สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    สวัสดีครับคุณ nop สุขสบายดีไหมครับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,429
    ค่าพลัง:
    +35,308
    สบายดีครับ ขอบคุณมากๆครับ.
    มาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกันครับ.
     
  3. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    479
    ค่าพลัง:
    +1,209
    การที่เราไปดูดวงคนอื่นแล้วไม่เก็บค่าครูจะส่งผลกระทบกับเรามั้ยครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,429
    ค่าพลัง:
    +35,308
    ถ้าเรามีครูบาร์อาจารย์สอนวิชาดูดวงมาซึ่งเป็นศาสตร์วิชาเฉพาะทางนั้นๆ(อาจเป็นครูทางภพภูมิ หรือท่านที่ล่วงลับไปแล้ว)แล้วผู้ดูใช้วิชานี้ในการดู ถ้าไม่เก็บค่าครูจะกลายเป็นวิบากพ่วงพันธ์ได้ระหว่างผู้มาดูกับครูบาร์อาจารย์ ส่วนผู้ดูจะเป็นเหตุแห่งวิบากพ่วงพันธ์นี้, ยกเว้นว่าเราจะดูเพื่อประโยชน์สาธารณะและครูบาร์อาจารย์ท่านมีปฏิปฎาว่าให้ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ มิให้ประกอบเป็นอาชีพเลี้ยงตน อาทิเช่น สายอดีต ลพ.มีชื่อที่ จ.อุธัยฯไม่เป็นไร,
    ปกติถ้าบุคคลดูเพื่อสาธารณะ จะเก็บค่าครูพอเป็นพิธิ เช่น บาท สองบาท หรือตามความเหมาะสมตามเหตุและปัจจัย ณ สถานที่นั้นๆ แล้วให้ผู้มาดูไปทำบุญหยอดตู้วัดเอง หรือหยอดตู้ไว้แล้วไปทำบุญที่วัดภายหลัง, ยกเว้นกรณีที่ประกอบอาชีพหมอดูก็แล้วแต่ สายครูบาร์อาจารย์ และหมอดูผู้นั้นจะตั้งเองซึ่งเป็นปัจเจกแห่งตน ตามสายครูบาร์อาจารย์ท่านนั้นๆ เรื่องนี้ ว่างๆลองอ่านที่พระพุทธฯไม่ให้สาวกเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัชฉานวิชาเช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวก(.......)เลี้ยงชีพตนเองนะแต่ไม่ได้ห้ามว่าทำเพื่อประโยนช์อื่นๆ)จะพบว่ามีการดูหมอหลายอย่างมากเกิน ๑๐๐ กว่ารายการ นอกจากการดูดวงตามที่ได้เห็นตามสื่อทั่วไป พ่นน้ำมนต์,รดน้ำมนต์ แค่ ๒ ในร้อยกว่ารายการ.( ข้อมูลจาก พระไตรปฏิก ฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม ๙ หน้า 65 ย่อหน้าที่ [205] -[211]
    เครเนาะ :):):)
     
  5. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขอโทษคุณนพครับที่มาตอบช้า ตอนนั้นมีเตือนไวรัสแล้วเข้าเวปไม่ได้เลย ตอนนี้ทางเวปคงแก้ไขแล้ว เพราะเข้าได้แล้ว

    ปัจจุบันนี้การปฏิบัติของผมไม่สามารถก้าวหน้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว

    ปัจจุบันผมรู้อยู่ที่ตัวตน ผมรู้ผมเห็นแล้วว่าตัวตนคืออะไร เกิดมายังไง ทำยังไงตัวตนถึงไม่เกิด
    แต่ผมก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว คือรู้แต่เครื่องมือที่มีอยู่ไม่สามารถทำได้

    ตอนแรกครูบาอาจารย์ก็มาบอกในนิมิตว่า จากนี้ไปผมมีแต่ต้องบวชเท่านั้น ตอนนั้นก็เลยใคร่ครวญอยู่นาน
    แต่พอผมมองไปที่คนรอบกาย ผู้ที่มีพระคุณกับผม ผู้ที่รักผม ผมจึงตั้งใจว่าจะอย่างไรก็จะไม่ไปคนเดียว จะต้องพาพวกเขาให้รอดไปด้วย แล้วเหล่าเทวดาก็มาอนุโมทนาในนิมิตกับผมอีก

