น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ปองจัง

    ปองจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +369
    ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ

    อ่านบทความของท่านแล้ว คาดว่าท่านคงปฏิบัติกรรมฐานมาน้อยแน่ๆจริงมั๊ยครับ



    ดังนั้น ทำไมท่านไม่ศึกษาพระไตรปิฏกให้หมดทุกตัวอักษรก่อน ล่ะครับ

    แล้วค่อยมาสรุปเป็นตำราละครับ อันนี้จะมีความถูกต้องมากกว่านะครับ



    แต่นี่ท่านกลับเขียนตำราโดยอ้างอิง คำสอนของนักบวชท่านหนึ่ง

    ที่ผลการปฏิบัติก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร แล้วมานั่งเขียนตำรามั่วๆขาย

    แต่บังเอิญที่หนังสือเกิดขายดี (โอ้...หายนะของพุทธศาสนา )

    ทั้งๆที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นมิจฉาทิษฐิ บิดเบือนคำสอนในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น

    เด็ก ม1-ม6 อ่านแล้วคงจะเกิดความสับสนอย่างแน่นอนครับ

    เป็นอันตรายกับพุทธบริษัทในอนาคต ( มิจฉาทิษฐิขนาดหนัก )




    คนแทบทั้งเวบเค้าคัดค้านผลงานของท่านกันขนาดนี้แล้ว

    ท่านก็ไม่ควรจะนำไปเผยแพร่ต่อไปนะ มีจรรยาบรรณหน่อย

    อีกอย่างท่านไม่ควรจะยกผลความดี-ชั่ว ที่ได้จากการเขียนตำราให้พุทธทาส

    เพราะทุกวันนี้ท่านพุทธทาสก็หนาวเหน็บจะแย่แล้ว อย่าไปเพิ่มโทษให้ท่านเลย สงสาร

    (nogood)
     
  2. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    สงสัยพระท่านนี้จะไม่สนคนที่ดูถูกท่านกระมัง

    คนที่ดูถูกคนอื่นเป็นพุทธหรือเปล่า
    เมื่อเป็นพุทธก็ต้องมีใจเป็นกลาง วางอุเบกขาหรือเปล่า
    แต่ผมขอกล่าวว่าผมไม่มีอุเบกขา แต่ผมมีเมตตา(และโมหะ,โทสะ)
    คนทุกคนไม่ใช่พระ พระมีหน้าทีสอนคนที่ไม่เข้าใจในธรรมให้เข้าใจ

    เพราะธรรมนั้นอาจเสื่อมเพราะกรรม
    ก็จักให้รู้ว่าที่ท่านเปลี่ยนก็เพราะกรรมนำพาความคิดท่าน

    พระอานนท์มองการณ์ไกล...
    พระก็ควรมองการณ์ไกลเช่นเดียวกัน
    เพราะเมื่อไม่มีพระอานนท์ก็จักไม่มีพระไตรปิฎก
    ผู้รู้แสดงถึงพระธรรม

    บางทีพระธรรมอาจจะไม่ซึมถึงจิตใจคน แต่คนที่เป็นมนุษย์ก็รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วเป็นนิตย์เพราะเป็นเป็นธรรมชาติซึ่งกฏแห่งกรรม
    กรรมมาถึงทำให้พุทธศาสนาเสื่อมอันเกิดมาจากคนเสื่อม
    ดุลย์ไว้ซึ่งคนดีแห่งพุทธศาสนา
    เป็นเมตตา ไม่ใช่การวางอุเบกขา
     
  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่โพสข้อความมาในกระทู้นี้
    มีบางเรื่องที่อาตมาใคร่อยากจะทำความเข้าใจอีกสักเรื่อง คือเรื่อง
     
  4. nrcl

    nrcl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +4,318
    ตอบหลวงพี่ เตชปญฺโญ ภิกขุ

    กราบนมัสการหลวงพี่ เตชปญฺโญ ภิกขุ

    "ดังนั้นหลักอนัตตาจึงเป็นหลักสำคัญที่สุดที่เราทุกคนที่ปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธควรที่จะศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง ถ้าใครยังไม่เข้าใจหลักอนัตตาได้อย่างถูกต้อง ก็ไม่อาจพูดได้ว่าพบพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริง จะเป็นได้ก็เพียงการพบในความฝัน หรือเกิดจากมโนภาพจากสมาธิที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาด้วยอุปาทานหลอกเอาเท่านั้น."

