บทความให้กำลังใจ(สองด้านของเหรียญ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    AreyouhotBurnt.jpg
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    วิธีแก้โรคเซ็งเครียดเบื่อกลุ้ม

    Centrady Dov
    May 10, 2011
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    happiness-success-35.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    happiness-success-40.jpg
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    niceword.gif
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    goodword.jpg
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    purpleskyview.png
    นอกจากคําคมชีวิตต้องสู้แบบสร้างแรงบรรดาใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็อยากให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีสีสันสนุกสนานคลายเครียดบ้าง หรือใครที่อยากได้คําคมชีวิตต้องสู้แบบขำๆ ไว้แชร์ส่งต่อเพื่อนๆ เราก็ได้รวบรวมมาให้แล้ว โดยมีดังนี้

    • รถเมล์ยังมีล้อ แต่ถ้าเธอท้อยังมีเรานะ
    • เห็นแดดแล้วอุ่นใจ ตกนรกไปก็ไม่ตื่นเต้น
    • เป็นแฟนกัน ถ้าไม่มีเวลาให้กัน กรุณาให้ตังค์นะคะ
    • เราลบอดีตไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนแคปเอาไว้หมดแล้ว
    • เราไม่จำเป็นต้องสวยก็ได้ ถ้าเราแต่งรูปเก่ง
    • ไม่เปิดใจให้เธอแล้ว ไปเปิดตู้เย็นดีกว่า…หิว
    • เหงานิดหน่อย แต่กินข้าวอร่อยเหมือนเดิม
    • เราชอบตัวเองตอนเผลอ แล้วเธอชอบเราตอนไหน
    • ไม่ขอสู้กับใคร เพราะเป็นคนน่ารัก ไม่ใช่นักมวย
    • เพิ่งรู้ตัวว่าสายเกินไป ก็ตอนที่ตื่นมาตอนเที่ยงนี่แหละ
    • สุดท้ายแล้วคนที่คิดจะไปให้ไกล คือต้องเติมน้ำมันให้เต็มถัง
    • ความรักนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ “แน่นอน” แต่ความง่วงนอนนั้นเป็นสิ่งที่ต้อง “นอนแน่”
    • ไม่ต้องพยายามเหมือนใคร เหมือนรูปโปรไฟล์ตัวเองได้ก่อน
    • อยากมีคนใส่ใจ ที่ไม่ใช่ป้าข้างบ้าน
    • คนที่ถอยออกมาไม่ใช่คนที่แพ้ แต่เป็นคนที่เข้าซอยผิด
    • เป็นคนถูกรักว่ายากแล้ว เป็นคนถูกหวยยากกว่าอีก
    • สาระเดียวที่จะได้จากเรา คือสารภาพรักเท่านั้น
    • ทำไมยาแก้แพ้กินแล้วต้องนอน หรือคนแพ้มีสิทธิ์แค่ฝัน
    • น้ำหนักเราก็เหมือนท่องสูตรคุณ มีแต่เพิ่มพูนไม่มีลดลง
    • https://www.ananda.co.th/blog/thege...มพลังบวกสร้างกำลังใจให้คุณฮึดสู้ใหม่อีกครั้ง/
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    pexels-photo-1266810.jpeg
    phrasangkharajagossipword.png
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    everyonebeenthere.png
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    noattachnosorry.jpg
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    gossip.jpg
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    enoughisbest.jpg
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    towin.jpg
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    คำคมสร้างกำลังใจ10-1.jpg
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    friedfishtoolong.jpg
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    คำคมสร้างกำลังใจ03-1.jpg
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    glowing-bua-1024x576.jpg
    อย่าให้อัตตาครองใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    พระอาจารย์พยอม กัลยาโณ เคยให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้วว่า ช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่างสีนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของท่านตกต่ำมาก เวลามีเหตุการณ์บ้านเมืองเกิดขึ้น หนังสือพิมพ์ก็ไม่ค่อยมาสัมภาษณ์เหมือนก่อน กิจนิมนต์ลดลง เวลาไปบรรยายที่ไหนคนก็มาฟังน้อยมาก ผลก็คือสินค้าที่ลูกศิษย์นำไปขายในงาน มีคนซื้อน้อยลง ทำให้รายได้ที่จะเป็นทุนสนับสนุนมูลนิธิวัดสวนแก้วลดลงไปด้วยจนไม่พอกับรายจ่าย

    ทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นผลจากการที่คนมองว่าท่านฝักใฝ่เสื้อแดง ลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากเป็นผู้ที่ไม่ชอบเสื้อแดง จึงไม่พอใจท่าน บางวันท่านไปบิณฑบาต ชาวบ้านก็ถามว่าทำไมไม่ห่มจีวรสีแดงซะเลยล่ะ บางทีก็ด่าว่าท่านแรงๆ ท่านก็พยายามอธิบายชี้แจงแต่ไม่ค่อยเป็นผล ท่านบอกว่าที่เสียใจอย่างหนึ่งคือ แม้แต่พระสวนโมกข์ก็บอกว่าท่านฝักใฝ่เสื้อแดง ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้วางตัวแบบนั้น

    เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านบอกว่าบางช่วงทุกข์มาก จนจิตตก แต่เวลาที่จิตตกท่านก็นึกถึงคาถาไล่ทุกข์ของท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านก็รู้สึกดีขึ้น คาถานั้นก็คือ “กูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์โว้ย”

    คาถานี้ใครที่มีความทุกข์เอาไปใช้บ้างก็ดี เวลามีความทุกข์ ก็ตวาดใส่มันบ้าง จะช่วยให้ได้สติ และบรรเทาความทุกข์ใจไปได้ไม่มากก็น้อย ปกติคนเราเวลาทุกข์ จิตจะจมดิ่ง จนลืมตัว ไม่ได้ตระหนักว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร สำหรับชาวพุทธ จุดหมายของชีวิตคือการพ้นทุกข์ หรือการไม่ถูกครอบงำด้วยความทุกข์ แต่บางครั้งพอมีเหตุร้ายมากระทบ ก็ทำให้ลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร คาถานี้จะช่วยเตือนใจให้เรากลับมาตั้งหลักได้

    นอกจากความทุกข์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรตวาดใส่บ้าง ก็คือ กิเลส เพราะมีกิเลสที่ไหน ความทุกข์ก็เกิดขึ้นที่นั่น ในสมัยพุทธกาลมีพระบางรูปใช้วิธีการทำนองนี้ เช่น พระวิชิตเสนะ มีช่วงหนึ่งท่านทำกรรมฐานแล้วจิตพยศมาก ทำอย่างไรจิตก็ไม่ยอมร่วมมือด้วย ท่านจึงตวาดใส่ว่า "แน่ะ จิตผู้ชั่วช้า ดื้อด้าน ...เราจะบังคับเจ้าให้อยู่ในอำนาจให้ได้ จะใช้สติผูกเจ้าไว้” อีกท่านหนึ่งคือพระตาลปุฏ จิตของท่านเบื่อหน่ายในการปฏิบัติ ท่านจึงตำหนิว่า “จิตเอ๋ย เจ้าร้ายนัก เราจักไม่ตกอยู่ในอำนาจของเจ้าอีกแล้ว กามล้วนเป็นทุกข์ มีผลเผ็ดร้อน มีภัยใหญ่หลวง เราจักมุ่งแต่พระนิพพานเท่านั้น...จิตเอ๋ย เมื่อเรามั่นคงเสียแล้ว เจ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ไม่ช้าไม่นานทั้งสองท่านก็บรรลุอรหัตผล

    เวลาถูกตำหนิหรือถูกท้วงติงแล้วเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองไม่พอใจ มองให้ดีจะพบว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่เราที่เป็นทุกข์ กิเลสหรือมานะ คือความถือตัวว่า ดีกว่า สูงกว่า เก่งกว่า ต่างหากที่เป็นทุกข์ แต่คนเราก็มักจะเผลอยึดเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็นความทุกข์ของเรา เมื่อมีคนตำหนิ กิเลสหรือมานะย่อมไม่พอใจ มันก็เลยสั่งให้เราด่ากลับหรือตอบโต้ทันที ทั้งที่มันไม่ได้เป็นผลดีกับเราเลย

    ถ้าเรารู้ทันก็อย่าไปปล่อยให้กิเลสหรือมานะครองใจหรือขี่คอเรา เมื่อใดที่เป็นทุกข์มากเพราะคำตำหนิก็ควรตวาดใส่มันบ้างว่า “กูไม่ยอมมึง อย่ามาก่อกวนกู” เราต้องรู้จักตวาดใส่กิเลสบ้าง เพราะถ้าเรายอมมัน มันก็ขึ้นมาขี่คอ จนเป็นนายเหนือหัวเรา คนส่วนใหญ่ปล่อยให้กิเลสครอบงำใจจนโงหัวไม่ขึ้น ใครแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ บ่อยครั้งที่เราปกป้องกิเลส ยอมตายเพราะกิเลสทั้งๆ ที่กิเลสไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย กลับเป็นอันตรายต่อเราด้วยซ้ำ