    จากประสบการณ์ปฏิบัติที่ผ่านมา 20 กว่าปีในชาติภพนี้ของผม มีครูบาอาจารย์มาสอนทั้งทางหลุดพ้น และทางบำเพ็ญแบบพระโพธิสัตว์ แต่ทางบำเพ็ญจะเยอะกว่า รวมทั้งมีครูบาอารย์และผู้ปฏิบัติธรรมที่มีชีวิตอยู่ หรือภพภูมิอื่นๆ มาบอกถึงหนทางในอนาคตของผม ที่จะไปในทางแนวบำเพ็ญ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  6. pinkyrainbow

    pinkyrainbow สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    สวัสดีครับพี่นพ

    ในที่สุดผมก็อ่านหมดจนได้ :D ก็ตั้งใจว่าอ่านจบก็จะถาม ๆๆๆ ในเรื่องที่ผมสงสัย แต่เมื่ออ่านหมดแล้วก็ไม่เหลือคำถามให้ถามเลยหล่ะคับ เพราะได้พี่นพได้ตอบมาหมดแล้วจากที่พี่นพได้ตอบท่านอื่น ๆ และผมเองยังไม่ถึงขั้นที่จะถามต่อได้จริง ๆ คับ ศีล ๕ ยังแตกละเอียด สัจจะอะไรไม่ต้องพูดถึงเลยหล่ะคับ พูดล่ะกลุ้มตัวเอง ๕๕๕

    คับก็เลยจะถามเรื่องอื่นที่ผมแอบกลุ้ม ๆ อยู่ล่ะกันคับ

    คือเมื่อช่วงมหาวิทยาลัย (ปัจจุบันเรียนจบทำงานมา ๒๐ ปีได้แล้วคับ) ผมเคยไปทำพิธีรับขันธ์กับพวกร่างทรงมา ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมไม่ทราบด้วยซ้ำนะคับว่ารับขันธ์คืออะไร ที่ไปรับก็ด้วยเพื่อให้ผู้ใหญ่สบายใจ แต่แล้วเมื่อผมได้มาอ่าน ๆ ที่พี่นพเขียน ๆ มา ผมก็กลุ้มสิคับ ๕๕๕

    คับคำถามคับ

    ๑. ผมจะทราบได้อย่างไรคับว่าผมมีการรับขันธ์มาแล้วหรือไม่คับ
    ๒. คืนขันธ์ทำได้ด้วยตัวเองไหมคับ ถ้าทำได้ทำอย่างไรคับ

    สุดท้าย
    เป็นบุญของผมจริง ๆ อย่างคุณอะไรก่อนหน้านี้ที่ว่าได้มาพบแม้เพียงข้อความ ผมขออนุโมทนาในบุญที่พี่นพได้กระทำมาทั้งลับและแจ้งทั้งหมดด้วยคับ (อันนี้ผมหวังผล ๕๕๕ ยากนะคับเนี่ยที่พี่นพสอนให้ทำบุญแบบไม่อะไรกับอะไรเลยเนี่ยคับ ๕๕๕๕๕)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2025 at 10:14
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,429
    ค่าพลัง:
    +35,308
    5 โหลลล ชอบลักษณะคำถามนะ ถ้าไม่ถามส่วนตัวจะไม่สามารถเล่าให้ฟังได้
    ตอบข้อ ๑. ก่อนนะ
    (เล่าให้ฟังเล่นๆนะ แต่ของเราขันธ์ที่รับมันคลาย
    ตัวเองตั้งแต่ ๑๖ ปีก่อนแล้วดังนั้นก็สบายใจได้เลย
    คลายคือ ไม่มีผลต่อตัวจิตในลักษณะวิถีดวงจิต
    ที่รับขันธ์ร่างทรงนะหรือส่งผลต่อกาย)


    ส่วนนี้คือนิทาน
    -ส่วนมากทั่วไปคนที่รับขันธ์โดย
    ไม่ได้ตั้งใจนั้น มักจะไม่รู้ตัวเองว่า
    กิริยาต่างๆที่เกิดเป็นผลมาจากการรับขันธ์
    เพราะว่าจะไม่รู้ตัวเองเมื่อแสดงอาการอะไรก็ตามออกไปแล้วนะ ส่วนมากคนใกล้ตัวจะบอกแต่มักจะไม่ค่อยเชื่อ ถ้าเราไม่มีนิสัยประหลาดก็ถือว่าเป็นคนปกติ คือยังเห็นว่าอีกาเป็นสีดำอยู่ (นึกถึงสมัยนี้ซิ ตรรกะแปลกๆ เห็นเรื่องผิดกฏหมาย เป็นปกติ เรียร้องความเป็นธรรมเฉยเลย อย่างงง)

