เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 สิงหาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพไปรับรางวัลมณีกาญจน์ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี แล้วก็มอบเงินเป็นทุนการศึกษาให้กับทางมหาวิทยาลัยด้วย ๑ แสนบาท เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าระยะหลังนี้ ตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาด ญาติโยมต่างทำมาหากินยากลำบากมาก คนที่ส่งลูกเรียนระดับปริญญา ก็ยิ่งต้องเดือดร้อนมาก

    คราวนี้บรรดานิสิตที่รับทุนการศึกษาจากวัดท่าขนุน แล้วไปเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีก็ถือว่าลอยตัว เพราะว่าทางเรามอบให้ทุกปีจนกว่าจะจบ แต่ก็ยังมีเด็กทั้งของทองผาภูมิและที่อื่นที่เรียนอยู่อีกจำนวนมาก ถ้าหากว่าขาดทุนการศึกษาไปช่วยค้ำจุนตรงนี้ จะไปหวังกู้ กยศ.อย่างเดียวก็ลำบาก

    ถ้ากระผม/อาตมภาพพูดว่า "รัฐบาลถังแตก" ก็เป็นการใส่ร้ายรัฐบาลอีก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงมอบทุนการศึกษาให้กับทางมหาวิทยาลัยไป เพื่อจัดสรรให้กับนักศึกษาที่ได้รับความเดือดร้อน

    ทางด้าน ผศ.ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีบอกว่า จะให้คณะกรรมการพิจารณานักศึกษาที่มาจากอำเภอทองผาภูมิก่อน ตรงนี้ก็คงต้องตรวจสอบกันให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าหากว่าไปเจอนักศึกษาที่ได้ทุนจากวัดท่าขนุนแล้ว ก็เท่ากับถูกหวยสองเด้งไปเลย

    ตรงส่วนนี้ไม่ขอกล่าวถึง ไปกล่าวถึงในงานว่า เขามีการแสดงทางวัฒนธรรมก่อนที่เขาจะมอบรางวัล พอกระผม/อาตมภาพเห็นแล้ว ก็ไปนึกถึง "ดราม่าบุพเพสันนิวาส ๒" ขึ้นมา เพราะว่าทางประเทศเพื่อนบ้านของเรากล่าวหาว่าเราลอกแบบของเขาไป

    ตรงนี้ขอให้พวกท่านทั้งหลายเข้าใจว่า การที่เพื่อนบ้านเห็นเราเป็นเหมือนกับศัตรู เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเราเคยไปตีบ้านตีเมืองเขาจริง ๆ สาเหตุที่สองก็คือ ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาเรียนอยู่ เขียนให้เราเป็นผู้ร้าย ลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายจำนวนมากไม่ชอบพม่า เพราะยังไปฝังใจว่าพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยาแตกถึง ๒ ครั้ง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    กระผม/อาตมภาพไปพม่า มีอยู่เที่ยวหนึ่งต้องไปค้างคืนที่บ้านตองซุน เจอคุณยายท่านหนึ่งมาชวนคุยด้วย คุณยายท่านนี้ลูกหลานเคยพาไปเที่ยวประเทศไทย บอกว่า "ไปโยเดีย" ก็คืออยุธยา คุณยายถามว่าพูดเรื่องอย่างนี้ได้ไหม ? กระผม/อาตมภาพก็บอกว่าพูดได้เต็มที่เลยยาย อาตมภาพไม่ใช่พวกชาตินิยมจนกระทั่งไม่มองความเป็นจริง

    คุณยายบอกว่า "ไม่นึกว่าอูอองไซยะจะเผาโยเดียไปขนาดนั้น" นี่ขนาดคนพม่ายังเข้าใจผิด อูอองไซยะเป็นชื่อเดิมของพระเจ้าอลองพญา