    "อีกอย่างพระพุทธเจ้าทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ซึ่งวิทยาศาสตร์ก็คือความรู้ที่เกิดมาจากการสังเกตปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง และก็ทรงนำเอาหลักการนี้มาสั่งสอน ดังนั้นผู้ที่จะศึกษาก็ควรมีคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์บ้าง."

    อย่าเอาพระพุทธศาสนาไปเทียบกับวิทยาศาสตร์เลยครับ
    - ไม่กี่ร้อยปีก่อนยังไม่มีคำว่าวิทยาศาสตร์เลยครับ ไม่มีไฟฟ้า ไม่รู้จักเชื้อโรค ลองศึกษาดูประวัติของวิทยาศาสตร์ การค้นพบแต่ละอย่าง จะรู้ว่ามนุษย์เราโง่แค่ไหน (ทุลักทุเลที่สุด) หลวงพี่คิดว่ามีอะไรที่วิทยาศาสตร์ยังไม่รู้อีกบ้างครับ ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตคนผมว่าคงเป็นแค่เด็กอนุบาล มีอะไรอีกมากที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ และพิสูจน์ไม่ได้ และยังต้องค้นหาต่อไป
    - ต่างกับพระพุทธศาสนาดำรงอยู่มาแล้วกว่า 2500 ปี เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง (และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง)

    - การศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งศึกษาจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง ดีขึ้น ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ (ทำให้เรายิ่งยึดอัตตาแน่นขึ้นเรื่อยๆ)
    - ต่างกับการศึกษาพระพุทธศาสนา ยิ่งศึกษา และปฏิบัตมากเท่าไหร่เราจะยิ่งรู้สึกว่าเรายิ่งโง่มากขึ้น เลวมากขึ้นเท่านั้น (เพื่อให้เราปล่อยอัตตา)

    เหมาะสมแล้วหรือครับ ที่จะเอาพระธรรมที่เป็นสัจธรรมที่ประเสริฐ ไปใส่ในกรอบของศาสตร์ที่พึ่งเริ่มพัฒนาที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์"

    ศึกษาพระธรรมโดยใช้กรอบของศาสตร์ที่ยึดถืออัตตา จะเข้าใจคำว่าอนัตตาที่แท้จริงได้ยังไงครับ??????

    ผมเห็นว่า การศึกษาพุทธศาสนา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทั้งการศึกษา และการปฏิบัติควบคู่กัน ถ้าศึกษาแต่ตัวหนังสือก็เหมือนกับการคาดเดา ตีความไปต่างๆนานา ไม่ทำก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร ต่อให้ใช้ภาษาศาสตร์ขั้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีทางอธิบายได้ ให้สอนให้คอแตกตายก็ไม่มีทางเข้าใจ ถ้าไม่ปฏิบัติ

    ขอโมทนาเฉพาะความดีของหลวงพี่ (ในการที่ท่านเปิดใจและเข้าใจยอมรับเหตุผล และในความอดทนความใจเย็นของหลวงพี่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤศจิกายน 2006
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    คนที่บิดเบือนพระธรรมขององค์พระพิชิตมารจะไปยากอาไรก็ได้ตั๋วรถด่วนไปอเวจีแลนด์ฟรีไง...ว่าไงละใครอยากได้บ้าง หึๆ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤศจิกายน 2006
  6. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มิถุนายน 2007
  7. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ข้อมูลจากคุณปานโสม

    ".........ถอยกัน คนละก้าว ดีไหม คะ....สิ่งที่หลวงพี่พูด อาจไม่ถูกไปทั้งหมดแต่ก็ใช่ว่าจะผิดไปหมด

    สิ่งที่เราพูด ก็มองเห็นกันคนละมุม ....พระไตร 84000 ธรรมขันท์ ก็ยังไม่สามารถศึกษา กันได้แตกฉาน...

