เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,380
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2024
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,380
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เรื่องราวข่าวร้อนในวงการสงฆ์ ในที่สุดก็พาดพิงมาถึงกระผม/อาตมภาพจนได้ ก็คือเรื่องที่มีคลิปที่สามเณร ๒ รูป เจริญพระกรรมฐาน แล้วมีการกระโดดเด้งไปเด้งมา มีการสอบถามว่า "เป็นกรรมฐานแบบไหน ? หรือว่าใช่อุพเพ็งคาปีติหรือไม่ ?"

    ในเรื่องนี้ขออนุญาตกล่าวเป็นสองส่วนด้วยกัน ส่วนที่หนึ่งก็คือกล่าวถึงเรื่องของปีติในการเจริญพระกรรมฐาน อีกส่วนหนึ่งก็คือ กล่าวถึงการจัดการกับอธิกรณ์ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิเรื่องนี้

    เรื่องของการเจริญพระกรรมฐานนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เจริญพระกรรมฐานส่วนใหญ่ ร้อยละ ๙๙.๙๙ จะต้องผ่าน ก็คืออาการปีติ คำว่า ปีติ นี้เป็นความอิ่มเอิบใจที่เกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาแล้ว มีอาการต่าง ๆ กันออกไป อรรถกถาจารย์ท่านจำแนกออกได้ ๕ ประการด้วยกัน

    อาการที่ ๑ เรียกว่า ขณิกาปีติ เป็นอาการปีติเล็กน้อย มีขนลุกซ่า ๆ เป็นระยะ ๆ

    อาการที่ ๒ เรียกว่า ขุททกาปีติ เป็นปีติที่มีน้ำตาไหล บางทีก็ไหลพราก ๆ ไม่อยากจะหยุด

    อาการที่ ๓ เรียกว่า โอกกันติกาปีติ มีร่างกายโยกไปโยกมา ถ้าหากว่ารุนแรง ก็มีอาการดิ้นตึง ๆ เหมือนผีเจ้าเข้าสิงก็มี

    อาการที่ ๔ เรียกว่า อุพเพ็งคาปีติ บางคนเรียกว่า ปีติโลดโผน ก็คือมีการกระโดดโลดเต้น กระผม/อาตมภาพเคยเจอมา ก็คือตีลังกาในศาลาเลยก็มี บางทีก็ลอยขึ้นทั้งตัว ลอยไปไกล ๆ

    อาการสุดท้ายเรียกว่า ผรณาปีติ มีอาการตัวพอง ตัวใหญ่ ซาบซ่าน บางทีรู้สึกว่าตัวรั่วเป็นรู มีสิ่งต่าง ๆ ไหลออกจากร่างกาย ซู่ซ่าไปหมด ถ้าอาการหนัก ๆ บางทีรู้สึกว่าตัวแตก ระเบิดกลายเป็นผงไปเลยก็มี..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,380
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเจริญพระกรรมฐานจะต้องเจอ ประการใดประการหนึ่งเป็นอย่างน้อย หรือบางท่านถ้ามีวิสัยพระโพธิสัตว์มา ก็จะเจอครบถ้วนทั้ง ๕ ประการเลย แต่ว่าการเจอปีตินี้ ไม่ใช่ว่าจะเจอก่อนที่จะทรงสมาธิเป็นฌาน บางท่านทรงถึงฌาน ๔ และสมาบัติ ๘ แล้ว แต่เมื่อถึงเวลา อาการปีติใหม่จะเกิดขึ้น กำลังใจก็ลดลงมาเหลือแค่อุปจารสมาธิเท่านั้น แล้วปีติก็เกิดขึ้นในตอนนั้น

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพสามารถยกตนเองขึ้นเป็นตัวอย่างได้ อาการแรกขณิกาปีติ ก็คืออาการขนลุก บางทีขนลุกหนักถึงขนาดตั้งจนกระทั่งเป็นตุ่มไปทั่วตัว อย่างที่โบราณเขาเรียกว่าหนามขนุน บางทีก็ขนลุกอยู่ทั้งวัน จนรู้สึกเจ็บผิวหนัง ต้องลูบให้ขนนั้นลดอาการลุกลงก็มี

    อาการขุททกาปีติหรือว่าน้ำตาไหลนั้น กระผม/อาตมภาพไปเกิดอาการน้ำตาไหล ตอนฝึกมโมนยิทธิประมาณปี ๒๕๒๑ ตอนนั้น ทางด้านครูฝึกให้กำหนดอตีตังสญาณ ดูในเรื่องของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ว่า ที่เรือพระประเทียบล่มนั้นเกิดอะไรขึ้น ? แล้วก็เห็นว่าความจริงพระองค์ท่านว่ายน้ำออกไปแล้ว แต่ครั้นหันกลับไปแล้วไม่เห็นพระราชธิดาเสด็จตามมา จึงได้ดำน้ำกลับไปเพื่อที่จะควานหา แล้วคลื่นก็ซัดเอาเรือพระประเทียบที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ นั้น ครอบพระองค์ท่านจมหายไป..!