    สมัยนั้นเขามีค่านิยมว่า ถ้าคุณเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องแสดงพระราชอำนาจด้วยการไปตีบ้านอื่นเมืองอื่นเป็นข้าขอบขัณฑสีมา ซึ่งจะมีประโยชน์หลายอย่าง อย่างแรกก็คือ ข้าทาส ช้าง ม้า วัว ควาย ที่กวาดต้อนมาได้ ก็ได้เอามาใช้ในประเทศของตน อย่างที่สองก็คือเบาแรงในการทำมาหากิน เพราะว่าอีกฝ่ายต้องส่งบรรณาการให้ทุกปี
    ในเมื่อค่านิยมเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น ก็เหมือนกับสมัยนี้ที่เรานิยมไปเที่ยวห้าง แล้วถ้าเด็กรุ่นหลานรุ่นเหลนบอกว่า รุ่นปู่ย่าตายายเหลวไหลมาก ทั้งวันเอาแต่เดินห้าง ถ้าเป็นเราตอนนี้ได้ยินแล้วจะเถียงว่าอย่างไร ? ก็ในเมื่อค่านิยมของยุคสมัยเป็นอย่างนั้น

    เรื่องที่คุณยายเข้าใจผิดก็คือ พระเจ้าอลองพญาไม่ได้ทำลายอยุธยา พระองค์ท่านตั้งกองทัพโดยมีกองบัญชาการทัพหลวงอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุ แล้วใช้ปืนใหญ่ยิงเข้าไปในอยุธยา แม้แต่ต้นไม้ต้นเดียวของวัดหน้าพระเมรุ พระองค์ท่านยังไม่แตะต้องเลย เพียงแต่ว่าปืนใหญ่ระเบิด พระองค์ท่านบาดเจ็บจนต้องยกทัพกลับ แล้วก็ไปสวรรคตที่พม่า
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพระองค์ท่านมาในฐานะทัพกษัตริย์ ซึ่งมีเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ค้ำอยู่ อะไรที่ไม่ใช่คนอื่นเสนอให้ โดยที่ตนเองมีอำนาจเด็ดขาดเหนือกว่า จะไม่ไปแตะต้องเขาในลักษณะที่ปล้นเอา ที่อยุธยาโดนทำลายมาก ก็เพราะยุคของเนเมียวสีหบดีกับมังมหานรธา ทั้งสองคนเป็นแม่ทัพของพม่า คุมทหารเป็นหมื่น

    คราวนี้การที่จะเลี้ยงกองทัพของตน วิธีที่ดีที่สุดก็คือไปตีบ้านอื่นเมืองอื่น เสบียงก็ได้ ทรัพย์สมบัติก็ได้ ข้าทาสบริวารก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ ปรากฏว่าเป็นช่วงที่ต้องบอกว่า ประเทศไทยเราแย่มาก เพราะว่าทั้งสองแม่ทัพตีมะริดก็ได้ ตีทวายก็ได้ ตีตะนาวศรีก็ได้ ตีกาญจนบุรีก็ได้ ตีสุพรรณบุรีก็ได้ จากที่คิดจะตีแค่มะริดเพื่อที่จะเอาเสบียงไปเลี้ยงกองทัพ ก็เลยกลายเป็นว่าลุยมาจนถึงอยุธยา แล้วด้วยความดวงตกของประเทศเราที่ผู้นำไม่เข้มแข็ง จึงทำให้ทั้งสองท่านตีอยุธยาได้สำเร็จอีก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    ในเมื่อตั้งใจมาเอาประโยชน์จึงกอบโกยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตนเองไม่ใช่กษัตริย์ ไม่ต้องมีเกียรติมีศักดิ์ศรีอะไรทั้งสิ้น อะไรที่เป็นประโยชน์ก็เอาหมด จึงได้ขนทรัพย์สมบัติจากอยุธยาไป อย่างชนิดที่เขาบอกว่า "กองเกวียนออกจากอยุธยาตอนเช้า จนเพลแล้วยังไม่หมดเลย" เกวียนขนสมบัติ โดยเฉพาะทองคำต่าง ๆ ที่หุ้มพระพุทธรูปหรือหุ้มพระเจดีย์ โดนเผาลอกเอาไปหมด ที่คุณยายเข้าใจว่าเป็นฝีมืออูอองไซยะ แต่ความจริงเป็นฝีมือพ่อเจ้าประคุณทั้งสองนี้ต่างหาก