    อาตมาเคยอ่านเรื่องราวของเต่าทองจากนิตยสารเนชันแนลจีโอกราฟฟิก เต่าทองเป็นแมลงที่ดุมาก พวกนกไม่กล้าเล่นงานเพราะมันมีพิษ เวลาที่นกจะกิน แมลงเต่าทองก็คายพิษออกมา นกก็ต้องคายมันทิ้งไป แต่มันกลับไปเสียท่าแมลงชนิดหนึ่งซึ่งเป็นพวกปาราสิต เรียกว่าแตนเบียน ตัวเต็มวัยของแตนเบียนจะต่อยแมลงเต่าทอง จากนั้นก็จะวางไข่ไว้ในช่องท้องของแมลงเต่าทอง แล้วตัวอ่อนแตนเบียนก็เติบโตขึ้นโดยกินสารอาหารในตัวแมลงเต่าทอง พอโตจนเข้าระยะดักแด้ ตัวหนอนก็จะเจาะท้องแมลงเต่าทองออกมา แล้วสร้างรังไหมห่อตัวเอง แมลงเต่าทองแทนที่จะเล่นงานแตนเบียน กลับคอยปกป้องมัน ป้องกันภัยให้มัน เวลามีสัตว์เข้ามาใกล้ ๆ เต่าทองจะขยับแย้งขยับขา เพื่อขู่ไม่ให้ใครมากินตัวอ่อน ทั้งที่ตัวอ่อนของแตนเบียนนี้เป็นปาราสิต ดูดเอาอาหารจากเต่าทอง เต่าทองแทนที่จะเล่นงานมัน กลับปกป้องเสียอีก ไม่ให้ใครเข้ามาทำร้ายตัวอ่อนแตนเบียนในรังไหมได้

    แมลงเต่าทองโง่มากเลยนะ แตนเบียนเป็นอันตรายกับมันแท้ๆ แต่กลับปกป้องมัน แต่จะว่าไปแล้ว คนเราก็ทำอย่างนั้นกับกิเลสและอัตตาเหมือนกัน กิเลสไม่ได้เป็นคุณต่อเราเลย อัตตาก็เป็นโทษมาก มันทนฟังคำวิจารณ์คำแนะนำไม่ได้ ทั้งที่คำแนะนำคำวิจารณ์อาจมีประโยชน์ แต่มันไม่ชอบก็เลยสั่งให้เราไปด่าคนที่วิจารณ์หรือคนที่แนะนำท้วงติง เราก็เลยกลายเป็นผู้พิทักษ์อัตตา คอยเล่นงานหรือคอยไล่ล่าคนที่มากระทบกระแทกอัตตา

    ถ้าเรามีสติ เราจะไม่ปกป้องมัน แต่จะต้องเล่นงานมันด้วยซ้ำ ถ้ามันกร่างมากก็ต้องตวาดมัน อย่าให้มันเป็นใหญ่เหนือเรา เวลาอัตตารู้สึกขุ่นเคืองใจเมื่อมีเพื่อนร่วมงานมาท้วงติง เราไม่ควรจะปกป้องมัน เราไม่ควรเป็นข้ารับใช้มัน แต่ส่วนใหญ่ไม่ทำอย่างนั้น พอมันสั่งให้ด่า เราก็ด่า เลยเกิดปัญหากับเพื่อน นี่เราโง่หรือเราฉลาด ถ้าฉลาดเราควรฟังคำวิจารณ์ และนำมาพิจารณาว่าเขาพูดถูกหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่

    ส่วนความทุกข์ที่เกิดขึ้นเวลาถูกตำหนิ ก็ให้ตระหนักว่านั่นเป็นความทุกข์ของอัตตาหรือกิเลส ไม่ใช่ความทุกข์ของเรา เหมือนที่แมลงเต่าทองคิดว่า ความทุกข์ของแตนเบียน เป็นความทุกข์ของมัน มันก็เลยปกป้องแตนเบียน หารู้ไม่ว่าพอแตนเบียนโตเต็มที่แมลงเต่าทองก็ตาย เพราะอวัยวะภายในถูกทำลายไปเยอะแล้ว ที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปมีน้อยมาก คนเราก็ถูกอัตตากระทำเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปยอมเป็นเครื่องมือของมัน เวลารู้สึกเสียหน้า ขุ่นเคืองเพราะถูกข้ามหน้าข้ามตา หรือถูกวิจารณ์ แทนที่จะโกรธก็ต้องมาดูว่าเขาพูดจริงไหม ยิ่งถ้าเขาพูดจริงพูดถูก ก็ต้องขอบคุณเขา

