เรื่องเด่น ทำอะไร...อย่าทำให้ใครต้องลำบาก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 25 พฤษภาคม 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ?temp_hash=2915b06b7841dc419db3504953be600d.jpg






    สิ่งนี้คือสิ่งที่หลวงตาท่านยึดถือและสอนสั่ง ท่านย้ำเสมอว่า ใช้ชีวิตอย่าไปเบียดเบียนใคร ทำอะไรอย่าทำให้ใครต้องเดือดร้อน เพราะมันจะเป็นความเคยชิน เป็นกรรม ทำให้เราไม่เกิดความคล่องตัว หลวงตาท่านละเอียดมากในการใช้ชีวิต ทุกลมหายใจ ทุกกริยา แต่น้อยคนที่จะรู้และเข้าใจเพราะท่านถ่ายทอดมาจากการกระทำจริงในชีวิตประจำวัน สิบกว่าปีก่อน หลวงตามาบ้านโยมในกทม พอเสร็จกิจนิมนต์ โยมจะมาส่งท่าน พอรถแล่นออกมาท่านบอกให้รถจอดตรงห้างใกล้ๆ ท่านว่าหลวงตามีธุระส่งตรงนี้พอ ท่านลงจากรถพวกเราลงเดินไปสักพัก อดไม่ได้ถามท่านว่า หลวงตามีธุระอะไรแถวนี้ค่ะ หลวงตาท่านยิ้มหันมาบอกว่า นี่ไงมีธุระไปเรียกแท้กชี่ไปต่อไงล่ะ พวกเราพิศวงงงงวย ว่าทำไมหลวงตาจะมาต่อรถเองให้ลำบาก คนมาส่งสบายๆไม่ชอบหรือไง พอขึ้นแท้กชี่หลวงตาบอกว่า ที่ๆเราจะไปมันไกลจากที่นี่ กรุงเทพ รถมันติด เค้าไปส่งเราต้องขับกลับมาอีก ตะกี้ไม่เห็นหรอ เค้าบอกลูกน้องว่ามีนัดตอนบ่าย เราให้เขาไปส่ง ลำบากเค้า จำไว้ทำอะไรอย่าให้ใครต้องมาลำบากเพราะเรา อะไรทำได้จงทำเอง ฝึกเอาไว้จะได้ไม่หวังพึ่งคนอื่น มันจะติดเป็นความเคยชิน พวกเรานั่งเงียบคิดในใจ พวกเราช่างห่างไกลความดีที่หลวงตามีเหลือเกิน ท่านมีน้ำใจส่วนพวกเรารักความสบาย หลวงตาหันมายิ้มพูดว่า อย่าคิดมาก ค่อยๆปรับไป คนเรามันติดความเคยชินมาหลายภพชาติ แก้ยาก ต้องค่อยๆปรับไป หลวงตาท่านรู้วาระจิตคน ท่านมักจะพูดและสอนสั่ง ตามสิ่งที่แต่ล่ะคนติดอยู่ในใจ เรานั่งหลับตานึกถึงหลวงปู่ ภาพท่านยิ้มเราก้มกราบในใจ บอกท่านว่า ขอบพระคุณนะค่ะหลวงปู่ ที่เมตตาให้หนูได้มาพบหลวงตา ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต ขอบคุณ นะค่ะ ภาพหลวงปู่ยิ้ม หลวงตาหัวเราะ จึง เป็นภาพที่บันทึกในจิตนี้ไหลลงสู่ใจ หล่อเลี้ยงไปในกาย ผ่านทุกหยดเลือดและลมหายใจ ทำ ให้เราเป็นคนดีมีชีวิตที่ดี สมดั่งชื่อ ลูกหลานพรหมปัญโญ


    ***************************************************************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2018
  2. Kanittha12

    Kanittha12 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +22
    กราบหลวงตาคะ ตั้งแต่โตมาจนถึงทุกวันนี้ลูกก็ปฎิบัติแบบนี้มาตลอด
     
  3. สติมั่น

    สติมั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +500
    กราบนมัสการหลวงตาครับ ขออนุโมทนาบุญในการเผยแพร่คำสอนครั้งนี้ครับ สาธุ
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ไม่ลำบาก


    34985236_846930785485244_841556171151114240_n.jpg





    อีกเรื่องราวที่ประทับใจ ของคำว่าน้ำใจ เห็นใจกัน หลายปีก่อน หลวงตามีเหตุไปเยี่ยมลูกศิษย์แถวรังสิต เค้าไม่สบายมีปัญหาหนัก หลวงตาทราบข่าว จำได้ว่าไปกันสามคน แต่ไม่ได้เอารถไป พอไปถึงบ้านโยม หลวงตาพูดคุยให้กำลังใจ สวดให้


    หลวงตาเป็นพระที่ความจำดีท่านจำได้หมดทุกเรื่องราว
    บอกคนนี้เป็นคนดี ชอบทำทานแต่ไม่ค่อยสวดมนต์ ตอนนี้บุญหมด เจอโกงลำบาก หมดตัว

    หลวงตาบอก อย่าประมาทในกรรม บุญหมดกรรมเข้า ให้หมั่นสวดมนต์ต่อบุญตลอดเวลา อย่าหลงไปกับสังคม

    ที่บ้านโยมค่อนข้างลำบาก เค้าอยากจะถวายเพล แต่หลวงตาบอกไม่เป็นไรฉันมื้อเดียว แล้วเดินออกมากันสามคน แดดร้อนลำบากมาก หลวงตายิ้ม พวกเราถามว่าหลวงตาเหนื่อยไหม ท่านตอบพร้อมเหงื่อที่ไหลว่า ไม่ลำบากเท่าไรหรอก เล็กน้อย เรามาต่อชีวิตให้กำลังใจเค้า เค้าเคยช่วยเรา เราก็มาช่วยเค้า กำลังใจสำคัญ น้ำใจที่มีให้กันมันหล่อเลี้ยงชีวิตได้


