จับพลังสามารถบอกอะไรได้บ้างแล้วจะเอาสิ่งไหนเป็นตัวกำหนดว่ามีพลังในทางด้านใดเพราะว่าอารมณืและจิตของแต่ละคนนั้นต่างกันมากเช่นบางคนจับแล้วบอกว่าพระนี้เด่นทางเมตตาแต่บางคนจับแล้วบอกว่าเด่นทางแคล้วคลาดไม่ทราบว่าจะเอาหลักเกณ?ใดเป็นตัวตัดสินว่าพลังพระนั้นเป็นไปในทางใด
ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของกระทูเป็นอย่างสูง โอกาสนี้ผมได้อ่านและพยายามทำความเข้าใจในเรื่อองการทำสมาธิเพื่อฝึกจับกระแสพลังพุทธคุณ ในเบื้องต้นไม่ได้หวังมากถึงเพียงนั้น แต่ก็ขอนำไปฝึกฝนดูอย่างน้อยๆก้คงได้สมาธิเกิดขึ้นเป็นแน่ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ก้นกุฏิด้วยคนนะครับท่าน จะพยายามนำไปฝึกฝนตามขั้นตอนที่ท่านได้กรุณาบอกเอาไว้ ขอคุณพระคุณเจ้าจงปกปักษ์รักษาท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
อ่านแล้วน่าสนใจมากครับ เนื่องจากผมเคยศึกษาวิชาชี่กงระดับพื้นฐาน ทำให้สามารถสัมผัส สนามแม่เหล็กอ่อนๆ ของร่างกายคนทั่วไปได้ ด้วยการเคลื่อนมือผ่านเหนือผิวหนัง ...แม้จะไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ก็น่าจะมีเหตุผลใกล้เคียงกัน เท่าที่เคยฟังผู้ที่ฝึกชี่กงในระดับสูง (จะต้องมีสมาธิที่ลึกขึ้นด้วย) ก็จะสามารถสัมผัสพลังสนามแม่เหล็กของสิ่งแวดล้อมได้ ที่น่าสนใจ คือ สนามแม่เหล็กที่ มีบางคนรับรู้ได้ สามารถระบุถึงข้อมูลต่างๆ ดังนี้ -อารมณ์ของผู้คนที่อยู่ในสถานที่ เช่น ห้องที่มีคนทะเลาะกัน จะมีพลังงานด้านลบทิ้งไว้ ให้รับรู้ได้ในภายหลัง -พลังงานดี-ร้าย ในวิชาฮวงจุ้ย (ตามหลักการคำนวณ) -ใช้รับรู้ความรู้สึกเจ็บป่วยได้ ...ในการส่งพลังชี่ เพื่อบำบัดโรค ผู้ส่งพลังชี่อาจรู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้รับการบำบัดได้ เช่น รู้ว่า เจ็บหลังช่วงไหน เป็นต้น เมื่อฝึกการรับรู้ที่มือบ่อยๆ ก็ทำให้สัมผัสสนามแม่เหล็กจาก คริสตัล พระเครื่องได้ (ส่วนตัว ผมเพียงรู้สึกถึงสนามแม่เหล็ก หน่วงๆ และบอกได้ว่า พลังแรงหรือไม่เท่านั้น ...ไม่สามารถบอกได้ว่า เป็นพลังแนวไหน) หมายเหตุ คำว่า สนามแม่เหล็กที่อ้างถึง รวมความถึงสนามพลังงานอื่นๆ ที่รับรู้ได้ แต่นิยามได้ยากด้วยหลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