    นอกจากการตวาดใส่กิเลสหรือมานะแล้ว การทำให้มันลีบเล็กลงก็สำคัญ การพยายามทำอะไรเพื่อลดละมานะ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ลดละอัตตา เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อนคนหนึ่งมีวิธีลดอัตตาที่น่าสนใจ เธอเป็นนักเขียนหญิงที่มีชื่อเสียง ทุกปีเธอจะไปอาสาเป็นพนักงานเสิร์ฟให้ร้านอาหารของเพื่อน ไม่ได้หวังเอาเงินหรือประสบการณ์ แต่ทำเพื่อช่วยลดอัตตา เพราะการเป็นนักเขียนชื่อดัง มีคนยกย่องมากมาย บางทีก็ลืมตัว พอไปเป็นพนักงานเสิร์ฟ ก็ช่วยได้มากเพราะต้องบริการผู้อื่น ลูกค้าหลายคนปฏิบัติไม่คอยดีกับพนักงานเสิร์ฟ บางทีเธอก็ฉุนขึ้นมาว่า “ทำอย่างนี้กับกูได้ไง กูเป็นนักเขียนดังนะโว้ย” แต่มันโผล่มาแป๊บเดียวก็รู้ทัน ระงับได้ นี่เป็นวิธีลดอัตตาที่ดีมากสำหรับเธอ

    หมอผู้หนึ่งเป็นคนมีความสามารถมาก ได้รับเชิญเป็นวิทยากรตามที่ต่างๆ มากมายทั่วประเทศ ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์บ่อยๆ แต่เขาไม่คอยสนใจเรื่องการแต่งตัว ไม่ค่อยหวีผม ภรรยาต้องคอยเตือนให้หวีผมเป็นประจำ วันหนึ่งก่อนจะออกไปบรรยาย ภรรยาก็เตือนให้หวีผม พอได้ยินเขาก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที นึกในใจว่า “พูดอย่างนี้ได้ไง กูเป็นวิทยากรระดับชาตินะโว้ย” ตอนนั้นอัตตาครองใจ จนเขาลืมไปว่าตนเองเป็นสามีของเธอ ดีที่เขามีสติรู้ทัน จึงไม่ได้พูดประโยคดังกล่าวออกไป

    หมอเอาเรื่องนี้มาเล่าด้วยความขำ ชี้ให้เห็นฤทธิ์ของอัตตาว่ามันร้ายกาจมาก หลงในความเป็นวิทยากรระดับชาติ ขนาดอยู่กับภรรยา ก็ยังไม่ยอมถอดหัวโขนดังกล่าวลง แต่คนที่ไม่รู้ทันอัตตา คงไม่ขำกับเรื่องแบบนี้ ยิ่งต้องเก็บงำเอาไว้เพราะกลัวเสียหน้า แต่ถ้าต้องการกำราบอัตตา ก็ต้องกล้าแฉความเกเรของอัตตา ไม่ใช่เก็บซุกซ่อนเอาไว้

    เจ้าของสายการบินแอร์เอเชีย ชื่อโทนี่ เฟอร์นันเดส เขาตั้งกติกากับตัวเองว่าทุกเดือนจะทำงานเป็นพนักงานขนกระเป๋า ทุกสองเดือนเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และทุกสามเดือนจะเป็นพนักงานที่เคาน์เตอร์ ไม่แน่ชัดว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อลดอัตตา หรือเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับพนักงานและเรียนรู้ปัญหาที่อาจเกิดกับบริษัท จะได้ปรับปรุงให้บริการดีขึ้น อย่างไรก็ตามการที่เขาลงมาทำงานระดับเดียวกับพนักงาน ก็มีส่วนช่วยลดอัตตาของตัวเองได้มาก เพราะธรรมชาติของผู้บริหารหรือเจ้าของ ย่อมรู้สึกว่ามีอำนาจเหนือพนักงาน ทำให้เกิดความหลงตัวลืมตนได้ง่าย