    ที่เราพอทำได้ คือ รับเอาแต่ส่วนดี ดี ส่วนที่เสียก็น่าจะหาข้อแก้ไขปรับปรุง
    หลักตำราเรียน นั้น ก็เอียงไปข้างเดียว หาความเป็นกลางไม่ได้ ส่วนที่ดี ก็หาแนวทางไปต่อไม่ได้ กลายเป็นว่า พระอริยะ ที่ท่านได้อภิญญาจริงๆ ก็นั่งนิ่งๆอมยิ้มแกล้งเป็นใบ้ ..
    ตำราเรียนหากใส่เรื่องของนรกสรรค์ไป ก็อาจจะหนักไปนิด เป็นเรื่องของประเทศชาติ ชนชาติอื่นๆ เขาก็มองมาว่าเรางมงาย เพราะ เป้นการบันทึกเป็นตำราและจะตกทอดไปอีกนาน....แต่ การปฏิเสธไปเลยอย่างที่เป็นอยู่ ก็ดูเหมือนจะยังไม่ถูกต้องนัก. มันก็หนักเกินไปสำหรับ พวกเราผู้ที่เชื่อในจิตดวงเดียว ดวงเดิม ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด...
    ความพอดี มันหาไม่เจอ
    จุดประสงค์ของการเรียนรู้ศึกษา คือ ให้รู้จริง ไม่ว่า จะเป็นศาสตร์ แขนงไหนก็ตาม แต่ไม่ควรที่ จะ บิดเบืยนความจริงหรือ ยัดเยียด ความไม่ถูกต้อง

    ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา ที่ถือว่า กลางที่สุดแล้ว...แต่ ตำราเรียนนี้ หา กลางไม่เจอ."

    ผมสนับลนุนความเห็นของคุณปานโสมด้วยเหตุผลตามข้อความข้างล่างนี้

    ผมอ่านมาถึงตอนนี้ รู้สึกว่าความคิดเห็นกำลังจะเริ่มแปลกแยกกันอย่างชัดเจนว่า ทีมหนึ่งไม่เชื่อเรื่องในเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ ไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญานเป็นปัจจะตัง(มีเหตุที่มาของการมาเกิดของมนุษย์) และมองพุทธศาสน์เป็นวัตถุนิยมเพื่อให้เข้ากับกระแสความเจริญเติบโตทางวัตถุในโลกปัจจุบันด้วยกลัวว่าจะตกยุคแล้วพุทธศาสนาจะถูกลบเลือนหายไปจากโลกนี้ ส่วนอีกหนึ่งทีมก็จะเห็นในส่วนที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกัน แต่โดยเนื้อหาแล้วผมก็ว่าทั้งสองทีมน่าจะมีจุดมุงหมายที่คล้ายกันคืออยากเห็นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อในยุควัตถุนิยมสุดขั้วนี้ให้ได้ แต่ถ้าเราไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือตีความในพระไตรปิฎกจนผิดเพี้ยนไปจากเดิมเพื่อเอาใจพวกวัตถุนิยมอันนี้ก็น่าห่วงครับ เพราะถ้าระบบสังคมวัตถุนิยมมันล่มสลายลงพระพุทธศาสนาเราก็จะล่มสลายตาม เพราะจุดออ่นของระบบสังคมวัตถุนิยมมีจุดอ่อนมากๆ เพราะ ไม่ได้สนับสนุนการสร้างสังคมของคนดีมีคุณธรรมเลยมุ่งเน้นแต่เรื่องทุนเรื่องการใช้เงินเป็นอำนาจในการควบคุมทุกสิ่งแม้แต่การควบคุมมนุษย์ให้มีพฤติกรรมเอาแต่ได้ทำอย่างไรให้เงินมาเพื่อใช้ซื้อทุกสิ่งเพื่อสนองตัณหาตัวเอง ดังนั้นก่อนที่จะเอาหลักคำสอนใดออกไปให้เยาวชนโปรดพิจารณาให้รอบคอบก่อนสิ่งใดหากเหลือวิสัยที่จะตีความก็ขอให้เว้นการนำเสนอและปล่อยใหเป็นไปตามภาษานั้นๆในพระไตรปิฎกไปก่อนเอาแค่ในส่วนที่บอกได้คืออย่าไปเอาอกเอาใจพวกวัตถุนิยม(ประเทศใหญ่ๆทั้งหลาย)เลยจะจะกลายเป็นว่าเราต้องเดินตามก้นพวกนี้อีกแล้วหรือไม่จบไม่สิ้นเสียที แล้วเราได้ผลรับอะไรกันมาบ้างคงทราบๆกันดีอยู่แล้วนะครับ ผมไม่เคยกลัวเลยว่าพวกวัตถุนิยมจะมองผมอย่างไรถึงแม้ผมเองเชื่ออย่างเต็มร้อยว่าแต่ละชีวิตที่มาเกิดมีเบื้องหลังจากอดีตชาติกันทั้งนั้น เพราะจิตวิญญานเป็นปัจจะตังเป็นอจิญไตยเป็นอกาลิโกครับ เรื่องวิบากกรรมมีจริง เรื่องนิพพานไม่ใช่เรื่องมาอ่านแล้วตีความกันนะครับไม่ใช่แค่จิตสงบแล้วได้นิพพาน กฏของไตรลักษณ์ยังคงเป็นจริงอย่างมั่นคง ขออย่าทำพระพุทธศาสนาตกต่ำโดยไม่ได้ตั้งใจเลยนะครับเพราะคุณจะได้อยู่ในนรกภูมิอีกยาวนานแปดหมื่นสี่พันปี(ตามจำนวนพระธรรมขันท์)อย่างแน่นอนครับ
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=tcat align=middle>สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี</TD></TR></TBODY></TABLE>


