เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ทั้งวันกระผม/อาตมภาพก็จมอยู่กับโครงการประชุมสัมมนาเพื่อพัฒนาศักยภาพของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าระยะนี้ทางคณะสงฆ์มีความตื่นตัวมาก นอกจากการบริหารงานคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้าน ซึ่งมีทั้งงานด้านการปกครอง ด้านการเผยแผ่ ด้านการศาสนศึกษา ด้านการสาธารณูปการ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ และด้านการสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันนี้มาเน้นในเรื่องของงานสาธารณสงเคราะห์

    แต่คราวนี้การทำงานด้านสาธารณสงเคราะห์นั้น กระผม/อาตมภาพใช้คำพูดประมาณว่า ส่วนใหญ่ของพระสงฆ์เรา "เอาปลาไปให้เขา แต่ไม่ได้สอนให้เขาหาปลา" เมื่อชาวบ้านกินปลาหมด ก็กลับไปสู่สภาพเดิม แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ไปนาน ๆ ก็จะสร้างนิสัยที่ไม่ได้ให้กับชาวบ้าน ก็คือรอรับอย่างเดียว

    คราวนี้นอกเหนือจากงานปกครองคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้านแล้ว ก็ยังมีโครงการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) ซึ่งต้นตอก็มาจากหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งท่านทำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็คือขอสัจจะจากบรรดาชาวกะเหรี่ยงที่มาอาศัยอยู่กับท่านว่า จะต้องรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด และโดยเฉพาะต้องกินมังสวิรัติ ไม่ข้องเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ด้วย

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าวันนี้เป็นวันเริ่มต้นกินเจของปีนี้ ส่วนใหญ่ก็คืองดเว้นจากเนื้อสัตว์ แต่ถ้าเป็นเจที่เคร่งครัดจริง ๆ ก็จะเว้นจากผักที่มีกลิ่นฉุน อย่างพวกกระเทียม พวกกุยช่าย เพราะถือว่าผักทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งบำรุงกำหนัดมากกว่า

    การกินเจ ถ้าวางกำลังใจถูก เป็นการแสดงออกซึ่งความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ต้องการเบียดเบียนผู้อื่น ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ แต่ถ้าวางกำลังใจผิด ก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่า "กูดีกว่ามึง กูกินเจ กูกินผัก มึงยังกินเลือดกินเนื้ออยู่" ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็
    กินเจไปด้วย แบกกิเลสใส่ตัวไปด้วย มีประโยชน์น้อยมาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา และเกิดโครงการจนกระทั่งแพร่กระจายไปทั่วประเทศไทย มีแม้กระทั่งที่ต่างประเทศ จากดำริของพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในช่วงนั้น

    ระยะแรกเป็นการเน้นเอาแค่ตัวเลข ก็คือจังหวัดไหนถ้าไม่สามารถให้คนลงชื่อร่วมโครงการได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ หลังจากนั้นจึงมีการเพิ่มเติมโครงการต่าง ๆ ตามขั้นตอน จนกระทั่งมีการมอบรางวัลให้หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ

    สิ่งที่กระผม/อาตมภาพ ต้องบอกว่า "หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้" ก็คือ วัดท่าขนุนเป็นวัดแรก ๆ ที่ได้รับการตรวจประเมินโครงการเพื่อยกขึ้นเป็นต้นแบบหมู่บ้านศีล ๕ ของประเทศไทย ที่บอกว่า "หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้" ก็เพราะว่ายุคนั้นไม่มีข้อมูลอะไรให้เลย ให้เราเดาเอาเองว่ากรรมการอยากจะเห็นอะไร แต่มาสมัยนี้เขาจะมีการบอกมาเลยเป็นข้อ ๆ ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง

    เพราะฉะนั้น..ทางด้านวัดท่าขนุน บ้านท่าขนุนของเราเป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบได้ ต้องบอกว่าได้ด้วยฝีมือจริง ๆ เพราะว่าไม่มีใครบอกเราว่าเขาจะเอาอย่างไร มีแต่คณะกรรมการที่มีข้อมูลอยู่ในมือว่า จะต้องตรวจประเมินในเรื่องอะไรบ้าง

    แล้วก็มาหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล ซึ่งในช่วงนั้นอยู่ในลักษณะ "โตก็ไม่โต ตายก็ไม่ตาย" กระผม/อาตมภาพเองก็ทำงานตามปกติของตัวเอง แต่กลายเป็นว่าได้รับรางวัลหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลดีเด่นของจังหวัดมา ๖ ปีซ้อนแล้ว..!