    แต่ละคนควรมีวิธีการของตัวเองในการลดอัตตา หากเราไม่ใช่เป็นคนเด่นคนดัง ไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นก็ได้ เพียงแค่เปิดใจฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ คำท้วงติง ก็ช่วยได้มาก เพราะเวลาเจอคำท้วงติง อัตตาจะไม่ยอม มันจะฮึดฮัดขัดขืน เมื่อไรก็ตามที่เรารู้ว่ามันฮึดฮัดขัดขืน แทนที่จะเดือดร้อนกับมัน ควรสมน้ำหน้ามัน ถือว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นการทรมานอัตตาให้กร่างน้อยลง มันจะได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่ทรมานมันบ้าง ไม่ฝึกให้มันอยู่เป็นที่เป็นทางบ้าง มันก็จะยกหูชูหาง แล้วมาครอบงำเรา ทำให้เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
    :- https://visalo.org/article/dhammamata9_3.html
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    skymountain.png
    ยาสามัญประจำใจ

    พระไพศาล วิสาโล

    ในบรรดาผู้เคราะห์ร้ายจากสงครามเวียดนาม คงไม่มีใครที่ทั่วโลกรู้จักมากเท่ากับ คิม ฟุค ภาพเด็กหญิงวัย ๙ ขวบร่างกายบอบบางและเปลือยเปล่า วิ่งร่ำไห้อยู่กลางถนนพร้อมกับเด็กอีก ๔ คน โดยมีทหารและม่านควันดำทมึนเป็นฉากหลัง ได้ประทับแน่นอยู่ในใจของผู้คนทั่วโลก ภาพนี้ภาพเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะบอกเราว่าสงครามนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เด็ก ๆ และประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง
    คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้นซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง ๖๕ เปอร์เซ็นต์ เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง ๑๔ เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้งกว่าจะหายเป็นปกติ เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก ๒ คนซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว


    นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๑๕ เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ๓ ปีต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย แต่แล้ววันหนึ่งในปี ๒๕๓๙ คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกันซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตันดีซี

    การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเขารู้ว่าสงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ

    พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า “ฉันอยากบอกเขาว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

    เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ”

    คิมเข้าไปโอบกอบเขาแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย”
    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัยโดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง “ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้” เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า “หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด”

    เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไรเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา คิม ฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า “ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น”

    บทเรียนของคิม ฟุค คือในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้ บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ “การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย”

    การให้อภัยมิได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เจ็บปวด แต่หมายถึงการไม่ยอมให้เหตุ การณ์เหล่านั้นมาทำร้ายเรา ผู้ที่รู้จักให้อภัยคือผู้ที่ยังจดจำอดีตอันไม่น่าพิสมัยได้ แต่แทนที่จะปล่อยให้อดีตนั้นมากระทำย่ำยี กลับเอาชนะมันได้และสามารถนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น เอามาเป็นบทเรียนเพื่อจะไม่ทำความผิดพลาดอีก และที่สำคัญคือเป็นเครื่องเตือนใจว่าความโกรธเกลียดนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเราอย่างไรบ้าง

    เมื่อเราโกรธใคร อยากทำร้ายใครนั้น คนแรกที่ถูกทำร้ายคือตัวเรานั่นเอง ไม่ใช่แค่จิตใจเท่านั้นที่เร่าร้อนเหมือนถูกไฟสุม แม้แต่ร่างกายก็ยังได้รับผลกระทบด้วย มีบางคนที่มีอาการปวดท้องและปวดศีรษะเรื้อรัง อีกทั้งยังมีความดันโลหิตสูง หมอพยายามตรวจร่างกายแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หมอจึงขอให้เธอเล่าเรื่องราวในชีวิตของเธอให้ฟัง เธอเล่าว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับพี่สาวซึ่งทอดทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาตามลำพังอยู่หลายปี หมอจึงสันนิษฐานว่าความเจ็บป่วยของเธอมีสาเหตุมาจากความบาดหมางดังกล่าว จึงแนะให้เธอยกโทษแก่พี่สาว หลายปีต่อมาหมอได้รับจดหมายจากคนไข้รายนี้ว่าเธอคืนดีกับพี่สาวแล้ว และอาการเจ็บป่วยก็ไม่มารังควานอีกเลย

    มีอีกรายที่เจ็บป่วยโดยหมอไม่พบความผิดปกติในร่างกาย เธอมีอาการคลื่นไส้และระบบย่อยอาหารผิดปกติจนน้ำหนักลดไป ๑๕ กก. วันหนึ่งอาการได้กำเริบขึ้นเมื่อเธอได้รับจดหมายจากลูกพี่ลูกน้อง เธอเฉลียวใจในตอนนั้นเองว่าความเจ็บป่วยของเธอมีสาเหตุมาจากความโกรธเกลียด เธอทั้งโกรธและเกลียดลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเพราะแอบไปมีความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มของเธอ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเขียนจดหมายมาขอโทษเธอ เธอครุ่นคิดอยู่นาน และในที่สุดก็เขียนจดหมายตอบไปว่า “ฉันยกโทษให้เธอ” หลังจากนั้นสุขภาพเธอก็ดีขึ้นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