    - ขันธ์ที่รับจะส่งผลให้ตัวคนนั้นถ้าให้ทำอะไรเกี่ยวกับกะแสดีหรือทางกุศลมักจะไม่สนใจเลย เช่น ไปวัด ทำบุญ ทำทาน ไม่สนพระพุทธ ช่วยคน เห็นใจคนอื่น มีน้ำใจ เคารพสิทธิ์คนอื่น เข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ชอบ ไม่เคารพ รักสัตว์ฯลฯ
    ถ้าเราไม่มีนิสัยบ้าพลังไม่ว่ากับคนหรือสัตว์ก็ถือว่าปกติ (ถ้านิสัย ชอบโอ้อวด ขี้คุย ยกตนข่มท่าน อยากให้คนยอมรับว่าตนเองเก่ง ใส่ความ แถ อย่างนี้เรียกยึดขันธ์ ๕ หรือมีอัตตานะคนละแบบกัน)

    - ข้อเสียอีกอย่างคือ จะถูกปิดกั้นการเข้าถึงครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิที่มีสัมพันธ์กับตนเองมาในอดีต
    (คือกะแสไม่เชื่อมระดับสูง) แก้ด้วยการอารธานาศีล ๕ และขอขมากรรมพระรัตนตรัยต่อหน้าพระพุทธรูป
    ช่วยให้กะแสมาปกติได้เอง กะแสตรงนี้อยู่บริเวนหน้าฝาก ข้อนี้น้องอย่าลืมทำนะ

    - ข้อเสียอีกอย่างกรณีขันธ์ไม่ยังไม่คลายนะ คือ เรื่องกามอารมย์มักจะมองไปทางชู้สาว
    บางครั้งถึงขั้นที่ว่า ไม่สนว่าเค้ามีเจ้าของแล้วหรือยัง ต้องนี้ต้องระวัง
    เห็นที่ตรงสเปกแล้วชอบปรุง ชอบจินตนาการ 555 ส่วนนี้ต้องฝึกปรับเรื่องการปรุงแต่ง คือให้มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
    ถ้าจิตปรุงแต่งก็ให้รีบดับซะ เพราะเราไม่สามารถห้ามตาเราให้เห็นได้ และเราจะไม่
    ไปปิดตาด้วยนะ เพราะไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ เรื่องเสียง ก็เช่นกัน เข้าใจตรงกันเนาะ
    ส่วนประเด็นนี้ ถ้ามาฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องจะช่วยเรื่อง
    การระงับได้ การรู้ตัวได้ดีมาก แต่ถ้าจะดับเลย ต้องมีสมาธิสะสมพอสมควร
    และที่สำคัญเลยก็คือ ตัวจิตจะได้สัมผัสคำว่า จิตสงบ หรือเป็นกลางได้
    เพราะว่า คนที่ผ่านการรับขันธ์มา โดยปกติ จิตสงบได้ค่อนข้างยากกว่า
    คนทั่วไป สังเกตุตอนนั่งสมาธิดูได้

    - กรณีถ้ารับขันธ์ผีหรือขันธ์ร่างทรงมา แล้วยังไปข้องเกี่ยวกับสถานที่ๆรับขันธ์
    หรือไปทำกิริยาอะไรตามที่เค้าแนะนำ อนาคตจะป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายเวลาไปตรวจ
    ปกติจะไม่พบอาการ มีแต่บุคคลนั้นที่รู้ตัวว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
    สังเกตุง่ายๆ ข้อนิ้วโป้เท้าและข้อนิ้วโป้
    มือจะบวมหรือใหญ่มากกว่าปกตินั่นหละ ่บางสำนักสายพลังงานจักรยานอะไรนั้น
    ก็มักใช้การให้ฟังเสียง ให้มีความรัก แล้วยกขันธ์
    แล้วพลังงานภายนอกจะเข้ามาแทรกนั้นหละ มักอ้างว่า เราจะมีเสน่ห์
    มีความสามารถพิเศษได้เอง รับรู้พลังงานภายนอกดีขึ้นแบบแปลกๆ
    ถามว่า แทรกอย่างไร ทางวิทย์นะ คือผ่าน เข้ามาทางท้ายทอย ผ่าน ต่อมพิทูอิทารีแกน ผ่านมายังต่อม ไฮโปรทาลามัส(อยากรู้ว่า มันทำหน้าที่อะไร ลองถามอากู๋ดูนะ) ลงไปฐานของจิตบริเวณ กลางลิ้นปี่ นั้นเอง
    -ต่อจากประเด็นเมื่อกี้ ถ้านานๆเข้าแล้วมีการแทรกซึมทั่วกาย จะไม่มีใครช่วยได้นะ
    และยากที่จะแก้ไข เพราะไม่มีใครจะไปสอนไปบอกได้เลย รอวันเปลี่ยนภพภูมิอย่างเดียว
    ที่เล่ามาข้างต้นน่าจะเพียงพอสำหรับคำตอบข้อที่ ๑ แล้วนะ