    แล้วมาวันนี้ ก็มีโครงการสัมมนาเพื่อพัฒนาศักยภาพของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล ที่วัดไร่ขิง (พระอารมหลวง) โดยพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร) กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการหน่วยอบรมประชาชนกลาง เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานในพิธีเปิด และมอบรางวัลหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ตัวอย่างหรือต้นแบบ ซึ่งท่านที่รับรางวัลในวันนี้นั้น ได้ทีหลังกระผม/อาตมภาพหลายปี เพราะว่าช่วงที่วัดท่าขนุนได้นั้น ก็คือได้ก่อนเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จะอาละวาด
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    หลังจากนั้นก็ยังมีโครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข ด้วยหลัก ๕ ส. ซึ่งตอนนี้กระผม/อาตมภาพมอบให้ทางด้านมหาเสริฐ (พระมหาอุตรา อุตฺตโร ป.ธ.๖) เป็นผู้นำพวกท่านช่วยกันดูแลว่าส่วนไหนของวัดเราที่ยังเกะกะ รกเรื้อ ไม่เรียบร้อย ให้จัดการดำเนินการให้เรียบร้อย แล้วมอบให้ท่านภีม (พระกวีวัธน์ สทฺทาธิโก) ทำเอกสารเพื่อส่งรายงาน เพราะว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องมาตรวจที่วัดท่าขนุนแน่นอน อีกส่วนหนึ่งก็มอบหมายให้ท่านตี้ (พระวสุพล อภิปุญฺโญ) ไปทำป้ายบอกทางต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ที่ไม่เคยมาวัด จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง

    ที่มาพูดเรื่องนี้นั้นไม่ได้มาอวดงานตัวเอง แต่อยากจะบอกว่าทางคณะสงฆ์ทำงานบางอย่างก็ค้านกันเอง คำว่าค้านกันเองในที่นี้ ก็คือ พระภิกษุสามเณรของเรามาบวช เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของทางโลก เพื่อปฏิบัติตนให้พ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    แต่งานของคณะสงฆ์ทั้งหมดที่ทำนี้ ทำอยู่ในลักษณะของพระโพธิสัตว์ ทำเพื่อเกื้อกูลต่อคนหมู่มาก จึงกลายเป็นว่าบางทีการดำรงอยู่ของพระภิกษุสามเณรของเรา ก็ถูกขัดด้วยความปรารถนาดีของผู้บังคับบัญชา เพราะท่านเล็งเห็นว่าพระภิกษุสามเณรของเราน้อยลงไปเรื่อย บทบาทสำคัญที่มีต่อชุมชนก็ลดน้อยถอยลง จึงพยายามทำโครงการต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อคงความสำคัญต่อชุมชนเอาไว้ที่วัด

    อย่างที่ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าวัดท่าขนุนของเรา ใครขาดอะไรก็มาหา จะเรียกว่าดีใจก็ใช่ ที่เขาเห็นวัดเป็นศูนย์กลางชุมชน แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือว่างบประมาณที่จะสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เนื่องจากแต่ละวัดไม่ได้มีความคล่องตัวเท่ากัน

    ผู้บังคับบัญชาที่ไม่ได้มองตรงจุดนี้ บางทีอาจจะตำหนิว่า ทำไมวัดท่าขนุนทำโครงการได้ดีมาก แล้วทำไมวัดอื่นทำไม่ได้แบบนี้ ? ลักษณะอย่างนี้เหมือนกับเอาเต่าไปวิ่งแข่งกับกระต่าย ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ากำลังศรัทธาของพระแต่ละรูป กำลังบุญบารมีของแต่ละท่านไม่เท่ากัน