    ด้วยความที่เกิดความรู้สึกว่า โอหนอ..ความรักของแม่ช่างมากมายมหาศาลขนาดนี้ เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อลูกก็ยอม จึงเกิดอาการปีติ น้ำตาไหลพราก ๆ แม้ว่าจะเลิกฝึกมโนมยิทธิแล้วก็ยังน้ำตาไหล เมื่อออกมาถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงทางด้านนอก ก็ตั้งใจว่าจะกลั้นให้หยุด

    ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และญาติโยมทุกคนว่า
    อาการปีตินั้น เราสามารถที่จะห้ามได้ ก็คือให้หยุดก็หยุดได้ เพียงแต่ว่าพอกระผม/อาตมภาพจะกลั้นให้หยุด พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านกล่าวว่า "อย่าทำอย่างนั้นไอ้หนู ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะได้ผ่านไปทีเดียว ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเอ็งไปกลั้นไว้ เดี๋ยวอารมณ์ใจถึงตรงนั้นเมื่อไร ก็จะน้ำตาไหลอีก"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,380
    กระผม/อาตมภาพจึงปล่อยให้น้ำตาไหลตั้งแต่ตอนฝึกมโนมยิทธิประมาณเที่ยงครึ่ง ไปจนเกือบจะ ๕ โมงเย็น กว่าที่น้ำตาจะหยุดไหล บรรดาพี่ป้าน้าอาต่างก็ส่งกระดาษซับให้ เช็ดหน้าจนแสบไปหมด ถึงสามารถที่จะพ้นไปได้ ไม่เกิดอาการน้ำตาไหลในครั้งต่อ ๆ ไปอีก เพราะว่าปล่อยให้ "ขึ้น" จนเต็มที่แล้ว

    ส่วนเรื่องของโอกกันติกาปีตินั้น มาเกิดตอนที่ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง มีอาการดิ้นตึงตัง แล้วก็เอามือตบหน้าขาตนเอง จนกระทั่งเขียวช้ำไปหมด

    ส่วนในเรื่องของอุพเพ็งคาปีตินั้น หลังจากที่บวชพระไปแล้ว เจริญพระกรรมฐานอยู่ มีความรู้สึกว่าวันนี้มีอะไรวูบ ๆ อยู่ข้างเอว จึงลืมตาขึ้นมาดู ไม่ทราบเหมือนกันว่า ร่างลอยขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไร ? เอวอยู่ห่างจากพัดลมเพดานที่กำลังหมุนอยู่นิดเดียวเท่านั้น..! จึงทำให้ตกใจ จิตเคลื่อนจากสมาธิ หล่นลงมากระแทกพื้นเสียงดังตึงใหญ่..! ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ถือเป็นบทเรียนว่า ถ้าหากว่าเจริญพระกรรมฐาน ต้องปิดพัดลมเพดานเสียก่อน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านยังบอกว่า "อย่าลืมเอาสตางค์ใส่กระเป๋าไปด้วยนะ ถ้าแกลอยไปไกล ๆ แล้วจิตเคลื่อนตกลงมา ไม่สามารถที่จะลอยกลับได้ ต้องอาศัยรถกลับวัด เดี๋ยวจะไม่มีสตางค์ค่ารถให้เขา" แล้วท่านเองก็หัวเราะชอบใจ..!

    ส่วนผรณาปีตินั้น ตอนที่กระผม/อาตมภาพฝึกมาทั้งฌาน ๔ และสมาบัติ ๘ จนคล่องตัวแล้ว คิดว่าคงจะไม่ปรากฏอาการนี้ในชีวิตของเราแน่ แต่ปรากฏว่าวันนั้นกำลังนอนภาวนารักษาอารมณ์ใจอยู่ ที่บริเวณหน้าตึกริมน้ำ เพราะว่าทำหน้าที่เฝ้ายามให้ที่หน้าห้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ตอนนั้นหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกกันว่า "หลวงพี่โอ" ท่านเข้ามา แล้วก็ได้ยินเสียงท่านบ่นว่า "ท่านนี่เอาแต่ภาวนาจังเลยนิ" แล้วรู้สึกเหมือนท่านเอามือทิ่มหัวมาทีหนึ่ง ในลักษณะหยอก ๆ

    แต่ปรากฏว่าร่างของกระผม/อาตมภาพลอยพ้นพื้นขึ้นมาประมาณ ๑ ฝ่ามือ โชคดีที่ว่าคลุมจีวรในลักษณะตีโปงนอนอยู่ จึงไม่เกิดอาการผิดสังเกตให้คนอื่นเห็น มีความรู้สึกว่า "เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นกันทั้งวัดเท่านั้น..!" เพราะว่าการลอยครั้งก่อน ๆ นั้นไม่มีใครเห็น เนื่องจากว่าลอยอยู่เฉพาะในห้องของตนเอง จะลอยสักกี่ครั้งก็ปล่อยไป จนกระทั่งเต็มที่ก็เลิกไปเอง ปรากฏว่าพอรู้สึกเช่นนั้น ร่างกายก็ตกอยู่ในอาการค้าง ก็คือช่วงสูงจากพื้นแค่ประมาณคืบเดียวเท่านั้น..!