    มาต่อ จากคำถามข้อที่ ๒.
    - คืนขันธ์ได้ต้องไปขอทำพิธียกเลิกขันธ์ บางครั้งเรียก พิธีตัดขันธ์
    กับบุคคลที่เราไปรับขันธ์มา
    ส่วนมากคนนั้นมักจะเปลี่ยนภพภูมิไปก่อน นี้ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ขันธ์ที่รับมา
    คลายตัวเองเช่นกัน นอกจากเหตุอื่นๆ เช่นการทำบุญต่างๆ การพบพระ
    อาจารย์ ครูบาร์ท่านต่างๆ ที่มีเมตตา มีความสามารถ ยกเว้นถ้าเจอทาง
    ที่หนักไปทางสายปัญญาก็ไม่สามารถช่วยได้นะ ต้องเข้าใจไว้ก่อน ๕๕
    -
    หรือเจอครูบาร์อาจารย์ที่มาทางกรรมฐานที่สร้างกำลังจิต
    หรือ บุคคลประเภทที่พิมพ์โม้อยู่นี้ ก็สามารถตัดขันธ์
    ให้ได้อยู่แบบออนไลน์อยู่ แต่ต้องดูเป็นกรณีๆไป เพราะว่า
    กรณีที่เป็นวิบากเฉพาะระหว่างบุคคลนั้นกับคนที่ไปยกขันธ์
    ต้องรอให้วิบากคลายอย่างน้อยครึ่งปีก่อนถึงจะทำได้
    แต่ถ้าแบบเรา หรือแบบไปเดินผ่านตำหนัก ไปเล่น
    แล้วโดนแทรกมา อย่างนี้ทำได้เลย ไม่ต้องรอเวลาอะไร
    การตัดขันธ์ด้วยวิธีพิเศษนี้ ทำจริงๆไม่ถึงนาทีก็เสร็จแล้ว
    ไม่มีอะไรมากหรอก

    - แต่มีข้อยกเว้น กรณีที่เป็นสืบเชื้อมาจากบรรพบุรุษ เนี่ย
    จะให้ พระเกจิ ครูบาร์ อาจารย์ ผู้ปฏิบัติดี พราหม์
    หรือ แบบแนวๆพี่
    หรือใช้การรดน้ำมนต์แก้ขาด อะไร ไม่ได้เลยนะ
    ใช้คำว่า ห้ามทำเลย ไม่งั้น ร่างกายนั้นจะเปลี่ยนภพภูมิ
    ได้เลย เพราะเค้ามีความสามารถที่จะเอาร่างนั้นให้ตาย
    ได้เลย คงเคยได้ยินข่าวว่า พอรดน้ำมนต์ ทำพิธีไล่
    วิญญานเสร็จแล้ว ร่างกายนั้นเปลี่ยนภพภูมิเลย
    เพราะกรณีสืบเชื้อ เค้าจะยอมแต่คนที่เป็นร่างทรงเท่านั้น
    ถึงจะมาทำพิธีตัดขันธ์ได้ จุดนี้ต้องยอมรับ ถือว่า
    เป็นข้อดีของคนที่เป็นร่างทรงจริงๆนะ (ไม่ใช่แนวสกดจิตตัวเองนะ)
    สกดจิตตัวเองคือ พอทำสมาธิ แล้วเห็นท่านโน้นนี่นั้นแล้วน้อมรับ
    เข้ามาจนคิดว่าเป็นท่านนั้น เหมือนที่เห็นตามสื่ออะไรทั่วไปนะ
    หรือเรียกกิริยานี้ว่า ผีหลอกในสมาธิ นั้นหละ กิรยาพวกนี้จริงๆแก้ไม่ยากนะ
    ถ้าฝึกเจริญสติมาพอสมควร เวลาเห็นนิมิต แล้วมองให้นานขึ้น
    เด่วภาพพวกที่เห็นจะเปลี่ยนเป็นต้นฉบับก่อนที่จะแปลง
    เป็นท่านที่ คนนั้นศรัทธาได้เอง และการเจริญสติ
    ก็จะช่วยให้จิตไม่ยึดนามธรรมได้ด้วย