    แล้วพระสงฆ์จำนวนมากไม่ได้มีกำลังใจพระโพธิสัตว์ ไม่ได้คิดที่จะสงเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก จะมีความรู้สึกว่าผู้บังคับบัญชาเอางานมาเพิ่มให้ เอางานมายัดเยียดให้ แล้วก็จะเกิดภาพอย่างที่ท่านทั้งหลายเห็น ก็คืออะไร ๆ ก็วัดท่าขนุน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จากประสบการณ์ของกระผม/อาตมภาพเอง ผู้บังคับบัญชาถ้าใช้ใครแล้วได้อย่างใจ ก็จะใช้แต่คนนั้น โชคดีมากครับ ปกติวันนี้หมู่บ้านท่าขนุนต้องไปเปิดนิทรรศการที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) แต่ดวงของกระผม/อาตมภาพค่อนข้างจะแคล้วคลาด เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ส่งข้อความมาในไลน์แล้วกระผม/อาตมภาพไม่ได้อ่าน จนกระทั่งท่านไปได้วัดอินทราม (หมู่บ้านหนองขาว) ไปแทน แล้วก็ส่งข่าวซ้ำมาบอกว่า "ได้วัดอินทารามแล้วครับ ไม่รบกวนหลวงพ่อแล้ว" ท่านลองคิดดูว่า ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพเปิดอ่านก็เรียบร้อย เหมาเองไปอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของงานคณะสงฆ์ จะให้ทุกคนทำเหมือน ๆ กัน แล้วประสบความสำเร็จเหมือนกันนั้น เป็นไปไม่ได้

    อันดับแรกเลยก็คือ วิสัยเดิมที่ตัวเองสร้างบารมีมา มาสายพระโพธิสัตว์ หรือว่ามาสายสาวกภูมิ

    ประการที่สองก็คือ บุญบารมีที่สร้างมาของแต่ละท่านไม่เท่ากัน ท่านใดที่มีเอกลาภมาก มีบริวารมาก สามารถทำงานให้สำเร็จได้ง่าย แต่บางท่านแค่จะหาค่าน้ำค่าไฟให้พอเดือนก็ยากแล้ว


    อันดับที่สาม การสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ มีน้อยมาก อย่างปีที่ผ่านมา แค่งบประมาณไม่กี่บาท ยังต้องแบ่งโอนเป็น ๒ งวด เป็นเรื่องที่หัวเราะไม่ออก งานจะรีบเอา แต่เงินช่วยเหลือต้องทยอยโอนให้

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยยกตัวอย่างก็คือ ให้มา ๒,๕๐๐ บาท แต่ต้องส่งรายงานโครงการปีละ ๔ ครั้ง แค่กระดาษทำสมุดรายงานก็ยังไม่พอเลย บอกว่าไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาโอนตรงเข้าบัญชีวัดไปแล้ว เมื่อมีเงินมา ก็ต้องทำงานให้เขา แปลว่า ถ้าเราไม่มีญาติโยมศรัทธา คอยค้ำจุน คอยช่วยเหลือ จะให้งานคณะสงฆ์เป็นไปได้ดีอย่างที่ผู้บังคับบัญชาต้องการนี่เป็นไปไม่ได้เลย

    เรื่องพวกนี้บางทีท่านทั้งหลายอาจจะยังไม่จำเป็นที่จะต้องมาปวดหัว ไอ้เด็กวัยรุ่นสมัยนี้บอกว่า "หัวจะปวด" ไม่ใช่จะหรอก "ปวดไปตั้งนานแล้ว" แต่ว่าให้ฟังเอาไว้ว่า ถ้าก้าวเข้ามาถึงจุดนี้แล้วจะเจออะไรบ้าง หลายต่อหลายอย่างไม่มีใครอยากทำ ไม่ได้คิดจะทำ แต่ถึงเวลาตำแหน่งหน้าที่มาแล้วก็ต้องทำ

    กระผม/อาตมภาพถึงได้บอกกับผู้บังคับบัญชาหลายครั้งว่า
    กระผม/อาตมภาพเองไม่ต้องมีตำแหน่งอะไรหรอก แค่เป็น "พระอาจารย์เล็ก" แค่เป็น "หลวงพ่อเล็ก" ก็พอแล้ว แต่ว่าท่านก็ไม่ฟัง อะไรพอที่จะจับยัดให้ได้ ท่านก็ยัดไปเรื่อย ปัจจุบันนี้กระผม/อาตมภาพรับหน้าที่อยู่ ๓๐ กว่าตำแหน่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องเริ่มเดินทางอีกแล้ว ญาติโยมที่มาวัด พอผมไม่อยู่ก็บ่น อยากจะบอกว่า ถ้าหากว่าโยมรับตำแหน่งเท่ากับอาตมภาพ แล้วยังมีเวลารับญาติโยมอยู่ที่วัดได้ มาช่วยทำให้ดูทีเถอะ..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...