    คราวนี้นอกจากตรงจุดนี้แล้ว เมื่อกระผม/อาตมภาพไปในพม่า โดยเฉพาะเข้าไปในพระราชวังมัณฑะเลย์ ทางด้านอารักษ์ หรือว่าเจ้าที่ซึ่งดูแลพระราชวังไม่ยอมให้เข้า เพราะเห็นว่าเป็นแม่ทัพไทย (เขาจำได้..!) บุกเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว จึงต้องต่อต้านกันสุดชีวิต

    กระผม/อาตมภาพเดินเข้าไปในพระราชวังมัณฑะเลย์ เหมือนอย่างกับคนเดินสวนคลื่นทะเลเลย ต้องใช้กำลังทั้งตัวถึงจะอัดเข้าไปได้ รอบด้านมีแต่พลังงานที่ผลักออกมา ได้บอกกล่าวกับเขาไปว่า "ในอดีตก็คืออดีต นี่คือปัจจุบันแล้ว" แต่เขาไม่ฟังกัน คอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา กว่าที่จะเดินชมสถานที่จบก็เหนื่อยจนลิ้นห้อย เพราะว่าต้องใช้แรงมุดเข้าไปอยู่ตลอดเวลา

    พอเดินพ้นประตูพระราชวังมัณฑะเลย์ออกมา กระผม/อาตมภาพหัวเกือบจะทิ่มพื้น เพราะว่าใช้แรงเดินเท่าเดิม แต่ไอ้พวกบ้านั่นดันถอนพลังกลับแล้ว พวกคุณลองนึกดูว่า ถ้าเรากำลังทุ่มไปเต็มที่ แล้วอยู่ ๆ ไอ้ที่ยันอยู่ดันหายไป จะเกิดอะไรขึ้น ? ก็ในลักษณะอย่างนั้น ที่ทำให้คนไทยฝังใจเกลียดพม่า โดยไม่ได้นึกถึงความเป็นจริง

    คราวนี้ทางด้านประเทศเขมรก็เหมือนกัน เกลียดคนไทย เพราะประวัติศาสตร์เขาบอกว่าไทยเราบุกไปปล้นเมือง เขาใช้คำว่า "ปล้นเมือง" หลายวาระด้วยกัน ตั้งแต่ยุคพระนครหรือว่านครวัดนั่นแหละ แล้วมาระยะหลัง สมัยรัชกาลที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ของกรุงรัตนโกสินทร์ กษัตริย์เขมรทุกพระองค์ในยุคนั้นจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากประเทศไทย

    เท่านั้นยังไม่พอ ประเทศลาว ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปเที่ยวหลวงพระบาง ที่วัดเชียงทอง มัคคุเทศก์เขาก็จะบอกว่า "ตรงจุดนี้เคยเป็นที่ตั้งของพระแก้วมรกต" จะพูดแค่นั้นแหละ ถ้าใครเผลอไปถามว่า "แล้วตอนนี้พระแก้วมรกตอยู่ที่ไหน ?" เขาจะตอบทันทีว่า "โดนไทยปล้นไปแล้ว"

    ทั้ง ๆ ที่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ก็คือ พระแก้วมรกตโดนพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่เป็นเขยสองแผ่นดิน ก็คือเป็นคนล้านช้าง แต่ว่าได้รับเชิญมาครองล้านนา คือเชียงใหม่ เมื่อจะกลับไปอยู่ล้านช้างจึงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย เมื่อไทยเราไปตีประเทศลาวได้ ก็อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมา พร้อมกับพระบาง พระสุก พระใส พระเสริม มาตอนหลังก็ต้องคืนพระบางให้กับลาวไป เพราะฉะนั้น..ในสายตาคนลาวส่วนหนึ่ง จะเกลียดไทยเหมือนกับที่พวกเราเกลียดพม่า..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    ทางด้านเขมรก็เหมือนกัน เขาถือว่าเคยยิ่งใหญ่มาก่อน พอไทยตั้งอาณาจักรสุโขทัยได้ ก็ตีกินพื้นที่ของเขมรไปมหาศาลเลย เพราะว่าสมัยนั้นเขาปกครองไปจนกระทั่งถึงสุโขทัย เท่ากับว่าเราไปแย่งชิงดินแดนของเขมรมา

