:ยอดโหราจารย์แห่งท้องสนามหลวง:

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 5 พฤษภาคม 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย เรืองวิทยาคม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>ผู้จัดการออนไลน์</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=337 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=337>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ยอดโหราจารย์แห่งท้องสนามหลวง

    ผมเคยถามหมอปานตรงๆ ว่าความรู้ทางพระก็มาก ความรู้ทางโหรก็ลึก เหมือนหนึ่งจะรู้การในอนาคต แล้วไฉนเล่าจึงมาตกระกำลำบาก ต้องอาศัยวัดนอน อาศัยข้าวพระกินอยู่ฉะนี้ และเพราะความที่สนิทคุ้นเคยกันแล้วผมจึงเย้าแหย่หมอปานว่าชีวิตของหมอปานกำลังเข้าตำราที่ว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดหรืออย่างไร

    แม้หมอปานจะรู้ว่าผมเย้าแหย่หนักไปสักหน่อย แต่ก็มิได้ถือสาหาความแต่ประการใด หมอปานหัวเราะเสียงดัง หึ หึ ในลำคอแล้วกล่าวว่าก็นี่ไงหละพรหมลิขิต “ตัวเรา” รู้อนาคตของเราว่าต้องเป็นเช่นนี้ ตัวเราจึงได้ทำตัวให้สอดคล้องคล้อยตามพรหมลิขิตเพราะจะเป็นมงคลกับตัว

    หมอปานนิยมเรียกตัวเองว่าตัวเราแทนที่จะเรียกว่าฉัน ผม หรือ กู ตามคำไทยแท้ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นความขัดเขินของคนบวชนาน เพราะตอนเป็นพระเรียกตัวเองว่าอาตมา พอสึกออกมาจะกล่าวถึงตัวเองก็ตะขิดตะขวง จึงพาลใช้คำว่าตัวเราแทน

    หมอปานบอกว่าคนเราเกิดมาล้วนถูกลิขิตวิถีชีวิตไว้อย่างแน่นอนแล้ว ทางพุทธศาสนาเรียกสิ่งซึ่งลิขิตดังกล่าวนี้ว่ากรรม หมอปานอ้างว่าความเป็นไปของคนเราในชาติปัจจุบันเป็นผลมาจากกรรมเก่าซึ่งได้กระทำมาแต่ชาติก่อน กรรมที่ทำไว้ในชาตินี้จะไปได้รับผลกรรมในชาติหน้า เว้นแต่เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็อาจจะทำกรรม ดีแก้ไขให้บางเบาไปได้ หรือกรณีที่เป็นเรื่องร้ายแรง ผลของกรรมก็ให้ผลเร็ว ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า

    ครั้งนั้นผมได้แย้งหมอปานว่าหากชีวิตคนเราถูกลิขิตไว้อย่างแน่นอนแล้วจะเรียนวิชาหมอดูกันไปทำไม หรือจะดูหมอกันไปทำไม เพราะถึงอย่างไรก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เนื่องจากจะต้องเป็นไปตามที่ถูกลิขิตไว้นั้น

    หมอปานได้แก้ว่าเพราะชีวิตถูกลิขิตไว้แน่นอนแล้วนี่เองจึงจำเป็นที่จะต้องรู้และต้องเรียนเรื่องหมอดู เพราะลิขิตนั้นใช่ว่าจะผ่อนหนักผ่อนเบาไม่ได้เลย หมอปานได้เปรียบเทียบว่าชีวิตที่ถูกลิขิตมาก็เหมือนกับแผนที่ของชีวิตว่าจะเดินทางไปทางไหน จะประสบพบเห็นอะไรบ้าง การเรียนการรู้เรื่องหมอดูนั้นก็เพื่อรู้เพื่อทราบถึงแผนที่ของชีวิตจึงมีประโยชน์มาก

    หมอปานกล่าวต่อไปว่าเมื่อเรารู้และเข้าใจเส้นทางของชีวิตตามแผนที่ซึ่งถูกลิขิตมาแล้ว เมื่อเห็นว่าข้างหน้าตรงไหนมีขวาก มีหนาม มีหลุม มีบ่อก็หลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงเสียแต่เนิ่นๆ ก็จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับขวากหนามและหลุมบ่อนั้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีความรุ่งโรจน์สดใสสวยงามมั่งคั่งประการใดก็จะได้เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเกาะกุมโอกาสที่จะมาถึง ซึ่งจะทำให้มีความพร้อมและไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป นี่ก็เป็นประโยชน์ใหญ่อีก