    เดินไปถึงถนน ท่านให้เรียกแทกชี่ หลวงตาบอกวันนี้จะพาไปย้อนอดีต หลวงตาเลี้ยงเองเพราะท่านพาเรามา ขึ้นรถเสร็จ หลวงตาให้รถพาไปร้านก๋วยเตี้ยวเรือ แถวนั้น ท่านเมตตาให้คนขับลงมากินด้วย คนขับแทกชี่ดีใจมากแต่ งงๆ ท่านเล่าเรื่องสมัยก่อนเกี่ยวกับก้วยเตี้ยวเรือให้ฟังอย่างมีความสุข ย้อนอดีตจริงๆ หลวงตาฉันเยอะเพราะวันนี้ไม่ได้ฉันอะไรมาเลย ท่านบอกเราเป็นพระติดดินดีแล้ว มีอิสระไปไหนได้ไม่ลำบากใคร จะฉันอะไรก็ง่ายๆไม่ลำบากใคร ตะกี้คนเค้าลำบากเราไม่เบียดเบียนเค้า ออกมาฉันเองสะดวกกว่า

    จำไว้นะทำอะไรให้พิจารณา อย่าทำให้ใครต้องลำบาก ใช้ชีวิตให้ง่าย แต่ไม่มักง่าย ทำชีวิตให้มีค่า มีน้ำใจต่อสิ่งต่างๆ สร้างคุณค่าจากภายใน แล้วแผ่ขยายให้สิ่งต่างๆภายนอก พวกเรานั่งกินก๋วยเตี๋ยววันนั้นอย่างมีสุขเห็นสีหน้าแห่งความสุข ของหลวงตา ทุกรอยยิ้มที่ท่านมี มันคือความเมตตาปราณีอย่างแท้จริง

    ท่านเป็นพระที่ปราณีตแต่เรียบง่ายในการใช้ชีวิต สมดั่งที่ท่านบอกเสมอว่าให้ทุกลมหายใจเข้าออกที่มี ให้มีค่าของแสงสว่างบุญ เริ่มต้นที่ใจเรา ใจเราเปลี่ยนโลกก็จะเปลี่ยน นี่แหล่ะค่ะ หลวงตาม้า หลวงตาผู้เป็นแสงสว่างของชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2018
  5. สติมั่น

    สติมั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +500
    กราบนมัสการหลวงตาครับ หลวงตาเมตตาต่อลูกศิษย์ลูกหาจริงๆๆ เป็นบุญของหลายๆคน คำสอนของหลวงตามีคุณค่าอย่างมหาศาลเลยครับ สาธุ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    35077468_183152752524211_4364038981529108480_n.jpg






    อ่อนหรือแข็ง


    สังคมคนหมู่มาก สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอคือ การกระทบของคน บางคนกระทบทางใจ ออกมาทางวาจากลายเป็นกรรมทางกาย ทุกสังคมล้วนแล้วมีสิ่งนี้ หลวงตาบอกเสมอว่าที่ไหนมีผลประโยชน์ ย่อมมีปัญหาเกิด บ่ายวันหนึ่งในถ่ำมีคนมาปรึกษา กับ หลวงตา เกี่ยวกับเรื่องการกระทบกันของคน หลวงตาว่ามันเป็นปกติโลก ถ้าเค้าสวดมน เรื่องพวกนี้จะเบาบางไปเอง คนสวดมนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องพวกนี้ ถ้าจิตสวด จิตก็จะเลือกทางที่ถูก ทางที่สุข ท่านหัวเราะ พูดว่าถ้าสวดเป็นนะ คนสวดมนเค้าจะเป็นเหมือนของอ่อน อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ไปปะทะกับใครเพราะรู้ในโทษที่เกิด คนที่ไม่ได้สวดก็เหมือนไม้แข็งๆเอามาปะทะกัน ไม่อันไหนก็ต้องแตกหัก แต่ถ้าเอ็งสวดมนก็เหมือนท่อนยาง ลองเอาของแข็งมาปะทะกับท่อนยางสิ มันเด้งกลับไปเลย ถ้ามีการกระทบกันจำไว้ต้องมีคนใดคนหนึ่งยอม เรื่องก็จบ ต้องมีคนที่จะอ่อน เพราะบางอย่างมันแค่ทิฐิการเอาชนะ เราสวดมนมาทำไมล่ะ สวดมาเพื่อชนะหรือไง เราสวดมาเพื่อชนะใจตัวเองไม่ใช่ไปเอาชนะคนอื่น ยอมให้เป็น แพ้ให้เป็น มันคือชนะอัตตาตัวตนในใจ คนที่อ่อน รู้จักยอมตามเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล ยอมอ่อนถอยออกมาสักก้าวจะเห็นอะไรชัดเจนขึ้น ชีวิตจะมีทางออก เหมือนภูเขาเราอยู่บนเขามองไม่เห็นอะไรหรอก ลองลงมายืนที่ข้างล่างจะเห็นความงามของภูเขานั้น หลวงตาพูดว่า เกิดมาแล้วใช้ชีวิตให้เป็น เดินไปข้างหน้าพัฒนาทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่ยิ่งสวดยิ่งภาวนายิ่งแข็งยิ่งมากด้วยอัตตาและอวิชา จิตที่ผ่านการสวดมนต์ ภาวนาคือจืตที่เบา เบาจากตัวตนและความอยาก เอ็งเลือกเอาจะอ่อนหรือแข็ง จะเบาหรือจะหนัก สวดมนต์ไปเพื่ออะไรล่ะถ้าไม่พัฒนาตน จริงไหม หลวงตาถาม และทุกท่านล่ะค่ะ คิดว่าอย่างไร?....