    กระผม/อาตมภาพไปเที่ยวเขมร เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเทพวงศ์ ท่านถึงขนาดออกปากว่า "ถ้าเป็นยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ผมจะไม่ต้อนรับท่านเลย ยังดีว่าเป็นยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีนโยบายเป็นมิตรกับเขมร"

    คิดดูว่านั่นขนาดระดับสมเด็จพระสังฆราช ยังแบกกิเลสเอาไว้เต็มที่ขนาดนั้น ท่านพูดจาเสียงดัง โผงผาง ท่าทางโกรธเคืองมาก จนกระทั่งมัคคุเทศก์บอกว่า "กลับเถอะ..กลับเถอะ" กระผม/อาตมภาพไม่กลับหรอก อย่างไรท่านก็ตัวเล็กกว่าตั้งเยอะ ทุบทีเดียวก็อยู่แล้ว..! เรื่องอะไรจะหนี ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

    กระผม/อาตมภาพถามว่า "แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องที่รู้มาเป็นเรื่องจริง ?" ท่านบอกว่า "รู้สิ..ผมฟังข่าวอยู่ทุกวัน ดูโทรทัศน์ทุกวัน" ก็ยิ่งเจริญเข้าไปใหญ่..!

    รัฐบาลไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเสื่อมความนิยมจากชาวบ้าน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือหาเรื่องกับประเทศคู่แข่ง เพื่อที่จะได้รวมกำลังใจของชาวบ้านให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะฉะนั้น..ข่าวคราวที่ออกมาเป็นข่าวที่รัฐบาลอยากให้หลวงพ่อรู้ แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง พูดง่าย ๆ ว่า ผมค่อย ๆ ใช้เหตุผลตะล่อม จนกระทั่งท่านหายโกรธไปเอง

    เพราะฉะนั้น..."ไอ้ดราม่าออเจ้า" นี่ไม่ต้องสงสัย เป็นความเกลียดชังที่ฝังอยู่ในใจอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นความอิจฉาที่เห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง ต้องบอกว่าเป็นกิเลสในใจนั่นแหละ ว่าทำไมบุพเพสันนิวาสของไทยได้รับความนิยมมาก แต่ของเขมรสร้างละครแล้วไม่ได้รับความนิยมแบบนี้

    ก็พอ ๆ กับที่เวียดนามเห็นไทยเป็นคู่แข่งตลอดมา โดยเฉพาะ "ดราม่า" วอลเล่ย์บอลหญิงใน VNL league ก็เพราะว่าสมัยรัชกาลที่ ๓ เจ้าพระยาบดินทรเดชาหวดญวนเสียเละเทะ ออกรบประเทศญวน ๑๒ ปีไม่กลับบ้าน ในหลวงรัชกาลที่ ๓ ต้องมีพระราชสาส์นไปว่า "เจ้าคุณ..พักศึกกลับบ้านบ้างเถอะ ลูกชายเกิดตอนเจ้าคุณไป ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว ไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อเลย"

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเรามาคิดถึงใจคนไทยส่วนหนึ่งที่ฝังใจเกลียดพม่า คนญวน คนลาว คนเขมร เขาก็จะฝังใจเกลียดไทยเหมือนกัน เพราะว่าเราเคยไปตีบ้านตีเมืองเขา ประวัติศาสตร์ก็ย่อมให้เขียนว่าฝ่ายตัวเองเป็นพระเอก อีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายเป็นปกติ

    แต่ถ้าเรานึกถึงค่านิยมในสมัยนั้นอย่างหนึ่ง แล้วความเป็นหอกข้างแคร่อาจจะก่อความเดือดร้อนให้อีกอย่างหนึ่ง ก็จำเป็นที่จะต้องลงไม้ลงมือกัน แต่คนมักจะไม่ได้คิดถึงตรงนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือไปยึดติดเรื่องของอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะหลุดพ้นได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...