    ผมก็ยังท้วงต่อไปว่าถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่ากฎแห่งกรรมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ เพราะเมื่อเห็นอุปสรรคทุกข์ร้อนอยู่ข้างหน้าก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเห็นความสุขสมหวังอยู่เบื้องหน้าก็สามารถเกาะกุมช่วงชิงเอาได้อย่างเต็มที่เกินกว่าที่พึงเป็น เช่นนี้แล้วกฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนาจะเป็นจริงได้อย่างไร

    คราวนี้หมอปานอ้างความรู้ในพระพุทธศาสนามาโต้ว่าพระบาลีมีมาว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ทำกรรมอันใดไว้ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ทำกรรมดีก็ต้องได้รับผลดี ทำกรรมชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว

    แล้วกล่าวว่าเมื่อรู้เห็นเส้นทางข้างหน้าว่าเป็นประการใดแล้ว หลบหลีกเสียก็ดี เกาะกุมโอกาสให้พร้อมเพื่อให้ถึงซึ่งประโยชน์อย่างเต็มที่ก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำกรรมทั้งสิ้น หากเป็นการกระทำกรรมดีก็ต้องได้รับผลดี หากทำกรรมไม่ดีก็ได้รับผลไม่ดี และนี่ก็คือกฎแห่งกรรม ดังนั้นการเรียนการรู้เรื่องหมอดูจึงเป็นทางให้คนละเว้นกรรมชั่ว หันมาทำแต่กรรมดี

    ผมได้ฟังเหตุผลประการนี้ก็เห็นเข้าท่าและสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังคงแกล้งแย้งหมอปานต่อไปว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าบุญทำกรรมแต่งนั้นไม่ต้องรอผลชาติหน้าดังที่หมอปานกล่าวมาตั้งแต่ต้นเพราะสามารถเห็นผลและรับผลในชาตินี

    มาถึงตรงนี้หมอปานออกอาการอึกอักเพราะรู้ว่าผมขัดคอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความที่เคยเป็นพระมานาน คุ้นเคยกับเรื่องหลักธรรมคำสอน เมื่อถูกโต้ถูกแย้งในเรื่องที่เคยเล่าเรียนคุ้นเคยเป็นอย่างดีมาแต่ก่อน หมอปานก็มิได้ขุ่นเคือง กลับกระตือรือร้นที่จะตอบโต้มากขึ้น

    แล้วหมอปานก็ว่ากรรมมีวิบาก บุญมีอานิสงส์ ทั้งวิบากและอานิสงส์ส่งผลทั้งชาตินี้และชาติหน้า เหมือนกับการฝากเงินไว้กับธนาคาร มีระยะการฝากที่แน่นอนหนึ่งๆ เงินฝาก 3 เดือนเมื่อครบ 3 เดือนก็ถอนได้ เงินฝาก 6 เดือนเมื่อครบ 6 เดือนก็ถอนได้ ส่วนเงินฝาก 1 ปี 2 ปี 3 ปี จะถอนได้ก็ต่อเมื่อครบกำหนดซึ่งไม่เท่ากัน วิบากและอานิสงส์ก็มีระยะให้ผลไม่เหมือนกัน บางอย่างให้ผลเร็วประสบพบได้ในชาตินี้ บางอย่างให้ผลช้า อาจไม่ทันในชาตินี้ ก็ต้องไปรับกันในชาติหน้า