    การให้อภัยเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตด้วยจิตใจที่โกรธแค้นพยาบาทกลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่า คนที่มีความโกรธเกลียดอัดแน่นเต็มหัวใจย่อมไม่อาจพบความสุขและความเบิกบานใจได้ คนเช่นนี้ย่อมยากที่จะมีศรัทธาและกำลังใจในการมีชีวิต ด้วยเหตุนี้เราจึงควรเรียนรู้ที่จะปลดเปลื้องความโกรธเกลียดไปจากจิตใจ ด้วยการรู้จักให้อภัยและหมั่นแผ่เมตตาไปให้แก่คนที่ทำความเจ็บปวดให้แก่เรา

    ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนึกถึงบุคคลดังกล่าวโดยที่จิตใจไม่พลุ่งพล่าน แต่เมื่อใดที่ใจเราสงบลองนึกถึงเขาอยู่เป็นระยะ ๆ นึกถึงแต่ละครั้งก็ยิ้มให้เขา แผ่ความปรารถนาดีให้เขา เราจะพบว่าเรายิ้มให้เขาได้ง่ายขึ้น และจิตใจกระเพื่อมน้อยลง ไม่นานเราก็จะให้อภัยเขาได้และมีความปรารถนาดีต่อเขาด้วยใจจริง

    ถึงตอนนั้นเราจะพบว่าสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานนั้นมิใช่อะไรอื่น หากได้แก่ความโกรธเกลียดที่เคยอยู่ในใจเรานั้นเอง ความเจ็บปวดที่เกิดเพราะคนบางคนนั้นแท้จริงได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ที่ยังคงอยู่ก็เพราะใจเรานั้นเองที่ไปรื้อฟื้นและทนุถนอมมันเอาไว้ด้วยความจงเกลียดจงชังหมายมั่นจะแก้แค้น ตัวเขาอาจอยู่ไกลแสนไกล แต่เราเองต่างหากที่ไปดึงเขามาไว้กลางใจเราอยู่ทุกโมงยาม พูดให้ถูกต้องก็คือใจเรานั่นแหละที่สร้างปีศาจร้ายมาหลอกหลอนตัวเองอยู่ทุกขณะจิต ปีศาจที่แม้รูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่เคยประทุษร้ายเรา แต่เป็นผลผลิตจากใจของเราเอง

    การให้อภัยและการแผ่เมตตาแท้ที่จริงก็คือการสยบปีศาจร้ายมิให้มาหลอกหลอนอีกต่อไป จะเรียกว่าเป็นการเชื้อเชิญมันออกไปจากจิตใจของเราก็ได้ ด้วยการให้อภัยและการแผ่เมตตาเท่านั้น จิตใจของเราจึงจะได้รับการเยียวยาและกลับเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง

    ในโลกที่เรามิอาจหลีกพ้นความพลัดพรากสูญเสีย ความเจ็บปวด และบาดแผลในใจ การให้อภัยและการแผ่เมตตาคือยาสามัญที่ควรมีไว้ประจำใจ
    :- https://visalo.org/article/sukjai254707.htm
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    sunflower-3530589_960_720.jpg
    จิตแจ่มใส ดอกไม้บาน
    พระไพศาล วิสาโล
    เวลาดอกไม้บาน ไม่ใช่แต่ผึ้งเท่านั้นที่ดีใจ จิตของเราก็พลอยแช่มชื่นเบิกบานไปด้วย

    ดอกไม้กับจิตใจของคนเรานั้นสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ลองยื่นดอกไม้ ดินสอ และไข่ไก่
    ให้เด็กทารก เด็กส่วนใหญ่จะไขว่คว้าดอกไม้ก่อนอย่างอื่น

    ดอกไม้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ และมนุษย์เราก็มีนิสัยรักธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว อาจจะตั้งแต่มนุษย์ยังไม่ได้เดินสองขาหลังตรงอย่างทุกวันนี้ก็ได้

    เคยมีการวัดคลื่นสมองของคนเวลาเห็นภาพต่าง ๆ ปรากฏว่าสมองของคนเราจะมีอาการผ่อนคลายเมื่อเห็นภาพที่มีต้นไม้ ลำน้ำ และดอกไม้ ไม่ต้องบอกก็เดาออกว่าคลื่นสมองของเราจะเป็นอย่างไรเมื่อเห็นภาพเมือง แม้เมืองนั้นจะเป็นบ้านเกิดของเราก็ตาม