    - สืบเชื้อดูอย่างไร ก็คนที่ต้องรับหน้าที่สืบต่อ เช่นเป็นผีฟ้า
    ผีเชื้อ ฯลฯ ที่ต้องมาคอยดูดวง รักษาคน แบบที่ไม่ได้ฝึก
    จนเกิดความสามารถขึ้นมาเองนะ ถ้าถามอะไรกว่าจะตอบได้
    จะมีลีลา ต้องถามท่านก่อน อะไรทำนองนี้
    สังเกตุง่ายๆถ้าไม่รับจะป่วยไม่ทราบสาเหตุ
    ไปหาหมอตรวจไม่พบอะไร พวกนี้ มันข้าม Gen ได้
    บางทีเป็นรุ่นทวด แล้วค่อยตกมาที่รุ่นหลานก็มีนะ
    พวกนี้พี่เจอบ่อยนะ อยู่ในเหตุการณ์ เคยคุยด้วยหลาย
    คนเลยหละ อยู่ต่อหน้าพระเกจิด้วยที่ได้เจอนะ


    สุดท้ายนะ
    การทำบุญนะ ทำแล้วจากบุญ มันจะกลายเป็นบารมีนะ
    เมื่อถูกนำไปใช้แล้ว มันจะมีหมดไป
    ซึ่งทั่วไป สำหรับการเริ่มต้น และส่วนมากนะ
    หรือบางกรณี
    นั้นก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้อยู่
    พูดง่ายๆคือ ทำบุญหวังผลนั้นหละ
    ทำเยอะๆถ้ามีมาก ไม่ได้ใช้ มีเพียงพอ
    เวลาจะเปลี่ยนภพภูมิ
    เราก็จะยังต้องไปกินกองบุญกองกุศลอยู่
    คือตายไปแล้วไปจุติเป็นภพภูมิดีๆนั้นหละ
    แต่พอหมดก็จะยังกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่

    การทำบุญนะ ในอีกกรณี คือ
    ถ้าคิดจะให้ก็ให้ไป ให้แล้วก็แล้วไป
    ทำแล้วก็แล้วไป ไม่อะไรๆกับมัน
    ไม่ตาม ไม่สนใจอะไร มันก็จะกลายเป็นบารมีเช่นกัน
    มีข้อแตกต่างตรงที่ว่า เมื่อได้นำไปใช้แล้วมันก็จะหมดไปก่อน
    เช่นกันแต่ว่า มันจะไหลเวียนย้อนกลับมาเรื่อยๆไม่มีหมด
    ตย.ง่ายๆ เช่นเราช่วยคนหนึ่งด้วยการให้เงิน
    ถ้าเรายังให้อยู่เค้าก็ยังคอยช่วยเหลือเรา
    พอวันหนึ่งเราเรียกมาช่วย แต่ไม่ให้เงิน
    เค้าก็จะไม่ค่อยจะสนใจเรา

    แต่อีกคน หนึ่งเราช่วยฝากลูกเค้าเข้าเรียนที่ดีๆ
    โดยไม่คิดตังค์อะไรเค้าเลย หรือเค้าเดือดร้อนจริงๆ
    มาขอยืมตังค์ แล้วเราให้ไปเลยตามสถานะเรา
    แบบว่า เอาไปใช้เลย ไม่ต้องมาใช้คืนอะไรนะ
    ผลลัพท์ จะแตกต่างเหมือนกับการทำบุญหวังผลนะ
    ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพเฉยๆ

    ประเด็นนี้ถ้าเราไม่ใช่กรณี ที่จะต้องไปสงเคราะห์ใคร
    ที่ต้องอาศัยบารมีทางภพภูมิ หรือ มีแบ๊กทางนามธรรม
    คอยหนุนก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย
    แต่ถ้าทำได้ก็ดี


    สรุปคือ ปัจจุบันนี้ เราคงไม่ต้องกังวลอะไรหรอก
    อ่านๆดีๆ ส่วนตัวเข้าใจว่าเขียนไว้ครอบคลุมระดับหนึ่งแล้ว
    เครเนาะ.....

