้พวกเราขี่เดินรอบทะเลสาบ แต่พวกเรานั้นไม่นิยมในการทรมานสัตว์อย่างหนึ่ง

    อีกประการหนึ่งก็คือฝนได้ตกหนักก่อนที่พวกเรามา การนั่งบนหลัง Yak แบบเปียก ๆ ก็คงจะไม่น่าพิศมัยนัก จึงใช้วิธีเดินเท้าข้ามสะพานที่ทอดข้ามลำธาร ซึ่งคล้าย ๆ กับน้ำตกที่ไหลลงไปสู่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็เดินเลียบชายทะเลสาบไป สักครู่เดียวเท่านั้น จากที่ทะเลสาบปิดมืดด้วยเมฆหมอกต่าง ๆ "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" ก็จัดให้ด้วยการเปิดให้พวกเราถ่ายรูปได้

    โดยเฉพาะนายสุเรศวร์นั้น ต้องบอกว่าชำนาญทางสุด ๆ พาพวกเราไปจนถึงจุดสุดท้าย ซึ่งมีเก๋งในลักษณะคล้าย ๆ กับเก๋งจีนให้หลบแดดหลบฝนได้ ไปชี้ช่องทางว่าตรงไหนบ้างที่สามารถถ่ายภาพได้สวย

    แต่ทว่าตรงริมทะเลสาบนี้ ขอบอกว่าอากาศหนาวเย็นมาก ขนาดพวกเรามาในหน้าร้อน ซึ่งแม้ว่าจะมีฝนผิดฤดูกาลจากสาเหตุโลกร้อนมาก็ตาม แต่ว่าความเย็นจัดน่าจะอยู่ในระดับ ๕-๖ องศาเซลเซียส เพราะว่าพวกเรานิ้วมือแข็งไปหมด โดยเฉพาะน้องโอ (ปาริฉัตร อายุวัฒนะ) ซึ่งกระผม/อาตมภาพขอให้เป็นนางแบบเฉพาะกิจ ไปประจำในจุดที่นายสุเรศวร์ชี้ให้ถ่ายรูปได้ ปรากฏว่าน้องโอยิ้มไม่ออก บอกว่าหน้าแข็งไปหมด..!

     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ส่วนอีกจุดหนึ่งนั้นเป็นหินใหญ่อยู่กลางน้ำ จะต้องเดินลุยน้ำไปหน่อยหนึ่ง ก็เลยไม่มีใครกล้าเสี่ยงให้เท้าตัวเองเปียกในสภาพอากาศแบบนี้ กระผม/อาตมภาพจึงต้องรับหน้าที่อยู่คนเดียว จนกระทั่งได้รับคำบ่นจากทุกคนว่า "หลวงพ่อไปไหนก็มีภาพที่คนอื่นเขาไม่มีกัน" เมื่อกลับขึ้นมาแล้ว ก็ได้มารวมกลุ่มถ่ายรูปหมู่ แล้วก็เดินย้อนกลับ นายสุเรศวร์ได้ชี้ให้ดูบรรดาสมุนไพรหายากต่าง ๆ แล้วหลายอย่างก็ได้ชิมให้ดูด้วย..!

    เพิ่งจะทราบว่าเบื้องหลังของนายสุเรศวร์ ซึ่งอายุน้อยกว่าอาตมภาพ ๑ ปี ก็แปลว่าอายุ ๖๒ ปีเต็ม ย่าง ๖๓ ปีแล้วนั้น ในอดีตเป็นนักเดินป่าปีนเขาตัวฉกาจ จึงทำให้รู้วิธีเอาตัวรอดในป่าเป็นอย่างดี บรรดาพืชสมุนไพรต่าง ๆ นั้น หลายอย่างนายสุเรศวร์ก็จัดการกินลงไปเลย โดยบอกว่าดีกับท้องของตนเอง

    เมื่อพวกเรากลับมาขึ้นรถแล้ว รู้สึกเหมือนว่าได้ขึ้นสวรรค์ เนื่องเพราะว่าภายในรถนั้นอุ่นมาก ๆ แล้ววิ่งกลับลงมายังร้านค้า ซึ่งเป็นร้านขายอาหารพร้อมกับขายเครื่องกันหนาวด้วย คุณเอจึงได้พูดแบบขำ ๆ ว่า เมื่อวานนี้เรากินอาหารกันในร้านขายยา วันนี้เรามากินอาหารกันในร้านขายเครื่องกันหนาว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง เพราะว่าถ้าคนเราทำอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงประการเดียว อาจจะมีรายได้ไม่เพียงพอ ทางด้านนี้จึงมีการทำอาชีพเสริมต่าง ๆ ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวด้วย