    ************************************************

     
  7. สติมั่น

    สติมั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +500
    กราบนมัสการหลวงตาครับ ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกุศลในการเผยแพร่ธรรมทุกครั้งด้วยครับ สาธุ
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    เหมือนบนความต่าง


    หลายครั้งที่เรามักเห็นช่วงมีงาน คนมาที่ถ่ำเยอะ หลวงตาจะชอบเดินมานั่งตรงลานหน้าถ่ำ ท่านมักจะมองไปข้างในถ่ำ ดูคนที่นั่งสวดมนต์

    หลวงตาท่านมีภูมิธรรมสูง ปัญญาญาณไกล มักมองเห็นเรื่องราวต่างๆเล่ามาเป็นข้อธรรม

    หลวงตามองอะไรที่พื้นค่ะ หลวงตาชี้ไปที่มดดำกับมดส้มที่เดินเป็นแถว ท่านบอก มดต่างกันแต่ก็เป็นมดเหมือนกัน ท่านชี้ไปที่ต้นไม้บอกว่า ต้นไม้ต่างกันแต่ก็เป็นต้นไม้เหมือนกัน ท่านชี้เข้าไปในถ่ำบอกคนต่างกันแต่ก็เป็นคนเหมือนกัน ท่านถามว่า งง ไหม เราพยักหน้าพูดว่า หลวงตาเมตตาอธิบายค่ะ หลวงตายิ้มพูดว่าสิ่งต่างๆไม่ต่างกันหรอกสิ่งมีชีวิตก็คือสิ่งมีชีวิต เราแค่สมมุติและตั้งชื่อต่างกันไปเอง เป็น ชื่อของสิ่งต่างๆ แค่นั้นไม่พอยังแบ่งออกมาเป็นประเภทต่างๆอีก เช่นใบไม้ก็คือใบไม้มีหน้าที่สังเคราะห์แสงให้ ต้นเจริญเติบโต จะกี่ร้อยกี่พันประเภทใบไม้หน้าที่ก็เหมือนเดิม หน้าที่ของสิ่งต่างๆจึงมีความสำคัญ สิ่งต่างๆล้วนเกิดขึ้นมาพร้อมหน้าที่ ลองคิดดูซิ ว่าจริงไหม ? ทุกสิ่งเหมือนกันต่างกันแค่หน้าที่ ที่ทำให้เกิดประโยชน์และดำรงอยู่อย่างสมดุลย์ของสิ่งต่างๆ วงจรเดียวกันคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปหรือเปลี่ยนไป เป็นการเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยง ในวงจรสมดุลย์ของจักรวาล ที่สำคัญคือ เราเกิดมา เข้าใจ ในบทบาทและหน้าที่ เมื่อเราเข้าใจและดำเนินชีวิตไปในบทบาทและหน้าที่ที่ถูกต้องอย่างแแท้จริง สมดุลย์แห่งชีวิตย่อมเกิด สันติจะบังเกิด ปัญหาต่างๆและความทุกข์ จะหมดไป มันไม่มีอะไรมากมาย คนเรามีปัญหาวุ่นวาย เพราะเรื่องราวต่างๆที่คนสร้างก่อเกิดขึ้นเอง สร้างเป็นเรื่องราวทั้งหมดทั้งนั้น ถ้าเรายิ่งปฎิบัติยิ่งภาวนาชีวิตจะยิ่งเรียบง่าย ผ่อนคลายจากเรื่องราวและสมมุติต่างๆ ง่ายที่สุดและเห็นได้ชัดคือ ถ้าเราสวดมนต์ถูกทาง จิตเราจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องราวของคนอื่น สมมุติต่างๆจะคลายไปเอง คนสวดมนต์จะเห็นค่าในตัวเองและหน้าที่ที่เกิดมา ปัญหาจะน้อย ชีวิตจะง่าย เพราะเข้าถึงหนทางแห่งสมดุลย์ธรรมชาติอย่างแท้จริง หลวงตายิ้มและพูดว่าเอ็งก็เร่งสร้างค่าให้สมกับที่เกิดมา อย่าให้ใครมาว่าเสียชาติเกิด จำไว้อย่าเสียชื่อลูกหลานพรหมปัญโญ นะ
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ?temp_hash=441c9388e6e0783258d7ab8274e39014.jpg








    เลือกเอง.....