ตั้งจิตให้สงบ รวบรวมสมาธิ กำพระไว้ในมือ ภัทรใช้คำภาวนา นะโมพุทธายะ ตลอดเวลาทดสอบพลังพระ ถ้าพระแท้มีพุทธคุณจริง จะรู้สึกได้เลยว่า มีพลังวิ่งขึ้นที่แขน แขนจะสั่นใจก็สั่นด้วย ขนลุกตั้งเลยค่ะ เป็นอย่างงี้หลายครั้ง เคยทดสอบให้กับหลายๆคน อาการก็จะแบบเดียวกัน แม้กระทั่งพ่องั่งที่ภัทรมี ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความมีพลังอยู่จริงค่ะ
ตอบคุณ mandark กระแสที่เป็นลักษณะคล้ายไฟฟ้าสถิตย์น่ะ มันยังจะต้องแยกออกไปอีกครับว่าเป็นกระแสแบบไหน ต้องใช้จิตที่ละเอียดกว่านี้อีกนิดนึง ส่วนการที่จับกระแสพลังพระแล้วมือชานั้น เป็นเพราะว่าคุณดึงพลังพระเข้าตัวเพื่อเป็นการตรวจสอบ แล้วทีนี้พลังในตัวคุณยังไม่มากพอเลยเกิดอาการแบบนี้ขึ้นครับ ส่วนการใช้จิตสัมผัสโดยไม่ใช้คาถาในการจับกระแสพุทธคุณนั้นก็ได้ตามแต่สะดวก ผมเขียนบอกไปแล้วว่าแรกๆอาจจะต้องใช้คาถาเป็นตัวรวมกำลังจิตก่อน แต่พอนานๆเข้าแค่ทำจิตนิ่งแล้วส่งจิตไปสัมผัสที่วัตถุก็จะมีพลังตอบกลับมาเองแหละครับ
ตอบคุณ marutnacpaladfg ก็เล่นส่งปราณเข้าสู่วัตถุไปทั้งอย่างนั้นมันจะไม่หมดแรงได้ยังไงล่ะครับ ที่คุณทำน่ะมันเป็นลักษณะการเสกของเสกพระเครื่อง คนที่เสกของเป็นพอเสกเสร็จแล้วจะเหนื่อยหมดแรงเพราะว่าเสียปราณน่ะครับ พวกเสกไม่เป็นก็จะไม่รู้สึกว่าสูญเสียพลังอะไรเลย กรณีของคุณเป็นเพราะว่าพลังปราณในตัวยังน้อยพอแค่จับเฉยๆเลยหมดแรงครับ การจับพลังพระนั้นใช้แค่จิตสัมผัสก็พอครับ คือ เดินลมหายใจเข้า พุท เอาจิตไปสัมผัสวัตถุประมาณว่าแค่คิดถึงวัตถุนั้นๆก็พอ แล้วทำจิตว่าง ทีนี้พลังที่ครูบาอาจารย์เสกไว้ในวัตถุนั้นๆก็จะไหลตอบกลับเข้ามาให้เราสัมผัสได้เองแหละครับ
ตอบคุณ เด็กไร้เดียงสา ที่คุณถามมาผมเขียนตอบไปแล้วที่หัวข้อกระทู้บวกกับข้อความที่คนอื่นๆถามมาก่อนหน้านั้น เกณฑ์พลังเหมือนกันหมดครับ คงกระพันกระแสจะหนักแน่น เพราะจิตตอนเสกคงกระพันจะเข้มแข็งห้าวหาญมีกำลัง เมตตาจะอ่อนนุ่มนวล เบาเย็นจับใจจนถึงลึกสุดใจ เพราะอารมณ์จิตตอนเสกนั้น อ่อนนุ่ม เบาสบาย เย็นใจ กระแสพลังอะไรแบบไหนใช้อารมณ์จิตตัวไหนเสก เวลาสัมผัสก็จะเป็นกระแสพลังแบบนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นแบบอื่นๆได้โดยเด็ดขาด พวกที่จับแล้วแยกกระแสไม่ได้แล้วตอบไปคนละทิศละทางประเภทนั้นมั่วครับ วิธีการฝึกแยกกระแสให้มีความถูกต้องชัดเจนก็อ่านได้จากบทความที่ผมเคยตอบไว้ ซึ่งเป็นข้อความแรกที่ตอบในกระทู้นี้ครับ ตรวจพลังงานอย่าท่องคาถา โดยหลวงพ่อเดิม
