เรื่องเด่น การรู้ใจคนอื่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 กุมภาพันธ์ 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,692
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    02B0ED41-29D5-4808-9A63-2CB7F7CB2911.jpeg

    มีญาติโยมอยู่จำนวนหนึ่ง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ในสายตาของอาตมาถือว่าน่าสงสารมาก เพราะมาที่นี่ตั้งใจจะมาดูว่าพระอาจารย์เล็กเก่งจริงหรือเปล่า ? หลายรายถึงขนาดอธิษฐานมาจากบ้านเลย "ถ้าพระอาจารย์เล็กเก่งจริง ต้องบอกได้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ"

    นั่นเป็นการตั้งกำลังใจที่ผิด เราไปดูเศรษฐีว่ามีสมบัติเท่าไรจะมีประโยชน์อะไร ? มีอยู่อย่างเดียวคือต้องทำตัวเราให้เป็นเศรษฐี จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เอาแต่มานั่งนินทาอาตมาว่า ไม่เห็นเก่งจริงอย่างที่เขาลือกัน แม้แต่คนที่อาตมารับรองว่าสามารถรู้ใจคนอื่นได้ ก็ยังไปนั่งนินทาอยู่ข้าง ๆ เขา ว่าอาตมาไม่เห็นจะเก่งจริงอย่างที่คนว่ากัน แล้วก็ปล่อยให้คนที่รู้ความคิดของเรานั่งสมเพชเวทนากันต่อไป

    โดยปกติการรู้ใจคนอื่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย การระมัดระวังใจตนเองไม่ให้กิเลสกินต่างหากที่สำคัญที่สุด

    ถ้าท่านทั้งหลายมุ่งลัดตัดตรงเข้าหาการรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ตั้งใจทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งใจว่าตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน
    ทำกำลังใจได้แค่นี้ท่านก็เป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิทั้งปวงแล้ว ไม่มีกติกาว่าจะต้องรู้ใจคนอื่น ไม่มีกติกาว่าจะต้องระลึกชาติได้ ไม่มีกติกาว่าจะต้องรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต ไม่มีกติกาว่าจะต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่มีกติกาว่าต้องรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน

    ดังนั้น...การที่ท่านทั้งหลายตั้งกำลังใจลักษณะอย่างนั้น เป็นการตั้งกำลังใจที่ผิดมาก การที่เราไปหาพระ หาครูบาอาจารย์ ควรจะตั้งกำลังใจว่า ท่านมีคำสอนอะไรที่จะช่วยเหลือกำลังใจของเราให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ เราขอน้อมรับมาและจะรีบปฏิบัติตาม ไม่ใช่ไปดูว่าท่านเก่งจริงอย่างที่เขาลือกันหรือเปล่า

    เรื่องพวกนี้อาตมาเองไม่ได้ใส่ใจ แต่บางทีก็รำคาญเพราะว่าบางทีมากระทุ้งอยู่ทุกวัน วันดีคืนดีก็ด่าไปซึ่ง ๆ หน้าสักที...! เพราะว่าในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่เป็นเรื่อง แต่เขาเองเห็นว่าเป็นแก่นสารของชีวิต เป็นการยึดถือในทางที่ผิด เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราต้องการแก่นไม้ แต่พอถากได้เปลือกไม้ก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ไปแล้ว บางรายก็ได้แค่กิ่ง แค่ใบก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ บางรายได้กระพี้ไปก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ ไม่ได้สนใจที่จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อให้ตนเองเข้าถึงซึ่งแก่นสารของธรรมอย่างแท้จริง

    บุคคลประเภทนี้ ถ้าเขาลือว่าที่ไหนดีก็จะแห่กันไปที่นั่น ซึ่งเป็นลักษณะของการถือมงคลตื่นข่าว เพราะว่ากำลังใจของตนเองยังไม่หนักแน่นมั่นคงพอ ก็จะไหลตามกระแสของคนอื่นไปเรื่อย เท่ากับว่าเราหาหลักยึดหลักเกาะไม่ได้ กลายเป็นจอกแหนลอยไปตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง แล้วเมื่อไรเราจะอาศัยตนเองได้เสียที ? เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่านไม่ได้บอกว่าให้พึ่งคนอื่น