    ท่านเห็นอะไรจากภาพนี้ นี่คือภาพจริง ของคนที่อายุเจ้ดสิบกว่า สถานะทางสังคมเรียกว่าพระ ท่านเราทั้งหลายเรียกว่า หลวงตา คืนหนึ่งหลังสวดเสร็จกิจต่างๆ หลวงตาเข้าจำวัดนอน ท่านจะชอบให้คนใกล้ชิดไปคุยสนทนาธรรม สอบอารมณ์ ต่อวิชา เราเห็นท่านเหนื่อยและหอบไอ สังขารเสื่อมไปกว่าเดิมมาก จึงถามท่านว่า หลวงตาค่ะ หลวงตื่นแต่ตีสี่ หกโมงมาสวดมน เดินทางโปรดญาติโยมตลอดวัน พูดเป็นหลายชั่วโมง รับแขกที่เข้ามาหาวันล่ะเป็นร้อย กว่าจะได้นอนจำวัดก็ เที่ยงคืน ตีหนึ่ง ขอถามหลวงตาตรงๆนะค่ะว่าเหนื่อยไหม ทำไปทำไม ทำไปเพื่อใคร ทำไปได้อะไร หลวงตาหันมายิ้มอย่างเมตตาว่า เหนื่อยดิ หลวงตาก็แค่คนแก่นะ คนปกติ แก่ตามวัย เราลองมาทำสิจะรู้ว่าเป็นไงหลวงตาพูดว่า เราเลืือกเอง เราเลือกที่จะมาทางนี้ ถ้าเราไม่ทำใครจะทำ เราไม่ทำคือเราทรยศตัวเอง เอ็งดูคนที่เค้ารอเราแต่ล่ะที่สิ ดูเข้าไปในสายตาคนที่มารอและมาหา จะรู้ถึงเหตุว่าทำไมหลวงตาต้องทำเพราะเราคือความหวังของเค้า เค้ามาเพราะเชื่อศรัทธาในหลวงปู่ หลวงตา เรามีหน้าที่ทำ เราจึงต้องทำทำให้เกิด ถ้าเราไม่ช่วยหา ไม่ไปตามสาขา เค้าจะอยู่ได้ยังไง เค้าสร้างเพราะหลวงปู่ หลวงตา เรามีหน้าที่ช่วยส่งเค้าให้ถึงฝั่ง แต่อายุมากแล้วไม่รู้จะเป้นเช่นไร แล้วแต่หลวงปู่จัดสรร ท่านย้ำว่า เราเลือกเอง นี่แหล่ะค่ะ พระธรรมดาที่อายุเจ็ดสิบกว่าที่ตื่นตีสี่ตีห้า นอนเที่ยงคืนตีหนึ่ง ทำงานไม่มีหยุด อุทิศกายใจ จิตวิญญาณเพื่อสืบทอดศาสนา ทดแทนคุณครูบาอาจารย์ แล้วพวกเราล่ะค่ะ ทำอะไรช่วยท่านมั่ง กำลังใจ ใจสำคัญเราถึงจัดกิจกรรมแจกแลกสวดเพื่อเป็นกำลังใจช่วยท่าน ให้ท่านเห็นว่าเราเคียงข้างหลวงตาเสมอและตลอดไป สิ้นเสียงที่หลวงตาพูด ท่านจำวัดหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า พร้อมรอยยิ้ม อย่างมีสุข เป็นรอยยิ้มยามหลับในความภูมิใจในหนทาง ทางที่ท่านย้ำว่า เราเลือกเอง ทุกคนก้มกราบหลวงตา ลากลับไปพักผ่อน คงเหลือท่านจำวัดกับรอยยิ้มอย่างมีสุข ในห้องเพียงลำพัง ภาพที่ท่านเห็นบรรยายความรู้สึกไว้ทุกอย่างค่ะ เป็นภาพส่วนตัวที่ขอหลวงตาก่อนนำมาลงด้วยเจตนาดี โปรดบันทึกความดีงามความรุ้สึกดีๆ นี้ลงสู่จิต กระจายสู่ใจ แล้วถามตัวเองว่า แล้วเราล่ะ เลือกทางอะไร จะเอายังไงกับชีวิต โมทนาบุญทุกความดีงามนะค่ะ สวดมนต์ ฝันดีค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. Norawon

    Norawon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +208
    สาธุคับ
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ไปได้เลยไม่ต้องรอ



    มากมายเหตุการณ์ดีๆมีทุกวัน เวลาของแต่ล่ะคนต่างกัน ตามช่วงกำลังของจิตและบุญบารมีที่สะสมมา
    ในแต่ละเดือนหลวงตาจะเดินทางบ่อยเพื่อไปตามสาขาต่างๆ ในแต่ล่ะครั้งก็จะมีผู้ติดตามหลายท่านหมุนเวียนไป ทุกคนอยากติดตามและใกล้ชิดหลวงตา
    ไม่นานนี้เอง มี อาจารย์คนนึงเพียบพร้อมทุกอย่างการงาน ครอบครัว ฐานะ ท่านอายุมากเกษียญแล้วปกติอยู่ที่เชียงใหม่มักติดตามหลวงตาไปไหนด้วยตลอด ระหว่างที่ทุกคนนั่งคุยห้อมล้อมหลวงตา เราเห็น ผิดสังเกต ! เค้าแยกไปนั่งนอกห้อง จึงไปถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า? เค้าตอบว่า ไม่อยากมาเกิดแล้ว !
    เราเดินเข้าไปในห้อง หลวงตาหันมาทัก ว่ามีอะไร ? ท่านทราบด้วยตนเองอยู่แล้ว หลวงตายิ้มด้วยสายตาที่มีสุข ท่านบอกไปบอกเค้านะ ใจล้วนๆใจตัวเดียว ให้ไปปลีกวิเวก อยู่กับใจตน รับรู้เข้าใจใจตนและสรรพสิ่ง เมื่อไม่มีความต่างระหว่างใจตนกับสิ่งต่างๆจะรู้เองว่าชีวิตควรทำอย่างไร ? นิ่งแล้วจะรู้เอง ให้บอกเค้าว่า" ไปได้ไปเลยไม่ต้องรอ " หลวงตาทำบารมีช่วยคนอีกเยอะ ยังต้องมาเกิดอีกเยอะ ๛ หลวงตาบอกว่าเวลากับกำลังแต่ล่ะคนไม่เท่ากัน บางคนเมื่อถึงเวลาของเค้ากำลังเค้าได้ที่ เค้าจะรู้เอง แค่เค้าทำต่อไม่นานก็จบ บังคับกันไม่ได้ อยู่กับสิ่งทำมา กับแรงอธิษฐานที่มี มีเหตุการณ์แบบนี้อยู่เยอะ แต่ไม่มีใครรู้ เพราะผู้ที่ได้ภาวะธรรมมักเป็นปกติ ไม่แสดงตัว หลวงตาบอกเสมอว่า คนที่เค้ามีภาวะธรรม คนที่ปฎิบัติดีๆคนไม่รู้หรอก เพราะคนพวกนี้ไม่มาวุ่นวายกับใคร คนที่ได้ธรรมะได้ภาวะ ใครจะมาพูดว่าตัวเองเก่งหรือได้อะไร เพราะเค้านิ่งแล้ว พวกที่พูดมากๆ รู้ไปหมด นั้นแหล่ะคำพูดล้วนๆลองไปแหย่สิ ดิ้นเลย !
    อยากรู้ให้ดูที่พฤติกรรม คนทำคนได้เค้าเป็นปกติ นั่นแหล่ะเรียกว่า ธรรม ธรรมชาติ