วิธีฝึกจับพลังในพระเครื่อง แบบไม่ให้หลอกตัวเอง มันก็จริงครับการที่อัดพลังเข้าไปในวัตถุแล้วมีพลังตอบกลับมา ดังนั้นต้องหัดแยกพลังภายในตัวกับพลังภายนอกให้ได้(จากวัตถุ) สังเกตุมั้ยครับทำไมบางทีเราตรวจพลังในของที่คิดว่ามีการเสกแต่จริงๆแล้วเป็นของปลอมที่ไม่มีการเสกหรืออาจจะเป็นก้อนหินธรรมดาที่คนอื่นเอามาใส่กล่องพระห่อกระดาษทึบให้เราจับแล้วปรากฎว่ามีพลังตอบ นั่นเพราะจิตคิดว่าสิ่งนี้เป็นวัตถุมงคลมีการปลุกเสกและพลังที่ตรวจสอบได้ ก็เป็นพลังงานของตัวเองล้วนๆ ผมเจอมาเยอะที่ตรวจของโดยที่ไม่เห็นของ มีการห่อกระดาษทึบใส่ถุง บางทีก็ใส่กล่องเหล็กโดยที่เราไม่สามารถเปิดได้ เนื่องจากเสียฟอร์ม(มันต้องมีฟอร์มกันบ้างสิ) และของที่เจอประเภทนี้จะมีทั้งของจริงของปลอม ก้อนหิน หนังยางฯ เจอมานับร้อยชิ้น โดนทดสอบแล้วทดสอบอีก จนคนที่มาทดสอบ(ก็มีหลายสิบคนเหมือนกัน) ทั้งที่เป็นเซียนพระ ผู้จัดการธนาคาร คนที่ต่อต้านไม่เชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังเลย ต่างกลับใจและให้ความเชื่อถือ เนื่องจากเราสามารถบอกได้ว่าวัตถุนี้มีพลังหรือไม่ แรงและเบาขนาดไหน มีพลังอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคงกระพัน ชาตรี มหาอุด แคล้วคลาด มหาอำนาจ หนุนดวง ขับไล่วิญญาณ เมตตา เมตตาชั้นสูง มหาเสน่ห์ และโชคลาภ ทั้งยังต้องบอกได้อีกว่าพลังประเภทไหนแรง ประเภทไหนเบากว่ากัน และสามารถบอกได้ลึกไปกว่านั้นอีกว่าวัตถุนั้นๆมีวิญญาณหรือไม่ คือวัตถุบางประเภทมีการเสกบังคับวิญญาณไว้ภายในวัตถุ อย่าง ขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่, ขุนแผน7ท่า ของสำนักเพชรแสงแก้ว เป็นต้น ทั้งยังสามารถแยกรายละเอียดของกระแสบางประเภทไปได้อีก เช่น เมตตา เมตตาชั้นสูงระดับต้น เมตตาชั้นสูงระดับสูง เสน่ห์ธรรมดาที่ใครเห็นก็รู้สึกชอบ เสน่ห์ตัวที่2ที่ทำให้คนรักและคิดถึง ฝันถึง จนอยู่ไม่ได้ต้องร้องไห้มาหา และเสน่ห์ตัวสุดท้ายตัวที่3ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีอารมณ์ทางเพศกับเราในระดับกระตุ้นอารมณ์อ่อนๆไปจนถึงแรงมาก หรือการที่ใช้พลังดูเข้าไปในตัวคนเป็นๆ ดูว่าคนๆนั้นมีพลังอะไรในตัวบ้าง มีอยู่ครั้งนึงเซียนพระคนนึงเดินมาหาผมและบอกว่าช่วยดูให้หน่อยว่าในตัวเค้ามีอะไรบ้าง ซึ่งผมก็ดูให้และก็สามารถบอกได้ว่าในตัวเค้ามีอะไรบ้าง