    ผมฟังคำหมอปานแล้วออกจะขัดๆ เขินๆ และสงสัยว่ากฎแห่งกรรมตามความเข้าใจของหมอปานจะถูกตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนหรือ เพราะถ้าเป็นดังที่หมอปานว่าเกิดมาชาตินี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำกรรมดีก็ไม่รู้ว่ากรรมดีอันไหนที่จะได้ผลในชาตินี้ อย่างไหนจะได้ผลในชาติหน้า ทำกรรมชั่วก็ไม่รู้ว่ากรรมชั่วอย่างไหนที่จะได้ผลในชาตินี้ อย่างไหนจะได้ผลในชาติหน้า กลายเป็นว่าผลของกรรมดีกรรมชั่วออกจะมีความเสี่ยงว่าจะให้ผลเมื่อใด และเมื่อไม่รู้ว่าจะเกิดผลเมื่อใดแล้วก็อาจทำให้คนไม่กลัวบาปและไม่อยากทำความดี

    เพราะไม่ว่าทำกรรมดีหรือทำกรรมชั่วก็ไม่รู้ว่าจะได้รับผลหรือไม่เมื่อใด จะไปรอผลในชาติหน้าก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่ และจะได้รับผลจริงหรือไม่ประการใด แต่ผมยังเป็นเด็กวัดน้อยๆ จึงได้แต่เก็บความสงสัยในเรื่องนี้ไว้ในใจ และไม่อยากจะโต้เถียงเรื่องนี้กับหมอปาน สู้หาเรื่องที่ถูกคอมาว่ากล่าวกันเพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ไม่ได้

    การสนทนาในเชิงธรรมกับหมอปานครั้งนี้แม้ผมจะเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง ทักท้วงบ้าง แต่ก็ทำให้หมอปานรู้สึกประหลาดใจว่าเด็กวัดน้อยผู้นี้ไฉนจึงรู้จักตั้งคำถาม รู้จักทักท้วงในเรื่องราวอันค่อนข้างจะลึกในพระศาสนา จึงทำให้หมอปานรู้สึกรักใคร่ชอบพอผมมากขึ้นไปอีก

    ผลของการสนทนาในเชิงธรรมนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าบุญกรรมนั้นมีผลจริงแท้ บุญมีอานิสงส์แน่ กรรมมีวิบากแน่ เป็นแต่ว่าอานิสงส์ของบุญและวิบากของกรรมจะให้ผลเมื่อใดเท่านั้น ทำให้ผมสิ้นสงสัยในการให้ผลของบุญและบาปตั้งแต่บัดนั้น

    ต่อมาภายหลังจึงค่อยๆ เข้าใจว่าบุญและบาปนั้นแม้ว่าจะปรากฏต่อภายนอกโดยทางกายทางวาจาอย่างชัดเจน แต่เนื้อแท้แล้วเกิดขึ้นและตั้งอยู่ที่จิต ดังที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสสอนว่าจิตนี้เป็นประธาน จึงต้องฝึกฝนอบรมจิต เมื่อจิตเป็นกุศลการกระทำบาปโดยกาย วาจา ใจ ก็จะไม่เกิดขึ้น จิตจึงเป็นต้นน้ำของศีลหรือเป็นต้นตอของศีล การอบรมจิตให้ยึดมั่นอยู่ในศีลจึงเป็นการถือศีลแท้ และได้รับอานิสงส์ของศีลอย่างเต็มเปี่ยม

    ในกรณีที่ได้สร้างบุญสร้างกรรมประการใดจิตก็จะเป็นตัวรับรู้และรับผลของบุญกรรมนั้นก่อนเพื่อน ผลบุญจะทำให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน ผลของบาปจะทำให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมอง นี่ก็เป็นเรื่องการสนองของอานิสงส์ของบุญและวิบากของกรรมแล้ว

    ผมพอจะมีพื้นความรู้เรื่องหมอดูมาแต่ก่อน เพราะเกิดมาแต่น้อยอยู่กับก๋งซึ่งมีเชื้อสายมาจากซินแสใหญ่ มีความรู้ในการอากาศและกระแสน้ำ มีความรู้ในฤดูกาลและฤกษ์ผานาที ทั้งคัมภีร์พยากรณ์ฝ่ายจีนและพม่า ตั้งแต่น้อยก๋งได้เพียรสอนความรู้พวกนี้ ซึ่งผมมีอัธยาศัยรักที่จะศึกษาในวิชาแปลกๆ ดังนั้นจึงได้ซึมซับพื้นฐานความรู้มาตั้งแต่น้อยโดยไม่รู้สึกตัว แม้ว่าสิ่งที่ก๋งสอนแต่ครั้งยังน้อยนั้นผมได้แต่ฟังผิวๆ เผินๆ ผ่านๆ ไปเพื่อมิให้ขัดใจก๋งเท่านั้น