    เคยเห็นต้นไม้ ภูเขา หรือ ทะเล มันมีตัวตนไหม มันก็เป็นปกติของมันแต่แฝงด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำประโยชน์เพื่อสิ่งอื่น คนก็เหมือนกันให้ทำมากกว่าพูด เน้นประโยชน์ที่เกิดมากกว่าตัวตนที่มี เพราะเราภาวนาเพื่อให้ เบา ไม่ใช้ให้หนัก หนักด้วยอัตตาตัวตนและกิเลส ความอยาก หลวงตาหันมายิ้ม พวกเอ็ง! ใครทำได้ มีกำลัง "ไปได้เลยไม่ต้องรอนะ"
     
  12. เทวินตพรหม

    เทวินตพรหม พรหมวิหาร4มรรคมีองค์แปด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,002
    สาธุครับ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ทำไม ไม่ทำล่ะ ?


    คนทำ มีน้อย คนพูดมีเยอะ หลวงตาให้เน้นทำมากกว่าพูด 1f31f.png หน้าฝนช่วงปี 52 หลวงตานั่งสนทนาอยู่ที่หน้าถ้ำ หลายคนเดินเข้ามาฟังหลวงตาสนทนา มีอยู่คนนึงโวยวาย ทำไมตรงนี้พื้นเปียกไม่มีคนเอาผ้ามาเช็ด 1f601.png หลวงตายิ้ม แล้วถามว่า พื้นตรงนั้นมันเปียกใช่ไหม? ถ้าคน เหยียบแล้วลื่นจะเป็นอันตรายไหม ? เค้าตอบว่า ใช่ค่ะ เปียกสกปรกลื่นมาก 1f600.png หลวงตาถามว่า เห็นผ้าที่อยู่ใกล้ๆตรงนั้นไหม? ทำไมไม่เช็ดล่ะ ?ทำไมเราต้องรอให้คนอื่นมาทำทั้งๆที่เราเห็นมันอยู่ข้างหน้า อะไรที่เห็นว่ามีประโยชน์ทำได้ ก็ควรทำ ไม่จำเป็นต้องรอใคร หรือพูดบอกให้ใครมาทำ แค่นั้นมันก็จบ 1f601.png พวกเอ็งว่าจิงไหม? คนเรา ให้ทำมากกว่าพูด บางคนพูดมากรู้หมดรู้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องตัวเอง และไม่เคยทำอะไรเพื่อคนอื่น อย่างนี้ไม่มีประโยชน์อะไร 1f64f.png คนบางคนไม่จำเป็นต้องรู้อะไร แค่ทำหน้าที่ที่เห็นในปัจจุบันให้ดี ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว 1f506.png สิ่งต่างๆในโลกนี้ มันเคลื่อนไปตามเวลาทุกวินาที เราเกิดมาแล้ว ทุกวินาทีมีความเสื่อมย่อยสลาย ถ้ามีโอกาส มีเวลา ให้เร่งสร้างประโยชน์ สร้างคุณค่าแก่ชีวิต ให้สมกับที่ได้เกิดมา 1f506.png การสวดมนต์ เป็นทางหนึ่ง ของการสร้างประโยชน์แก่ตัวเอง และผู้อื่น 1f31f.png อยู่กับปัจจุบัน ทำตัวเองให้ดี ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน สร้างประโยชน์ที่มีโอกาส แค่นั้นก็เพียงพอ 1f31f.png ทุกๆเหตุการณ์ ที่อยู่กับหลวงตา ล้วนแล้วแต่ให้เรื่องราว ข้อคิดมากมาย ที่เป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต สุดแล้วแต่ เราจะเห็น หรือพิจารณา คิดได้หรือเปล่า คิดแล้วจะทำหรือเปล่า? ฝากไว้เป็นข้อคิดนะคะ โมทนาทุกความดีงาม ทุกกุศลคุณความดี ส่งถึงทุกท่านนะคะ ในการใช้ชีวิต นะค่ะ
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    41708016_1983274968398549_1447343849209856_n.jpg

    อย่าคาดหวัง ว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เราต้องการ


    หลากหลายเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่มีทั้งสุขสมหวังแล้วก็ทุกข์เพราะผิดหวัง ทุกอย่างมาจากความต้องการของตัวเราเองเป็นที่ตั้งทั้งนั้น


    หลายปีก่อน หลวงตาพาพวกเราหลายคน ไปทานอาหารและร่วมฉันเพลกับพระ หลายคนที่ไป ตื่นเต้นเพราะว่าร้านนี้เป็นร้านขึ้นชื่อ ทุกคนคาดหวังว่าจะต้องได้รับความอร่อย เพราะชื่อเสียงของร้านที่มีคนพูดถึงมาก แต่ในความเป็นจริงรสชาติอาหารกับไม่เป็นอย่างที่คิด พอกลับขึ้นรถ ทุกคน บ่นถึงความผิดหวังที่มาฉันและรับประทานอาหารที่ร้านนี้......