    หลายคนในที่นี้อยู่ทันมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ยึดท่านเป็นที่พึ่งในลักษณะที่ผิด คือไม่ได้ยึดคุณธรรมความดีในความเป็นพระของท่าน ไม่ได้ยึดในหลักธรรมคำสอนของท่านแล้วนำมาปฏิบัติ แต่ไปยึดในกายสังขารของท่าน ซึ่งท้ายสุดท่านก็มรณภาพไป ๒๐ กว่าปีแล้ว หลังจากนั้นก็มายึดอาตมาต่อ ซึ่งก็ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร

    ถ้าเรายังยึดผิด ยังเกาะผิด หาแก่นสารที่แท้จริงของหลักธรรมไม่ได้ หาแก่นสารที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้ ถ้าเราตายเสียก่อน จะเสียชาติเกิดไปเปล่า ๆ อีกชาติหนึ่ง ดังนั้น...อาตมาเบื่อเต็มทีแล้วถึงได้เตือนให้ทราบ โปรดอย่าเสียเวลาอธิษฐานมาจากบ้าน โปรดอย่าเสียเวลามาอธิษฐานตรงหน้า เสียดายว่าตรงนี้ใส่รองเท้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเวลาอธิษฐาน อาตมาจะขว้างด้วยรองเท้า...!

    ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปไขว่คว้าเกินหลักธรรม สมัยก่อนอาตมาใช้คำว่า "เอื้อมมือไปเกินหัว" เนื่องจากว่าการก้าวเข้าไปหาความเป็นพระอริยเจ้าตรง ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องมีฤทธิ์มีเดชอะไรแม้แต่อย่างเดียว และอาตมาก็ยืนยันว่า คำว่าอภิญญานั้น มาจากคำว่า อภิ ที่แปลว่า ยิ่งกว่า และ อัญญา ที่แปลว่าความรู้ ดังนั้น...ความรู้ในความคิดของอาตมานั้น ความรู้ในการตัดกิเลสนั่นแหละเป็นสุดยอดของอภิญญาแล้ว

    ญาติโยมจะเห็นว่าครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่ง หลังจากฝึกฤทธิ์ฝึกอภิญญาได้ ก็อยู่ในลักษณะที่หายคัน หมดสนุก เลยวัยที่จะไปเล่นแล้ว ก็ทิ้งกันจนหมด ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินจำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่ได้แตะต้องเลย เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการฝืนกฎของกรรมมากกว่า อาตมาถึงอยากให้ทุกคนรวบรัดเข้าหาอารมณ์พระโสดาบันโดยเร็ว

    อย่าทำตัวเป็นคนมีเวลามาก เราจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ว่ามาปฏิบัติธรรมเหมือนกับแก้บน คือทำเล่น ๆ ถ้าตายแล้วได้ขึ้นข้างบนก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าตายแล้วลงข้างล่างไม่ใช่แค่เสียชาติเกิดเฉย ๆ ยังเสียเวลาเกิดไปอีกนานแสนนาน แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหลุดขึ้นมา ได้เมื่อไรด้วย

    ดังนั้น...อะไรที่ไขว่คว้าแล้วเลยธรรมะมากเกินไป ก็พยายาม ลด ละ เลิก หันมาจับหลักธรรมที่แท้จริงได้แล้ว อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อย ๆ อาตมาเองก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะไปยุ่งกับอะไรของใครมากนักหรอก ญาติโยมก็จะเห็นว่าบางทีรำคาญมาก อาตมาก็จะนั่งอ่านหนังสือเฉยไปเลยนั่นแหละ
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...