    สังคายนาพระไตรปิฎก และ สมเด็จ โต วัดระฆัง


    วันเดือนปีไม่ปรากฏ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริจัดสังคายนาพระไตรปิฎก รัชกาลที่ ๔ โปรดให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) เข้าร่วมสัมมนาด้วย แต่ท่านไม่ยอมไปเป็นดังนี้ถึง ๓ ครั้ง

    รัชกาลที่ ๔ ทรงเรียกท่านเจ้าประคุณสมเด็จไปในวัง ตรัสถามว่
     
  9. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    ถ้าไม่เชื่อก็ต้องแสดงให้ดู...จริงมะครับ... แต่...
    ศรัทธาในความดี ดีกว่าศรัทธาในฤทธิ์แล้วเบียดเบียนผู้อื่น
    <<<
    เมื่อกี้มีมารมาดลใจ(ละมั้ง) ว่ามีฤทธิ์แล้วทำความดีจะดีกว่า
    เพราะฉะนั้นไม่มีฤทธิ์น่าจะดีกว่า
    มีฤทธิ์เพราะกลัวคนอื่นมาทำร้าย มีฤทธิ์เพราะโลภ
    มีเสียงมาบอกว่าพระมีฤทธิ์ไม่ใช่คนไม่ดี...(บางคนองค์)

    ท่านคิดว่าพุทธศาสนาเป็นกลาง...?
    ท่านรู้ได้ยังไงว่าศาสดาของศาสนานั้นบังคับคนให้ปฏิบัติ..
    <<<ไม่รู้ทำไมเขียนอย่างนี้...อีกและ
    สังคมมีขื่อมีแป มีศาสนาดีกว่าไม่มี