    หลวงตาหันมาแล้วยิ้มหัวเราะสวดมนต์กันจริงหรือเปล่า? ทำไม เรื่องแค่นี้ยังติด ที่มันทุกข์เพราะเราไปคาดหวังกับมัน คิดว่าสิ่งต่างๆต้องเป็นอย่างที่เราต้องการถ้าเราทำใจให้กลางๆมันก็จะทุกข์น้อยลง ทุกอย่างมาจากความหวังของเรา หวังมากก็ผิดหวังมาก หวังน้อยก็ผิดหวังน้อย แต่คนเราก็ต้องมีความหวัง อยู่ที่จะหาสมดุลของความเป็นกลางของจิตได้แค่ไหน
    ต่อจากนี้ไปจำไว้สวดมนต์เพื่อให้จิตเป็นกลาง

    ไม่ก่อเกิด แรงดึงทั้งความหวังและความไม่สมหวัง ให้ทุกกิจกรรมในชีวิตอยู่กับความเป็นกลางให้มากที่สุด ชีวิตก็จะทุกข์น้อยลงเอง ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ใช้ปัญญานำทาง อยู่ตามความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งก็จะเป็นธรรมชาติ

    หลวงตาหัวเราะ แล้วพูดว่า ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ลงมาแก้ตัวใหม่
    จะดูว่าจะผิดหวังไหมหรือว่าจะสมหวังล่ะ

    ถ้าอยู่กับความเป็นกลางจะกินอะไรที่ไหนมันก็เหมือนกันเพราะมันสักแต่ว่ากิน
    พวกเอ็งว่าจริงไหม? กลับไปสวดมนต์ดีกว่า สงสัยต้องเพิ่มรอบสวดล่ะ หลวงตาหัวเราะ ยิ้มอย่างมีสุข หลวงตาบอกทุกอย่างในชีวิตคือ ธรรม ธรรมชาติ ที่สอนให้เราเรียนรู้ นั่นเอง



    41450591_269722873867198_7915373664214712320_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ทำไมต้องรอ


    สิ่งหนึ่งที่คนเราหนีไม่พ้นในชีวิตนี้ คือความตาย
    ปัจจุบันเท่านั้นเป็นตัวกำหนดอนาคต ทำเช่นไรจึงได้เช่นนั้น

    "ตายแล้วไปไหน " ช่วงหน้าร้อนปี 53 หลวงตามีโอกาสไปร่วมในงานศพของญาติโยมคนนึงหลวงตาบอกว่าให้พิจารณา ในงานศพเราเห็นคนมาร่วมงานทุกคนร้องไห้เสียใจมีพิธีกรรมมากมายทั้งถวายสังฆทานสวดพระอภิธรรม
    พอเสร็จงาน บนรถขณะ กลับ หลวงตาถามว่าเห็นอะไรไหม ? พวกเอ็งว่าคนเราตายแล้วไปไหน ?และสิ่งที่เขาทำทั้งงานศพบุญนี้ส่งถึงเขาไหม? ถ้าเป็นพวกเอ็งจะรอ ให้ความตายกำหนดชีวิตเรา หรือเราเป็นคนกำหนดชีวิตหลังความตาย ทำไมเราต้องรอคนมาทำบุญให้เราในงานศพ ทุกลมหายใจเข้าออกนี่แหละมันคือบุญล้วนๆมันคือความไม่ประมาทถ้าคิดแล้วระลึกได้ปัญญามีจะเห็นคุณค่าของทุกนาทีที่มีในชีวิตจะมุ่งเน้นแต่ทำดีและไม่ทำชั่ว พัฒนาจิตใจ มันคือวิถีที่หลวงตาสอนมาตลอด ส.ส.บ สวดมนต์ แผ่เมตตาส่งวิญญาณ บันทึกบุญ ถ้าทำได้แค่นี้นี่แหละคือเรากำหนดชีวิตเราได้หลังความตายว่าตายแล้วจะไปไหนไม่ต้องมานั่งรอคนทำบุญเพราะเราสร้างบุญไว้ทุกๆนาทีที่เรามี เขาเรียกว่าไม่ประมาทของจริง เลือกเอาว่าจะไปเสี่ยงเอาในอนาคตตอนตาย หรือจะเอาปัจจุบันนี้ที่มั่นใจ มันง่ายๆอยู่แค่ว่าทำหรือไม่ทำ? ทำจริงหรือเปล่า? เกิดมาทำไมล่ะ ? ตายแล้วไปไหนล่ะ ?แค่นั้นเองอย่าลืมนะหัวใจของวัดเรา ส.ส.บ สวดมนต์ แผ่เมตตาส่งวิญญาณ บันทึกบุญ

    หลวงตาหันมาหัวเราะ ไม่ทำตอนนี้จะไปรอเอาตอนไหน ?



    41804960_273211273518358_1263615396078944256_n.jpg
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    คิดไกล

    มีพระสองรูปมากราบหลวงตา
    ท่าทางวรรณะดี พลังงาน ดีทั้งภายในและภายนอก

    ไม่เคยเห็นสองรุปนี้มาก่อน เพราะไม่ใช่พระที่วัด ท่านเข้ามาสนทนาหลายอย่าง ที่น่าสนใจคือท่านยังอายุไม่มาก แค่ยี่สิบปลายๆ แต่บวชมาหกพรรษาแล้ว จึงได้ร่วมวงสนทนาธรรม

    ท่านเล่าว่าชีวิตท่านครบถ้วนสมบรูณ์มาก ทั้งรุปร่างหน้าตาดี ครอบครัวและความรัก ที่บ้านมีฐานะดี ทุกอย่างในชีวิต สมบรุณ์หมด ทั้งการศึกษา ฐานะ ครอบครัว เลยถามคำถามว่า ในเมื่อชีวิตสมบรูณ์ขนาดนี้ แล้วมาบวชทำไม

    ใช่ หลวงตาพูดขึ้น หัวเราะ ถามมาบวชทำไมล่ะนี่แปปเดียวหกปีแล้วนะ

    พระท่านตอบมาชวนให้คิดว่า ได้มีโอกาสฟังหลวงตา เทศน์ เรื่องกำลังบุญ ทำให้ท่านคิดได้ว่าชาตินี้ตอนนี้ ท่านมาเสวยบุญมีทุกอย่างสมบรุณ์เพียบพร้อม แต่ท่านคิดได้ว่าสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าหลงกับสิ่งเหล่านี้และบุญหมด ท่านก็จะมีความสุขแค่ชาตินี้ และก็ต้องทุกข์ และชาติหน้าท่านจะเป็นเช่นไร
    ท่านคิดได้ว่าท่านเสพความสุขเสวยบุญมาขนาดนี้ ท่านพอล่ะ ท่านมาทำบุญต่อบุญ บวช สร้างกำลังภาวนา บุญส่งผลไปอีกหลายภพชาติ ท่านก็ไม่ต้องกลัวว่าบุญหมด ต้องลำบาก เพราะท่านสร้างบุญอย่างต่อเนื่อง ชาติหน้าท่านก็ยังอยู่บนกระแสบุญที่มี ปิดคำว่าลำบาก