    อีกเรื่องฝากไว้เป็นข้อมูลนะ เชิงนิทานเกี่ยวกับเรื่องศีลนะ
    อาจจะขัดกับความเชื่อที่ฝั่งลึกกับหลายๆคนเลยนะ
    เรื่องที่จะเล่า แต่ถ้าศึกษาดีๆย้อนอดีตจะเข้าใจ

    ในอดีต มีแต่เรื่อง กุศลกรรมบท ๑๐ และมงคลสูตร ๓๘
    (ที่เป็นภาษาบาลี ในหัวข้อที่ ๖ ที่เขียนว่า มัชชะ ปานา
    จะสัญญะโม ถ้าบทสวดบาลีนะ แต่ถ้าแปลแล้วข้อที่ ๒๐
    คือไม่มีเรื่องศีลในพระไตรปิฏกนะ ในพระสุตตันปิฏก เล่ม ๒๔[๒๖] ก็
    พูดย้อนเรื่องในอดีตชาติอีกต่างหาก ซึ่งไม่เกี่ยวนะ)
    หากศึกษาข้อมูลย้อนดีๆ เรื่องศีลพึ่งมามี หลังปรินิพพาน
    ไปประมาณ ๒๐๐ กว่าปีนี่เอง สมัยพระเจ้ามีชื่อท่านหนึ่ง
    โดยเฉพาะข้อ สุรา สมัยก่อนเค้าเรียกน้ำเมา ที่ได้มาจาก
    ผลไม้ชนิดหนึ่ง เหมือนๆไวน์นั้นหละ จากคนกลุ่มหนึ่ง
    ที่ไปพบโดยบังเอิญแล้วนำมาชิม จนรู้ถึงหูเจ้าเมือง
    จนต่อมากลายเป็นเรื่องปกติและ
    ในอดีตมี พระสาวกมีฤิทธิ์ท่านหนึ่ง(ย้ำว่ามีฤิทธิมากด้วยนะ
    สมัยนี้บางท่านเครงศีลแต่ฝึกกรรมฐานอะไรไม่เคยสำเร็จ
    เล่าแต่เรื่องในนิมิต เหมือนว่าตนวิเศษมาก และมักหลงตัวเอง
    เล่าเรื่องตนเองเหมือนมีความสามากมาก แต่ไม่สามารถใช้งาน
    ให้เกิดประโยชน์ได้ หรือพอให้ทำดูมีลีลามาก ออกงานจริงไม่ได้มี
    ให้เห็นทั่วไป ได้อะไรจากประเด็นนี้ไหม ฝากให้ไปคิดนะ)
    ไปปราบภพภูมิมีฤิทธิ์อะไรบางอย่างที่นิสัยไม่ดี
    ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วชาวบ้านศรัทธา สมัยนั้นถ้าศรัทธาใคร
    มักจะให้นำเมา(ที่มาจากผลไม้) ท่านนั้นก็ไม่ขัดศรัทธา
    แต่พอหลายๆบ้านรวมกัน ท่านเลยขาดสตินอนอยู่ถนน
    ร้อนถึง ท่านผู้เป็นเลิศผ่านมา ท่านเลยกล่าวเตือนว่า
    ่การทานน้ำเมาแบบขาดสติ เลยปรับเป็นปาจิตตีย์
    คือ ไม่เหมาะสม เป็นความผิดเล็กน้อยประมาณนั้นเองนะ
    แต่ปัจจุบัน ถ้าห่มเหลืองฉันท์เนี่ย คือ จับสึกเลย
    นี่เป็นประเด็นหนึ่งนะ

    คือ ต้องเข้าใจนะ พอหลังปรินิพพานแล้วนะ
    หลังจากสังคยานาครั้งแรก ยังไม่มีอะไร
    เพราะทำเลยหลังปรินิพพานไม่นาน
    แต่พอผ่านมาอีก เกือบร้อยปีได้มั่ง
    เริ่มแตกเป็นสองสายหลัก คือ
    สายที่ยึดพระธรรมวินัย คำสอนดังเดิม
    กับสายที่เริ่มมาตามคำสอน ครูบาร์อาจารย์ตนเอง
    ก็น่าคิดนะ เพราะครูบาร์อาจารย์บางท่านเนี่ย
    เข้านิโรธสมาบัติไม่รู้นานเท่าไหร่ และออกมา
    แล้วเห็นว่า ดั้งเดิมยังต้องมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง
    ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเวลา
    ่และตามประสบการณ์ทางจิต ณ ช่วงเวลานั้นๆ