    เราไม่เพียงสบายใจเมื่อได้สัมผัสธรรมชาติเท่านั้น ร่างกายเราก็ดีขึ้นด้วย มีการค้นพบว่าผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดใหญ่ จะหายเร็วขึ้นและต้องการยาระงับปวดน้อยลง หากได้พักในห้องที่สามารถมองเห็นต้นไม้จากทางหน้าต่างได้ ในทำนองเดียวกันความเจ็บป่วยเพราะความเครียดของผู้ต้องขัง ก็จะลดลง หากสามารถมองเห็นต้นไม้จากในเรือนจำ

    อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่ผู้ใฝ่ธรรมขั้นสูง จิตใจก็ยังผ่องใสได้ด้วยอานุภาพของดอกไม้และธรรมชาติ ในสมัยพุทธกาล พระสาวกท่านหนึ่งได้พรรณนาถึงความรู้สึกเมื่อได้อยู่ท่ามกลางพงไพรอันร่มรื่นว่า

    ยามใด ณ ริมฝั่งธารใส
    มวลดอกไม้ป่านานาพรรณสะพรั่ง
    ภิกษุนั่งบำเพ็ญฌานภาวนา
    ยามนั้น ไม่มีสุขใด
    จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้


    แต่ความสัมพันธ์ระหว่างดอกไม้กับใจเรามิได้มีเพียงเท่านี้ ขณะที่ดอกไม้บานทำให้จิตแจ่มใส ในอีกด้านหนึ่งเมื่อจิตแจ่มใส ดอกไม้ก็พลอยบานไปด้วย

    ทำไมจิตแจ่มใส แล้วดอกไม้จึงบาน ? อันที่จริง ดอกไม้นั้นอาจจะบานอยู่แล้วก็ได้ แต่เราไม่ทันสังเกต เมื่อไม่สังเกต ดอกไม้ก็หาได้บานอยู่ในความรับรู้ของเราไม่ คำถามก็คือเหตุใดเราจึงไม่ทันสังเกต คำตอบก็คือเป็นเพราะใจเรามัวแต่หม่นหมองกังวล ไหนจะเรื่องครอบครัว ไหนจะเรื่องงานการ หาไม่เราก็กระวนกระวายกับเรื่องรถติด อีกทั้งชีวิตเราก็เร่งรีบเกินไป จนใจพุ่งไปรออยู่ที่จุดหมายเบื้องหน้า ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ทันสังเกตว่ามีดอกไม้ชูช่ออยู่ริมทางข้างตัว เลยขาดโอกาสที่จะซึมซับรับความงามมาหล่อเลี้ยงจิตใจ

    ความงามจากธรรมชาตินั้นเปล่งประกายออกมาตลอดเวลา แม้ในเมืองที่ขี้เหร่ร้ายกาจอย่างกรุงเทพ ฯ ตามซอกตึกหากเหลียวมองก็จะเห็นตะไคร่น้ำเขียวสดใส ริมทางเท้าก็มีดอกบานชื่นคอยทักทายเราอยู่ เกาะกลางถนนก็ใช่ว่าจะไร้สีสันของดอกดาวเรือง มองไปสุดถนน แสงเงินแสงทองก็แต่งแต้มท้องฟ้าแทบทุกเช้า ตกค่ำดวงจันทร์นวลใสก็มาเยือนอยู่ทุกบ่อย

    ขอเพียงเราทำใจให้ปลอดโปร่ง ว่างจากความคิด และวางการงานสักครู่ ความงามจากธรรมชาติเหล่านี้ก็จะพรูพรั่งหลั่งไหลมาสู่ใจเรา ลองทำใจให้แจ่มใสสักพัก ดอกไม้บานก็จะประจักษ์แก่เรา และช่วยหล่อเลี้ยงใจให้แช่มชื่นมากขึ้น

    จิตที่แจ่มใส ย่อมสัมผัสกับความงามได้เต็มที่ ตรงกันข้ามหากจิตกลัดกลุ้มกังวลเสียแล้ว อย่าว่าแต่ความงามของดอกไม้เลย แม้แต่ความเอร็ดอร่อยของหูฉลามน้ำแดง ก็ไม่อาจเข้าถึงจิตใจได้ เพราะความขุ่นมัวเหล่านั้นได้ครอบงำจิตเสียแล้ว