    ท่านกล่าวว่านี่แหล่ะคือ การไม่ประมาทอย่างแท้จริง คิดไกลต่อไปหลายภพชาติ ไม่หลงและติดแค่บุญในชาตินี้ ติดบุญใช้จนหมด บุญหมดมันทุกนะโยมท่านพูด ถ้าคิดไกล ต่อบุญไปเรื่อยๆมีแต่พัฒนา เป็นการลงทุนที่สุดคุ้มค่า เพิ่มกำลัง จะมาเกิดก็ได้ ไม่มาเกิดก็ได้ เพราะมีกำลัง คนมีกำลังเท่านั้นที่กำหนดได้


    หลวงตาหัวเราะอย่างชื่นใจ จริง โมทนาด้วยคิดได้ก็ดี คิดแล้วทำมันก็เกิดขึ้นจริง คิดได้ไม่ทำมันก็แค่คิด





    โมทนาสาธุ เรื่องนี้ยกเป็นแนวทางการเลือกทางเดินชีวิตของคนที่เคยฟังธรรมจากหลวงตาเป็นการแชร์ประสบการณ์ทางธรรม และ ท่านทั้งหลาย คิดว่ายังไง จะใช้ชีวิตเช่นไร ?
     
  17. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581



    สวดมนต์ แผ่เมตตาส่งวิญญาณ บันทึกบุญ

    สวดมนต์ที่ไหน นึกถึงรูปลักษณ์ สถานที่แห่งนั้น โอปปาติกะที่นั้นเขาจะดึงจิตมาร่วมสวดมนต์โมทนาบุญกับเรา

    กระแสเมตตานานาชาติ

    7B916D91-8B96-47AA-90CA-4BA9B14F115E.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2018
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    เท่ากัน




    ภาวะที่เท่าเทียมกัน ศีลที่เท่าเทียมกัน แต่การกระทำที่ต่างกันทำให้เกิดผลที่ต่างกัน



    หลายปีก่อน หลวงตานั่งตอบคำถาม อยู่หน้าถ้ำ คำถามที่คนชอบถามมากคือ สวดมนต์ ศีลต่างกันจะเกิดผลต่างกันไหม? ระหว่างนักบวชกับคนธรรมดาถือศีลจำนวนต่างกัน

    หลวงตาหัวเราะ บอกว่า ลองหลับตาและสวดสิ เอ็งเห็น นักบวช เพศ หรือตัวเองไหม ตอนที่เราสวดมนต์ ทุกอย่างมันเท่าเทียมกันไม่มีเพศไม่มีวรรณะ ศีลทุกอย่างจะกี่ข้อก็เท่าเทียมกัน ไม่เชื่อลองทำสิตอนสวดทุกอย่างมันไม่มีอะไรเพราะเราปรุงแต่งไปเองจึงมี ทุกอย่างมันแค่ความคิด
    ถ้าแค่สวดเป็นทุกอย่างก็จะเป็นปกติเป็นความเท่าเทียมกัน สิ่งที่ต่างกันคือใครทำมากใครทำน้อยใครทำเกิดผลไม่เกิดผลขึ้นอยู่กับการวางจิตกับการสวด
    สวดให้เบาสวดให้สบายก็เห็นผลเร็ว สวดด้วยความคิด สวดแล้วหนักก็เห็นผลช้า ทุกอย่างมันเท่าเทียมกัน เป็นกฎธรรมชาติคือความยุติธรรมของกรรม กรรมที่ได้ทำมา ไม่ต้องกังวลเรื่องศีลสมาธิหรือปัญญา เพราะถ้าสวดไปเรื่อยๆทุกอย่างมันมาครบ ขอให้แค่สวด สวดให้เบาๆสวดให้สบายสบาย เพราะขณะที่สวด ถ้าเราสบาย จิตไม่เกิดอกุศล กายไม่เกิดวิบากกรรม ศีลก็บริบูรณ์เอง สมาธิมันก็จะตามมา ปัญญามันก็เกิด เห็นไหมล่ะครบทุกองประกอบของการภาวนา


    จำไว้นะขอแค่สวด เพราะยังได้สวด ถ้ามั่วสงสัยไม่ทำ ยังไงก็ไม่เกิดผล แต่ถ้าทำ ยังไงก็ยังมีผล

    หลวงตาชี้ไปที่นาฬิกา ได้เวลา สวดอีกแล้ว เห็นไหมล่ะที่นี่ สวดตลอด ต่อเนื่อง ยังไงเห็นผลแน่ๆ
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    แป๊บเดียว