    โปรดใช้ภาษาง่ายๆ แปลเป็นไทย ผมจะขอบคุณมากครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤศจิกายน 2006
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่โพสข้อความมาในกระทู้นี้
    อาตมาเข้าใจดีว่าทุกท่านเชื่อมั่นในพระไตรปิฎก และเชื่อมั่นว่าครูอาจารย์สอนมาถูกต้องดีแล้ว แต่ในพระไตรปิฎกนั่นเองที่สอนให้มีการตรวจสอบตนเองว่าถูกต้องมากน้อยแค่ไหน? แล้วทำไมเราไม่ใช้หลักในการตรวจสอบนั้นมาตรวจสอบ? <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ผู้คนสมัยนี้มีความรู้มากแล้ว การที่จะมาบังคับให้เชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้นั้นเขารับไม่ได้ แต่ก่อนอาตมาก็เคยเชื่ออย่างนั้นมาก่อน แต่พอมาศึกษาอย่างละเอียดก็พบว่ามันเป็นคำสอนระดับศีลธรรม ที่ศาสนาไหนๆเขาก็มีสอน คือสอนเรื่องมีตัวตน ส่วนพุทธศาสนาจะมีคำสอนที่สูงไปกว่านั้นมาก คือสอนเรื่องไม่มีสัตว์ตัวตน บุคคลเรา-เขา ซึ่งก็คือเรื่อง
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่โพสข้อความมาในกระทู้นี้
    อาตมาอยากจะเปรียบเทียบพระไตรปิฎกกับเครื่องคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีโปรแกรมต่างๆมากมายให้เอาไว้ใช้งาน แต่จะมีโปรแกรมที่สำคัญตัวหนึ่งคือโปรแกรม antivirus หรือโปรแกรมตรวจหาและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ใดไม่มีโปรแกรมนี้ หรือมีแต่ไม่ได้ใช้งาน ถ้ามีไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาในเครื่อง ไวรัสนั้นก็จะมาทำความเสียหายให้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้น เช่น ทำให้เครื่องทำงานช้าบ้าง ทำให้เครื่องทำงานผิดพลาดบ้าง ทำลายข้อมูลบ้าง ทำให้ข้อมูลผิดพลาดบ้าง เป็นต้น ดังนั้นโปรแกรมกำจัดไวรัสนี้จึงมีความสำคัญต่อคอมพิวเตอร์มากในการใช้ตรวจสอบว่าโปรแกรมและข้อมูลต่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีความบริสุทธิ์หรือมีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    แม้ในพระไตรปิฎกก็เหมือนกัน คือในพระไตรปิฎกนั่นเองจะมีหลักธรรมะสำหรับเอาไว้ตรวจสอบพระไตรปิฎกเองอยู่ด้วย เพื่อให้พระไตรปิฎกมีความบริสุทธิ์ ถ้าไม่มีหลักธรรมะนี้ พระไตรปิฎกก็จะยังไม่อาจรับรองได้ว่ามีความบริสุทธิ์เต็มที่ อาจมีคำสอนเนื้องอกที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาในภายหลังให้ผิดเพี้ยนไปได้ ซึ่งแม้ในคำสอนจากใครๆก็ใช้หลักธรรมะนี้ตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน<o:p></o:p>
    หลักธรรมะที่จะนำมาใช้ตรวจสอบพระไตรปิฎกนั้นก็คือ หลักกาลามสูตร แต่ในปัจจุบันชาวพุทธแทบไม่รู้จักหลักธรรมนี้เลย หรือบางคนรู้จักแต่ไม่สนใจศึกษาอย่างจริงจัง แต่ฝรั่งเขากลับชอบหลักกาลามสูตรนี้กันมาก น่าแปลกหรือไม่? <o:p></o:p>
    เราต้องกล้าหาญที่จะสู้กับความจริง แม้ว่าความจริงนั้นจะทำให้เจ็บปวดบ้างก็ตาม ถ้าเรามัวแต่มาลุ่มหลงสิ่งจอมปลอม เราก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากมันเลย ซ้ำยังจะทำให้ต้องจมอยู่ในความทุกข์อยู่ร่ำไป แต่ถ้าเราจะหันมาตรวจสอบหาความจริงกันบ้าง เราก็จะได้ของบริสุทธิ์ แม้มันจะเป็นเพียงสิ่งของเล็กน้อยก็ตาม แต่แม้มันจะเล็กน้อย มันก็ยังดีกว่าของปลอมที่ใหญ่โตมิใช่หรือ?<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ<o:p></o:p>
     
  12. Merin

    Merin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +562
    เปรียบดั่งเด็กดอยสองกลุ่มทะเลาะกัน ฝ่ายหนึ่งมั่นใจว่าสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือช้าง เพราะท่องเที่ยวมาทุกหุบเขาแล้ว ยังไม่เคยเห็นสัตว์ใดในป่าแห่งนี้ใหญ่กว่าช้างเลย อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ปลาวาฬ ซิใหญ่กว่าช้างตั้ง 10 กว่าเท่า พวกเด็กเมืองเคยเอาหนังสือมาให้ดู แต่พยายามหาเหตุผลมาอ้างอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายยอมรับเหตุผลซึ่งกันและกันได้ เนื่องด้วยฝ่ายแรกยึดมั่นในคำสอนของพ่อว่า "สิ่งใดที่ไม่เคยเห็น ย่อมไม่มีอยู่จริง" ส่วนฝ่ายหลังก็ถือว่า แต่รู้จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ก็พอแล้ว ส่วนการพิสูจน์ให้เห็นกับตาเอาไว้โอกาสอำนวยภายหลัง

    เฮ้อ ...... กลุ้มใจในอัตตาของมนุษย์จริงๆ หวังว่าเด็กดอยกลุ่มแรกคงจะไม่ใช้เวลาทั้งชิวิต กว่าจะพิสูจน์ว่า ปลาวาฬ มีอยู่จริงนะครับ
     