    แต่ปรากฏว่าตรงที่นิ้วของหลวงพ่อโอท่านจิ้มลงมานั้น มีบางสิ่งบางอย่างไหลซู่ออกไป เหมือนกับอย่างลมอย่างแรงที่ไหลออกเวลายางรถยนต์รั่ว แล้วหลังจากนั้นก็มีรูรั่วที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ รั่วไปทั้งตัว รู้สึกว่าตัวพองตัวใหญ่ แล้วมีสิ่งของไหลซู่ซ่าออกจากตัวไปจนหมด ด้วยความที่เคยชินแล้ว จึงรักษากำลังใจเอาไว้เกือบ ๒๐ นาที กว่าที่อาการรั่วอาการไหลทั้งหลายเหล่านั้น และอาการตัวพองตัวใหญ่จะลดลง แล้วก็กลับสู่พื้นตามปกติ

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านมีวิสัยทางพุทธภูมิ คือปรารถนาจะเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ก็จะเจอจนกระทั่งครบ ๕ ประการด้วยกัน น้อยคนนักที่จะไม่เคยเจอ สมาธิจิตข้ามไปเป็นฌานเลยทีเดียว

    ดังนั้น..ในเรื่องของปีติอาการอย่างที่เณรทำมานั้น ถ้าจัดไปแล้วก็อยู่ในส่วนของโอกกันติกาปีติ ไม่ใช่อุพเพ็งคาปีติ เพราะว่าอุพเพ็งคาปีตินั้นลอยแล้วก็ค้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็สามารถลอยไปไกล ๆ จนคนเข้าใจผิดว่าเหาะได้ก็มี
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,380
    คราวนี้เมื่อเรื่องราวออกสื่อกันไป ทางคณะสงฆ์ โดยพระเดชพระคุณพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ พระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๑) วัดเขื่อนวชิราลงกรณ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) วัดท่าขนุน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทำการสอบสวนในทันทีทันใด โดยที่ติดต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายกองค์กรบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ ก็คือตำบลชะแลไปด้วย

    ปรากฏว่าท่านผู้เป็นเจ้าสำนักสงฆ์นั้น เป็นลูกศิษย์ที่บวชโดยหลวงพ่อพระครูกาญจนเขตวิมล อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ท่านได้แยกตัวออกจากวัด ไปทำหน้าที่ประธานที่พักสงฆ์เขาแปดร้อย หมู่ที่ ๖ ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ ก็แปลว่า ท่านอยู่ตรงนั้นมา ๙ ปี จะย่างเข้าปีที่ ๑๐ แล้ว

    เมื่อทำการสอบสวน ปรากฏว่าสิ่งที่ท่านอธิบายมานั้น เกินสิ่งที่สามเณรทำไปมาก โดยที่ท่านอ้างว่าเป็นฌาน ๔ บ้าง เป็นฌาน ๕ บ้าง ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าปีตินั้น ยังไม่ถึงปฐมฌานเลย..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการตัดสินว่า ให้ท่านออกจากที่พักสงฆ์แห่งนั้น กลับไปยังสังกัด คือวัดทองผาภูมิตามเดิม ซึ่งปัจจุบันนี้ มีพระครูสมุห์ฉันธ์ วรปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาส ให้เจ้าอาวาสท่านขัดเกลาฝึกฝนเสียใหม่ จะได้ไม่ไปทำอะไรผิดพลาดอีก ถ้าหากว่ามีการฝ่าฝืน ภายใน ๓ วันไม่ยอมกลับสู่ต้นสังกัด ก็จะให้ทางด้านผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายก อบต. พึ่งอำนาจทางบ้านเมืองให้สึกหาลาเพศไป

    การจัดการแบบทันทีทันควันแบบนี้ เป็นสิ่งที่ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมินิยมกระทำมาตลอด ก็คือให้เรื่องจบลงให้เร็วที่สุด ให้พระพุทธศาสนาของเราบอบช้ำให้น้อยที่สุด ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จนเป็นข่าวเป็นคราวไปทั่วประเทศ หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอก็มักจะมอบหมายให้กระผม/อาตมภาพไปดำเนินการ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ส่งรายงานให้กับท่าน

    แต่ว่างานนี้ดังไปทั่ว เพราะว่ามีการลงสื่อโซเชียลต่าง ๆ จึงต้องไปดำเนินการร่วมกับทางบ้านเมือง ยังดีที่ท่านไม่ดื้อ ในเมื่อตัดสินเช่นนั้น ท่านก็รับปากว่าจะโยกย้ายภายใน ๓ วัน ก็ได้แต่รอดูว่าท่านจะประพฤติปฏิบัติตามที่ได้ให้ปากคำ หรือว่าสัญญาเอาไว้หรือไม่ ? เพราะว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นก็โดนภาคทัณฑ์ไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังดื้อดึงอีก ก็อาจจะต้องให้ออกจากผ้ากาสาวพัสตร์ไปเลย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...