    เวลาผ่านไปทุกวินาที วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ลมหายใจไหลผ่านกาย สิ่งต่างๆแปรเปลี่ยนสลายตามกาลเวลา เราทำอะไรอยู่ ? 1f31f.png อีกหนึ่งคำพูดที่หลวงตาชอบพูดบ่อย "ผ่านไปอีกวันแล้วแป๊บเดียว " ถ้าคนใกล้ตัวสังเกต หลวงตาจะชอบพูดคำนี้ประจำ หลวงตาบอกว่า ลองสังเกตดูสิ แป๊บเดียวก็เช้าแล้วจากเช้าผ่านไป ก็สาย จากสายผ่านไปก็เที่ยงจากเที่ยงผ่านไปก็บ่าย บ่ายแล้วก็เย็น เย็นแล้วก็ค่ำหมดไปอีก 1 วัน 1f601.png จะเอาอะไรกันมากกับชีวิต เวลาผ่านไปทุกลมหายใจ อยู่ที่ว่าเราสังเกตเห็นสิ่งนี้หรือเปล่า ? เข้าใจถึงเวลา ! ทำเวลาที่มีให้เกิดประโยชน์หรือเปล่า? ลองคิดพิจารณาดูเอาเองแล้วกัน 2b50.png ⭐ คนเรามีอยู่ 2 ประเภทคือ คิดได้ กับ คิดไม่ได้ ถ้าคิดได้ก็ดีโมทนาสาธุด้วย ถ้าคิดไม่ได้ก็เสียใจด้วยจริงๆก็ต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป 1f31f.png หลวงตาเน้นมากในการให้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ท่านบอกแค่เราสวดมนต์ก็ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลเป็นอะไรที่ทำได้ง่ายง่ายกว่าอย่างอื่นแล้ว หลวงตาถึงเลือกการสวดมนต์เป็นวิธีในการเผยแผ่ หลวงตา พูดไว้ให้น่าคิดว่า" เวลาของคนเท่ากันแต่คุณค่าของเวลาที่คนมีใช้ต่างกันอยู่ที่บุคคลนั้นๆจะทำให้เกิด " 1f33b.png ฝากไว้เป็นเรื่องให้คิดนะคะ 1f64f.png วันนี้ขอบพระคุณค่ะ 1f33b.png ขอบคุณทุกเวลาที่มีต่อกัน 1f33b.png ขอบคุณทุกความดีงามที่ทำให้เราได้มาเจอกัน 1f33b.png ขอบคุณหลวงปู่หลวงตาและสรรพสิ่งที่ยังคงทำให้มีเวลาเขียนบทความนี้ต่อไป ขอบพระคุณ ค่ะ


    ****************************


     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ผู้ให้กับผู้ขอ



    กระแสจากตัวเรา คือพลังงานที่สังเกตได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เราจึงเลือกได้ว่าอยากให้เรามีกระแสเช่นไร?
    หลายปีก่อน หลวงตาร้อยปะคำอยู่ในกุฏิ มีคนมาเยี่ยมหามากมาย ทั้งคนที่นำของมาถวาย และคนที่มาขอให้ช่วย ขอของขอพระ

    ตลอดระยะเวลาที่ติดตามหลวงตามา ไม่เคยเห็นหลวงตาเป็นผู้ขอผู้ใด อดไม่ได้เพราะว่า เห็นหลายคนมาขอให้หลวงตามากมายทั้งขอเงินมาขอพระ จึงถามว่าทำไมหลวงตาไม่ขอคนอื่นให้ช่วยบ้าง ?
    หลวงตายิ้มและพูดว่า " ทําไม่ลง " ขอใครไม่เป็น นึกถึงสิอารมณ์ตอนคนมาขอเราเนี่ย ! มันอึดอัดนะ ! คนที่มาขอ ชอบขอคนอื่น นึกถึงความรู้สึกสิ ใครเขาเจอเขาก็อึดอัดไม่อยากอยู่ใกล้
    พวกเอ็งว่าจริงไหม ? กับ คนที่เป็นผู้ให้ไปที่ไหนใครก็รักใครก็อยากอยู่ใกล้ มันคือกระแสที่ออกมาจากภายใน ออกมาเป็นพฤติกรรมหรือว่านิสัยภายนอกทำให้เห็นถึง การดำเนินชีวิต คนที่เป็นคนชอบขอคนอื่นไปไหนชีวิตก็มีแต่ความอึดอัดไม่คล่องตัว แต่ถ้าคนที่เป็นผู้ให้ไปที่ไหนใครก็ต้อนรับมีแต่ความคล่องตัวเอง หลวงตาชี้ไปที่กลุ่มคน สังเกตดูสองคนนั่นสิ ง่ายๆคนหนึ่ง ไปเจอใคร ก็ขอพระเค้าไปหมดในวัดนี้ทั้งๆที่ตัวเองมีพระเก็บไว้มากมายแต่ไม่เคยให้ใคร เจอหน้าใครก็ขออย่างเดียว แต่อีกคนหนึ่งที่คนรุมทักสวัสดียิ้มแล้วถามว่าวันนี้มีอะไรมาแจก คนนั้นเขาไม่เคยเก็บพระไว้เลยเจอใครก็แจกของที่มีให้หมด
    เอ็งว่าคนแบบไหนคนจะรักและยินดีมากกว่ากัน การให้นี่แหละคือการที่รู้จัก สละ ลดละอัตตา ความอยากได้อยากเป็นอยากมี ของตน มีของดีพระเยอะขนาดไหนตายไปก็เอาไปไม่ได้สักชิ้นเดียวแล้วเราจะเก็บมันไว้ทำไมตั้งเยอะแยะ? เอาไปแจกทำประโยชน์แก่คนอื่น ดีกว่าเราเก็บสะสมไว้ ตายไป จิตมาติดกับของไปเกิดไม่ได้อีกกลายเป็นผีเฝ้าของตัวเองห่วงสมบัติ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะเห็นกันมาเยอะ ลองไปคิดพิจารณาดูชีวิตเราเลือกได้จะให้กระแสจากตัวเองออกมาเป็นเช่นไร ? ให้คนรัก ยิ้มให้ หรือคนเบือนหน้าเมื่อเห็นหน้าเรา ขึ้นอยู่กับกระแสภายในของเราว่าเป็นผู้ให้หรือเป็นผู้รับ 1f506.png นี่แหละชีวิตเขาถึงบอกว่าเราเป็นคนกำหนดเอง ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากตัวเราเองเท่านั้น 1f506.png กรรมจากตนเองทั้งนั้น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...