  13. nrcl

    nrcl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +4,318
    ทีแรกผมเข้าใจว่าหลวงพี่เป็นคนมีเหตุผล ยอมรับเหตุผลที่อธิบายไป จุดประสงค์เพียงเพื่อให้หลวงพี่ไปพิสูจน์เอง ไม่ใช่เพื่อการเอาชนะ สิ่งที่จะคุยหลวงพี่ ตามกำลังปัญญา และความรู้อันน้อยนิดของผม ก็ได้อธิบายไปหมดแล้ว ไม่เห็นประโยชน์จะพูดต่อไป ยังทำให้ใจมัวหมอง และอาจจะเผลอปรามาส พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อีก จะคอยแวะมาอ่านเป็นครั้งคราว จะโพสเฉพาะถ้าเห็นอะไรที่จะเป็นประโยชน์เท่านั้น

    พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์
    http://www.geocities.com/pranipan/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤศจิกายน 2006
  14. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เฮ้อ...น่าเบื่อจริง ๆ วุ่นวายจริงวุ้ย เวรกรรม อยากจะก่อเวรฯ อันจะต้องชดใช้ไม่รู้จบรู้สิ้นก็เชิญ ตัวใครตัวมัน

    นรก สวรรค์ มีไม่มีเมื่อจิตหลุดออกจากร่างไป คงจะรู้แจ้งเห็นจริง มิต้องโต้เถียงซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างไปตามวาระกรรมของตนเอง
     
  15. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    กราบ นมัสการ หลวงพี่ เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผมขอถามเพื่อความมั่นใจ

    ที่ผมยกมานี้ผมไปพบที่เว็บหลวงพี่....บอกว่าเป็นหนังสือที่หลวงพี่ได้เขียนขึ้นเพื่อ หลักสูตร ม.1-ม.6

    1. ได้นำไปใช้สอนจริงๆหรือเปล่าครับ ?
    2. เป็นหลักสูตรท้องถิ่นใช้เฉพาะบางโรงเรียนหรือหลักสูตรทั่วประเทศ ?
     
  16. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    อืม...
    ท่านคิดว่าตรงไหนของพระไตรปิฎกผิด ท่านก็ประชุมในหมู่สงฆ์เองละกัน แต่ว่าสงสัยจริงๆว่าฤทธิ์นี่ ถ้าไม่มีจริงท่านพระโมคลานะจะได้เป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีฤทธิ์หรือท่าน

    บางทีที่รู้ๆกันอยู่เค้าอาจจะปิดเอาไว้ไม่ให้ประชาชนรู้... อย่างเช่นในรัซเซียกับอเมริกา ไม่งั้นคงไม่มีคนมาเขียนเป็นนิยายหรอกท่าน(ฮา)

    ท่านว่าหมายถึงกาลเวลามากกว่าละมั้งท่าน เมื่อพุทธทำนายเปลี่ยนแปลงได้(บางส่วน)มันไม่เที่ยง แล้วมันจะมีตัวตนได้ยังไง

    ความรู้สึก ไม่สามารถตรวจสอบได้กระมัง
    แต่ปัญญาของคนก็สามารถตรวจสอบได้
    วิทยาศาสตร์ก็ตรวจสอบได้
    เพราะถ้าเป็นขั้นสูงท่านก็จะเข้าใจ ตามทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษของไอน์สไตน์

    เวทนา สติ ไม่ว่าอะไรมันก็จักหยั่งผลถึงวิญญาณ
    ท่านคงเข้าใจผิดกระมัง เหมือนดั่งถ้าเราใช้รากฐานของจิตวิทยาตะวันตก แทนที่จะอ้างเวทนา
    ท่านก็จะรู้ว่ามีแรงผลักดันมนุษย์
    แต่แรงผลักดันนั้นมาจากไหน
    ทำไมถึงมีอารมณ์ได้ในสัตว์ที่มีอวิชชา
    ในเมื่อมันไม่มีอารมณ์ก็ได้ หากินไปตามยถากรรม
    ถูกกินตามกฏของธรรมชาติที่ว่า สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก
    ทำไมสัตว์ถึงวิวัฒนาการ ซึ่งผิดไปจากเดิม
    เพราะเวทนาอื่น วิญญาณอื่น จิตอื่นหรือไม่
    โปรดนำไปคิดดู
    สัตว์ก็คงตายหมด ไม่มีกระทั่งมนุษย์
    ปล.ขี้เกียจเขียน
    ปล.2คอมฯเก่าผมพิมพ์ได้ดีกว่าโน๊ตบุ๊คพ่อผม ผมเลยพิมพ์บทความนี้ขึ้นได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤศจิกายน 2006
  17. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    อารมณ์ของสัตว์ที่รู้ว่าตัวเองจะสูญพันธุ์มันก็จักเร่งผลิตลูก มันจะไม่สูญพันธุ์ได้ยังไง สุดท้ายก็เร่งทำให้สูญพันธุ์เร็วขึ้น
    สามัญสำนึกเกิดจากเวทนา ชาติก่อนก็จักเป็นสัตว์