    อย่างไรก็ตาม จิตแจ่มใสไม่เพียงแต่ทำให้ดอกไม้บานเป็นที่ประจักษ์แก่ใจเท่านั้น หากยังสามารถทำให้ดอกไม้บานขึ้นได้จริง ๆ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อชา สุภัทโทแห่งวัดหนองป่าพงว่า ตอนที่ท่านป่วยหนักเพราะมีน้ำคั่งในสมองนั้น คราวหนึ่งท่านมารักษาตัวอยู่ที่บ้านโยมคนหนึ่งแถวสำโรง บ้านโยมคนนี้มีต้นพวงประดิษฐ์อยู่ต้นหนึ่ง ไม้ต้นนี้ไม่ออกดอกมาเป็นเวลา ๘ ปีแล้ว กล่าวกันว่าพวงประดิษฐ์ต้นนี้หยุดออกดอกและเริ่มหงอยหลังจากที่พ่อและลูกในบ้านนั้นเสียชีวิตไป
    เมื่อหลวงพ่อชามาพักที่บ้านนั้น ทุกเช้าท่านจะเดินมาดูต้นพวงประดิษฐ์นี้ ไม่ช้าไม่นานไม้ต้นนี้ก็กลับมาออกดอกใหม่ เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่เจ้าของบ้าน ว่ากันว่าท่านแผ่เมตตาให้ไม้ต้นนี้ทุกวัน จิตอันปลอดโปร่งผ่องใสของท่านสามารถบันดาลต้นไม้ให้ออกดอกใหม่ได้

    เรื่องของหลวงพ่อชาอาจดูเป็นเรื่องแปลก แต่ที่จริงคนธรรมดาก็อาจทำเช่นนั้นได้ด้วยเหมือนกัน ว่ากันว่าเวลาเรารดน้ำต้นไม้ ถ้าร้องเพลงไปด้วยหรือเปิดเพลงเบา ๆ ให้ต้นไม้ฟัง ต้นไม้จะโตและออกดอกเร็วขึ้น ในฟาร์มบางแห่ง มีการเปิดเพลงกระจายเสียงไปทั่ว เขาพบว่าไม้ในฟาร์มนั้นงามขึ้น ให้ผลผลิตมากขึ้น นี้ก็เป็นตัวอย่างว่าถ้าเรามีความสุข จิตแจ่มใส ดอกไม้ก็บานตามไปด้วย

    ถ้าเราตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างดอกไม้กับใจเรา เวลาเราเกิดรู้สึกท้อแท้เศร้าหมองขึ้นมา ลองหาเวลาอยู่กับดอกไม้และธรรมชาติให้มากขึ้น ไม่ต้องถึงกับแบกเป้หิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่ในป่าก็ได้ เพียงแค่เพ่งพินิจดอกไม้ในบ้าน เปิดใจสัมผัสกับความงามจนจิตเป็นสมาธิ หรือหยิบพู่กันบรรจงวาด จนดอกไม้ซึมซับเข้าไปอยู่ในใจ เมื่อนั้น จิตของเราจะมีพลังและปลอดโปร่งแจ่มใสยิ่งกว่าเดิม

    ถึงที่สุดแล้ว ดอกไม้ไม่ได้มีอยู่แต่ภายนอกเท่านั้น หากยังอยู่ในใจด้วย เมื่อใดที่ผู้คนมีน้ำใจ เมตตาอารีต่อกัน นั่นก็เป็นสัญญาณว่าดอกไม้ได้บานในใจเขาแล้ว ดอกไม้ภายในนี้แหละที่สามารถชุบชูใจเราให้หายท้อแท้ได้อย่างชะงัด และดอกไม้ชนิดนี้แหละที่เราสามารถแลเห็นได้ ไม่ยากนัก เราอาจเห็นได้จากแท็กซี่ที่หยุดรถเพื่อจูงคนตาบอดข้างถนน จากคนที่พยายามตามหาเจ้าของกระเป๋าเงินที่เขาเก็บได้ จากเด็กที่ลุกให้ที่นั่งแก่ผู้เฒ่า เหล่านี้คือความงามที่เหนือกว่าดอกไม้ภายนอกเสียอีก

    แต่อย่าเฝ้าชื่นชมดอกไม้ภายในใจของผู้อื่นอย่างเดียว ขอให้น้อมนำดอกไม้นั้นมาบานในใจเราด้วย ชีวิตเราจะมีความสุขอย่างยิ่ง
    :- https://visalo.org/article/sukjai254310.htm
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,764
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    cheerup.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...