คือมีกระแสคงกระพันอยู่มาก(หนุมานหลวงพ่อแลวัดพระทรง, เสือหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ) มีกระแสเสน่ห์มาก(ฝังตะกรุดมอญมหาเสน่ห์ตรงบริเวณสะดือ, พระเพชญาธรแขนข้างขวา, บัวบังใบแขนข้างซ้ายทั้งหมดนี้ของอาจารย์ประคอง) เป็นต้นซึ่งทั้งหมดนี้เค้าสักน้ำมันผมไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นการใช้คาถาในการตรวจพลังสามารถใช้ได้ แต่ต้องแยกพลังภายในกับภายนอกได้ วิธีการก็ต้องให้คนอื่นช่วย โดยการที่เราต้องเตรียมถ้ายกระเบื้องหรือถ้วยพลาสติก 3 ใบ พระเครื่องของจริง 1 องค์ เรานั่งหันหลังแล้วให้เพื่อนเอาพระเครื่องใส่ไว้ในถ้วยใดถ้วยหนึ่งในจำนวน 3 ถ้วยนั้นและทำการคว่ำถ้วยทั้ง 3 ใบ โดยที่เราไม่รู้ว่าถ้วยไหน จากนั้นเราต้องตรวจหาว่าพระหรือวัตถุมงคลนั้นอยู่ในถ้วยใบไหน จากนั้นก็ทำการสลับไปเรื่อยๆและเราก็ต้องตรวจหาให้ได้ว่าพระอยู่ที่ถ้วยไหน บางครั้งเพื่อนก็แกล้งโดยการเอาพระไปซ่อนไม่ใส่ไปในใต้ถ้วยซะอย่างงั้น ซึ่งเราก็หาไม่เจอ ที่หาไม่เจอก็เพราะว่ามันไม่มี ทำแบบนี้จนชำนาญแล้วรับรองว่าไม่มีทางตกม้าตายเพราะตรวจพลังผิดพลาดแน่นอน การที่หลวงพ่อเดิมท่านสอนไม่ให้ใช้ตัวคาถานั้นเพราะท่านต้องการให้ใช้จิตสัมผัสเพียงเท่านั้น เพียงแต่ว่าพวกที่เพิ่งฝึกได้ตอนแรกๆจะไม่ชินต้องใช้คาถาเป็นตัวรวมจิตและขับพลังในตัวให้สามารถสัมผัสพลังในพระเครื่องได้ ซึ่งต่อไปแล้วก็ใช้แค่พุทโธ หรือแค่ทำจิตให้นิ่งส่งจิตไปสัมผัสในวัตถุแล้วมันจะมีพลังตอบมาเอง <!-- / message --><!-- edit note -->
หึ หึ หึ เป็นไงล่ะก็อบปี้ของตัวเองมาตอบซะเลย ขี้เกียจพิมพ์ ชอบถามซ้ำๆกันดีนัก ทำไมไม่อ่านให้หมด ให้ดีๆก่อนค่อยถามน๊า
ขออนุโมทนากุศลทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่อดีตปัจจุบันอนาคตครับ เป็นประโยชน์มากครับ กำลังอยากรู้พอดีเลย <!-- / message --><!-- sig -->คุณก้อง 1 นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุทัง สุนะพุทธัง อะสุนะอะ ( ผมไม่แน่ใจน่าจะเป็น มะหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ นะครับ)
ขอเรียนถามด้วยความเคารพนะครับ ถามว่าถ้าหากเราอาราธนาพระขึ้นคอแล้วสามารถสัมผัสพลังได้ทั้งวันละครับ....คือผมแขวนพระมหากัจจายนะของสมเด็จวังหน้านะครับ.....ตั้งแต่อารธนาขึ้นคอมาจะมีกระแสเย็นเป็นอย่างมากวิ่งผ่านที่กระดูกสันหลังและแขนทั้งสองข้างตลอด......ไม่รู้จะถามใครจริงๆครับ...อึดอัดมานานแล้วขอความกรุราท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยอธิบายให้ด้วยครับ ขอพระคุณด้วยความเคารพครับ.....