    เราถึงพบว่า ทำไมบางประเทศ นักบวชถึงมีครอบครัว
    หรือตลอดจนใช้ชีวิตแบบทั่วไปได้ ง่ายๆดู ทิเบตหรือ
    ยี่ปุ่นเป็นตัวอย่างได้ เพราะบางที่เน้นที่ภายในเป็นหลัก
    บางที่เน้นที่ภายในภายนอก บางที่เห็นว่า เหตุบางอย่าง
    เช่นเรื่อง น้ำเมา หากมีสติอยู่ตอนบริโภค ก็ยังถือว่า
    บุคคลนั้นจะสามารถที่จะยังบรรลุได้อยู่
    ่ที่เล่าให้ฟังเพื่อให้เราลองเปิดใจกว้างๆ
    อย่าพึ่งตัดสินอะไรจากภายนอก ซึ่งเราเองก็มักจะ
    เจออะไรที่ย้อนแย้งเสมอในสังคม เกี่ยวกับพฤิตกรรม
    ของห่่มเหลือง หรือ ฆารวาส
    เห็นไหม ตามที่ปฏิบัติ ตามวัดที่คนเยอะๆ
    เราก็จะพบว่า นิสัยบุคคลไม่ได้ดีขึ้นกว่าคนปกติ
    ทั่วไปนอกวัดเลย ซ้ำร้ายยังรู้สึกว่า ดีไม่เหมือนคน
    นอกวัด สายฮา สายดื่ม ด้วยซ้ำ เจอการสร้างภาพให้ดูดี
    สุดท้ายเป็นไง เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับห่มเหลืองมาแล้ว
    หลายท่าน ที่ดูดี พูดเพราะ สุดท้ายเป็นไง
    ถ้าเราตัดสินแต่ภายนอกเราก็จะไม่ทัน ท่านเหล่านี้
    เป็นไง ดารา ตลก นักแสดง โดนคนละกี่แสน กี่บาท ๕๕๕
    ส่วนฆารวาส สายปฏิบัติเป็นไง สร้างภาพดูเป็นนักปฏิบัติ
    มีศีลธรรม สุดท้าย มีเรื่องมีราว เกี่ยวกับทางโลกๆ
    นิสัย คุณภาพทางจิต
    ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ไม่ว่าปฏิบัติมากี่ปีแล้ว แถมยัง
    ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เลือกข้าง ตัดสิน ชี้ชัด
    ยกตน หลงตัว แบ่งชนชั้น ดูถูก ดูแคลน ฯลฯ

    สุดท้ายจริงๆ เพื่อความปลอดภัย
    ไม่ว่า ไปที่ไหน่ เจอใครจะสายไหน
    ปฏิบัติอย่างไร ให้เราวางใจเป็นกลาง
    อย่าไปตัดสิน ชี้ผิดชี้ถูก เลือกข้างตัดสินใคร
    ไปกล่าวว่า ใครไม่ฉลาด ใครฉลาด ใครดี ใครไม่ดี
    และควรจะอยู่ร่วมกับทุกสายการปฏิบัติ
    ได้อย่างแยบยล


    เพราะถ้าหากใจเราดี แม้ภายนอกไม่ดี
    ใจเราก็ยังดีเหมือนเดิม
    ในทำนองเดียวกัน หากใจเราไม่ดี
    แม้ภายนอกดี ใจเราก็ยังไม่ดี
    ดังนั้น ให้เริ่มต้น ด้วยใจที่เป็นกลาง
    ไม่ตัดสิน เลือกข้าง ชี้ขาด ด่วนสรุปอะไร
    ให้ความเคารพนับถือเหมือนกันหมด
    ไม่ว่า ลัทธิ ศาสนาอะไก็ตาม แต่อย่าไปยึดถือ
    เพราะถ้ายึดถือ เราจะแยกแยะที่กุศล และอกุศลไม่ออก
    เข้าใจตรงกันเนาะ ราตรีสวัสดิ์ชาวโลก
    ไว้เจอกันเมื่อชาติต้องการ ๕๕๕
     

แชร์หน้านี้

Loading...