    ผู้รู้จริงมาแล้ว(ฮา)
    ตลกๆนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤศจิกายน 2006
  18. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    สภาพของจิตใจที่ปรากฏนั้นเมื่อไม่อยู่ในบรรทัดฐานของภูมิภพ
    อย่างเช่นจิตใจ เป็นตัวนำ
    เมื่อจิตใจไม่ใช่มนุษย์ แม่ที่ให้กำเนิดเป็นมีจิตใจเป็นมนุษย์
    แต่ลูกมีจิตใจเป็นอมนุษย์
    จะอยู่ในภูมิมนุษย์ได้อย่างไร
    ปล.อันนี้อาจจะเขียนผิด...
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    บิดเบือน คำสอน
    ตัดตอน
    ทำลาย
    คัดค้าน
    คำกล่าวของพระพุทธเจ้านั้น โทษเป็นอนัตริยกรรม เนื่องจาก เป็นการทำให้คนหมู่มากกลายเป็นมิจฉาทิษฐิ คลาดจากความดี คลาดจากพระนิพพาน ครับ แถมเมื่อตนเองลงอเวจีมหานรกแล้วยังพาศิษย์ที่ยึดตนเป็นสังฆานุสติโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พลอยไปเสวยกรรมสู่ที่เดียวกับตนอีกด้วย ยึดพระพุทธเจ้าเป็นธงชัย เป็นสรณะ ดีที่สุดครับ
     
  20. อำนาจ

    อำนาจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    579
    ค่าพลัง:
    +11,487
    มีคนโทรไปตามให้ผมมาช่วยออกความเห็นในกระทู้นี้ ซึ่งตอนแรกผมก็ปฏิเสธไปเพราะ ผมเชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสเอาไว้ "ไม่ควรกล่าวถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะการกล่าวถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่ฟุ้งซ่านย่อมต้องห่างจากสมาธิ"

    ตัวผมเองก็ไม่ใช่ผู้รู้อะไร ความดี ความรู้ภูมิธรรมก็ไม่มีที่จะมาแสดงอะไรให้ใครดู แต่ผมเชื่อว่า "เราทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่ากระทำอันใดย่อมได้รับผลของการกระทำอันนั้น" ดังนั้นการที่จะมาแสดงความคิดเห็นยอมทำให้เกิดการขัดแย้ง ซึ่งคงไม่สามารถยุติได้ เพราะกำลังใจของคนไม่เท่ากัน

    แต่เมื่อลอง ๆ เข้ามาดู ๆ ก็นึกถึงคำครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยสอนไว้ว่า "คนที่เขาเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิไม่ใช่คนที่น่าตำหนิ เขาเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูก ที่ควร เป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย เราตำหนิเขา มันใช้ไม่ได้ มันควรจะสงสารและหาทางช่วยเขาให้พ้นจากจุดนั้นมากกว่า ตัวเราเอยู่ตรงจุดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะดีทั้งหมด ถูกทั้งหมด มันดีแค่นี้ มันถูกแค่นี้พอกำลังใจเราก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดีกว่านั้นถูกกว่านั้นมันมีแล้วเรามองย้อนกลับ อ้าว...คราวที่แล้วมันผิด แต่เรียกว่ามันผิดก็ไม่ถูก ถ้าเรายืนอยู่ในจุดนั้นเราจะเห็นว่ามันดี ว่ามันถูก

    ดังนั้นคนที่เขาเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิมีโอกาสที่จะลงสู่อบายภูมิเป็นคนที่น่าสงสารมาก ไม่ใช่คนที่น่าโกรธน่าเคืองน่าตำหนิ ในเมื่อเขาน่าสงสารอย่างนั้น เราควรที่จะแนะนำให้เขาหันมาสู่ทางที่ดี ๆ ถ้าทำได้ก็ควรจะแนะนำเขา ถ้าแนะนำแล้วไม่สามารถทำได้ แล้วค่อยวางอุเบกขา"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2006

แชร์หน้านี้

Loading...