แก้ไขไม่ยากครับ ก็คือไม่ต้องเดินอารมณส์สมาธิในขณะห้อยพระและก็ไม่ต้องไปสนใจด้วยแค่นั้นแหละครับ แต่โดยปกติพระจะไม่ส่งกระแสออกมาตลอดเวลา
จากที่ ผมได้ทำตามคำแนะนำนะครับ ผมทดลอง กับ 1. พระกริ่งของหลวงพ่อ... ผล คือ ในเวลาไม่เกิน 3 นาที จะรู้สึกอึดอักเป็นอย่างมาก และรู้สึกเวียนหัวเหมือนห้องกกำลังหมุนอยู่และมีอาการมัวท้องคลื่นไส้ ถึงกับหายหลัง 2. ตะกรุดผลคือ รู้สึก เบาสบาย สงบ โล่ง ว่างเปล่า หลังจากนั้น มือผม ชา ขอคำแนะนำด้วยครับ
คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ หลายๆท่านคงเคยได้ยินถึงอานุภาพของพระคาถานี้บ้างแล้ว ผมจะขอกล่าวถึงประสบการณ์การใช้พระคาถานี้ของผม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง โดยปกติแล้วผมจะนั่งทำสมาธิทุกคืนหลังจากสวดมนต์เสร็จ การนั่งสมาธิของผมนั้นก็จะใช้ อานาปานุสติ กับ พุทธานุสติ ควบคู่กัน พุทธานุสตินั้นผมใช้คำภาวนา พุทโธ แต่มาช่วงอาทิตย์ก่อนหน้านี้ มีเรื่องที่ต้องให้กังวลและทุกข์ใจอย่างมาก(เหมือนวิบากกำลังเข้ามา) การทำสมาธิก็ไม่สามารถคุมจิตได้เพราะใจมันเป็นทุกข์อยู่มาก ทุกข์อย่างเดียวไม่ว่า แถมเกิดความแค้นขึ้นมาอีก ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำจิตให้สงบได้ในขณะนั่งสมาธิ จนกระทั่งเมื่อวานนี้ได้เปิดเจอพระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า และเกิดมีความรู้สึกขึ้นมาในจิตว่า ลองใช้คำภาวนาพระคาถานี้ในขณะที่ทำสมาธิดูซิ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นและช่วยขจัดความฟุ้งซ่านให้ออกจากจิตได้ง่ายกว่า ดังนั้นในตอนกลางคืนก็เลยลองภาวนาคาถานี้ดูปรากฎว่าได้ผลเกินคาดจิตรวมตัวเร็วมากความคิคฟุ้งซ่านไม่เกิดแถมความแค้นที่มีอยู่ก็มลายหายไปสิ้น มีแต่จิตใจที่ชุ่มชื้นมาก (ซึ่งปกติแล้วจะมีอาการแบบนี้ไม่ค่อยบ่อยนัก และไม่ชัดเจนแบบนี้) ไม่เพียงแค่นั้น เกิดแสงสว่างไสวมากขึ้นด้วยและสภาวะจิตก็ดิงลงลึกมาก ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย และทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงแค่ไม่น่าจะเลย 10 นาที ขอบอกตรงๆว่ารู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขจริงๆ ก็อยากให้ลองๆทำกันดูนะ ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง จะได้เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
ถ้าจิตนิ่งก็สามารถที่จะสัมผัสพลังที่มีในวัตถุมงคลหรือวัตถุที่ผู้ประสงค์จะบรรจุพลังได้ ในกรณีที่บริกรรมคาถาก่อนจับพลังมีส่วนสัมผัสได้เร็วขี้นค่ะ อนุโมทนา