    อาหารถ้วยแรกที่ส่งมาเป็นซุปแบบสิกขิม ซึ่งทั้งร้อนและเผ็ดด้วยเครื่องเทศ กระผม/อาตมภาพซดทีเดียวลงไปหมด เพราะว่าเป็นคนที่สามารถกินของร้อนได้เกินมนุษย์มนาทั่วไป บรรดาน้ำร้อนที่มีญาติโยมเทมาถวาย แล้วมักจะกำชับว่าเพิ่งจะเดือด กระผม/อาตมภาพสามารถที่จะฉันหมดลงไปในระยะเวลาพริบตาเดียวเท่านั้น เมื่อได้รับน้ำซุปร้อน ๆ แถมยังมีเครื่องเทศที่ร้อนแรงประกอบเข้าไปด้วย ค่อยรู้สึกว่าตัวเองละลายออกมาได้..!

    แล้วอาหารต่าง ๆ ก็ทยอยกันมา มีทั้งโมโม่ไส้ผัก มีทั้งข้าวผัดสิกขิม ซึ่งวันนี้ต้องบอกว่าพวกเราโชคดีมาก ๆ ที่ได้รับประทานอาหารพื้นเมืองกันอย่างแท้จริง และอาหารพื้นเมืองสิกขิมนั้นอร่อยทุกอย่าง เพราะว่าไม่ได้ใส่เครื่องเทศลงไปมากมายเหมือนกับอาหารอินเดียทั่วไป
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ทางเอ็นซีทัวร์ยังจัดอาหารเสริมมาให้เต็มที่เหมือนอย่างกับทุกครั้ง ทำให้นึกถึงบางคนที่ไม่ได้มาและจัดอยู่ในสายแข็งว่า อาหารที่แต่ละครั้ง แต่ละมื้อนั้น พวกเราไม่สามารถที่จะกินลงไปได้หมด บรรดาสายแข็งที่สามารถกินได้มากกว่าคนทั่วไปนั้น สมควรที่จะมาร่วมกันกินในครั้งนี้

    เมื่ออิ่มเรียบร้อยดีแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางกลับลงไปยังตัวเมืองกังต็อก รถยนต์นั้นได้นำเรามาทิ้งเอาไว้ที่หน้าวัดเอ็นเช่ (Enchey Monastery) ซึ่งเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดวัดหนึ่งในเมืองกังต็อก นครรัฐสิกขิมนี้ แล้วก็รอจนกระทั่งรถคันเดิมของพวกเราวิ่งมา เพื่อรับข้าวของพะรุงพะรัง โดยเฉพาะบรรดาขวดน้ำ กระติกน้ำต่าง ๆ เมื่อส่งของขึ้นรถแล้ว พวกเราก็ฝ่าฝนเข้าไปยังตัววัด

    ปรากฏว่าเป็นที่ประทับใจสุด ๆ เพราะว่าวัดนี้นั้นเกิดไฟไหม้วิหารหลังเก่า แล้วได้สร้างวิหารใหม่ขึ้นมาเลย เพิ่งจะจัดฉลองไปเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ นี้เอง ยังเก็บกวาดสถานที่ไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำไป

    พวกเราเมื่อเหยียบย่างเข้าไปในวิหารใหม่ ก็แทบจะต้องร้อง "โอ้โฮ..!" ออกมาทุกคน เพราะว่าเขาซ่อมและสร้างใหม่ได้สวยงามอลังการสุด ๆ โดยเฉพาะสีสันนั้น กระผม/อาตมภาพบอกกับนายสุเรศวร์ว่า "Very Colorful" ซึ่งตรงจุดนี้นั้นอยากจะบอกว่า มาแค่สถานที่นี้ก็คุ้มกับค่าทัวร์ทั้งทริปแล้ว พวกเราจึงใช้เวลาที่นี่นานมาก เพราะว่ามีตาแค่ ๒ คู่ ไม่เพียงพอที่จะดูให้ทั่ว

    กระผม/อาตมภาพพยายามที่จะถ่ายไปทุกซอกทุกมุมทุกจุด โดยเฉพาะในส่วนที่ไม่ได้ส่งให้พวกเราดูในเว็บเพจหรือว่าในคลิป ซึ่งจะพยายามทยอยส่งไปให้ในภายหลัง

    เมื่อได้รับการจัดสรรให้อย่างชนิดที่เรียกว่า "เต็มแม็ก" ทำให้ทุกคนรู้สึกอิ่มกับการมาทัวร์ในครั้งนี้ไปตาม ๆ กัน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    พวกเรากราบสักการะและกราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลงมาขึ้นรถยนต์ท่ามกลางสายฝน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ว่าขึ้นรถยนต์เมื่อไร ฝนก็จะตกหนัก แล้วก็จะปล่อยให้พวกเราได้สบายในตอนที่ไปชมสถานที่ต่าง ๆ

    ซึ่งทางด้านโชเฟอร์ได้พาพวกเรามายังสถานีรถกระเช้าลอยฟ้า เพื่อชมเมืองสิกขิมว่ามีทิวทัศน์เป็นอย่างไร กระผม/อาตมภาพยังนึกอยู่ในใจว่า "อีหนูเอ๊ย...จะจัดให้หลวงพ่อไหวไหมนี่ ?" แต่ปรากฏว่า "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" เธอทำได้จริง ๆ

    เมื่อพวกเราขึ้นรถกระเช้าลอยฟ้าไป ปรากฏว่าฟ้าเปิด ฝนก็ไม่มี ทำให้สามารถถ่ายภาพที่สวยงามประทับใจของเมืองกังต็อกในมุมสูงได้ แต่ว่ารถกระเช้านี้ เมื่อเราลงไปจนสุดทางแล้ว ก็ต้องนั่งกลับขึ้นมา ปรากฏว่าขาลงนั้นประทับใจสุด ๆ ส่วนขาขึ้นนั้นทัศนวิสัยปิด ไม่มีอะไรเหลือให้ดูเลย..!

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เรื่องของเทวานุภาพนั้น ท่านสามารถที่จะทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น ก่อน หลัง เร็ว ช้า หรือว่า ไปซ้าย ไปขวา ไปบน ไปล่าง ได้เท่านั้น ไม่สามารถที่จะทำให้หยุดไปได้เลยทีเดียว พวกเราจึงเกิดความประทับใจอย่างสุด ๆ


    โดยเฉพาะคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทัวร์ที่ทางด้านเอ็นซีทัวร์จัดสรรมาให้โดยเฉพาะในครั้งนี้ ถึงกับออกปากว่าเป็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์ได้เลยทีเดียว

    หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเท้ากลับมายังโรงแรมที่พัก รอจนกระทั่งรับการจัดสรรกระเป๋าและห้องพักเรียบร้อยแล้ว ได้รับการบอกเล่าโปรแกรมของวันนี้ พวกเรารับทราบ จากนั้นก็เข้าสู่ที่พักกัน แต่ก็ไม่ก่อนที่หลายท่านซึ่งปกติแล้วรับประทานอาหารเย็น จะแวะเข้าไปยังร้านกาแฟของทางด้านโรงแรม แล้วก็สั่งขนมเค้กที่หมายตาเอาไว้ ถือเดินยิ้มกริ่มกลับห้องไปตาม ๆ กัน

    กระผม/อาตมภาพนั้น แค่แวะเข้าไปดูสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในร้านขายของที่ระลึกของทางโรงแรม ต้องบอกว่าทางโรงแรม The Fern แห่งนี้นั้น แทบจะจัดสรรทุกอย่างครบวงจรด้วยความรู้ใจนักท่องเที่ยวทีเดียว เพียงแต่ว่าของที่ระลึก ไม่ได้มีหลากหลายมากมายเท่านั้นเอง

    วันนี้พวกเราจะเดินทางไปตามโปรแกรมที่ทางเอ็นซีทัวร์ พยายามจัดสรรให้พวกเราไปยังเมืองกาลิมปง ทดแทนการไปเมืองลาชุง ซึ่งเป็นเมืองแห่งดอกไม้ในฤดูร้อน ที่โดนหินถล่มทับทาง จนป่านนี้ก็ยังเอาออกไม่หมด โปรแกรมทั้งหลายเหล่านี้อาจจะมีเสริมขึ้นมามากกว่าที่พวกเราคิด ขอให้พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายได้ติดตามในตอนต่อไป


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...