    ด้วยพื้นความรู้เช่นนี้ผมจึงสามารถสนทนากับหมอปานได้อย่างถูกคอและดูเหมือนว่าหมอปานจะชอบสนทนากันด้วยเรื่องหมอดูมากกว่าที่จะสนทนากันด้วยเรื่องพระปริยัติธรรม

    เมื่อถูกคอกันเช่นนี้ ในตอนกลางคืนหลังจากเสร็จกิจธุระรับใช้พระแล้วผมจึงรักที่จะสนทนากับหมอปาน ว่ากันตั้งแต่เรื่องลายมือ ไพ่ยิปซี ไพ่ป๊อก เซียมซี ไก่จิก ทอดเต๋า เรื่อยเปื่อยไปจนถึงเรื่องเลขเจ็ดตัว เลขสิบสองตัว ซึ่งหมอปานก็สอบทานอธิบายให้ได้รู้ได้เข้าใจ ซึ่งเท่ากับเป็นการขยายพื้นฐานความรู้ที่เคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้นั่นเอง

    หนักเข้าหมอปานได้ชวนผมให้ย้ายขึ้นมาจากห้องฉันด้านล่างมานอนด้วยกันที่ห้องเก็บของ ทุกคืนก็สนทนากันด้วยเรื่องหมอดู และนับวันก็ยกระดับความรู้ความเข้าใจสูงขึ้นไปโดยลำดับ ไปจนถึงคัมภีร์สุริยะยาตรและคัมภีร์พยากรณ์ต่างๆ

    หมอปานเห็นผมชอบและเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายจึงชอบที่จะแนะนำสั่งสอนความรู้ภาคพยากรณ์ที่สูงขึ้น ทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนรู้ภาคภูมิดล ซึ่งเป็นภาคพื้นพิภพอันประกอบด้วยความรู้จากคัมภีร์ทักษาเป็นหลัก ได้มีโอกาสเรียนรู้ภาคนพดลซึ่งเป็นภาคโคจรของนพเคราะห์ ทั้งที่ปกติและวิปริตดังที่คัมภีร์จักรทีปนีเรียกว่า “พักตร์เสริดและมนต์มี วิสมห้าประการกล” จากนั้นหมอปานก็สอนให้เรียนเกี่ยวกับธาตุของพระเคราะห์และจักรราศี ตลอดจนภาคพยากรณ์ตามคัมภีร์ต่างๆ รวมทั้งเคล็ดจากประสบการณ์อันยาวนานของชีวิตร่วมหกสิบปีของหมอปานเอง

    ผมสำนักอยู่กับหมอปานอย่างใกล้ชิดในสามฐานะ คือฐานะที่เป็นศิษย์วัดด้วยกันอย่างหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเสมือนญาติเพราะเป็นคนบ้านเดียวกันอย่างหนึ่ง และในฐานะที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องทำพิธีใดๆ คือศิษย์กับครูในวิชาหมอดู

    ผมจึงได้รู้แต่บัดนั้นว่าการจะเป็นหมอดูที่รู้การข้างพยากรณ์แม่นยำจะต้องประกอบด้วยความรู้ครบถ้วนทั้งสามภาค คือภาคภูมิดลอันเป็นปูมกำเนิดของเจ้าชะตาธาตุประจำตัวอันเป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่สำคัญของเจ้าชะตาอย่างหนึ่ง คือภาคนพดลอันเป็นวิถีโคจรของนพเคราะห์ที่โคจรเป็นธรรมชาติอยู่ในนภากาศอันไกลโพ้นโน้นอย่างหนึ่ง และคือภาคพยากรณ์อันกล่าวถึงมูลเหตุปัจจัยของความเป็นมิตร ความเป็นศัตรู เหตุแห่งการให้คุณ เหตุแห่งการให้โทษ ลักษณะคุณโทษและวิถีความเป็นไปทั้งมวลที่เป็นไปกับเจ้าชะตาและที่จะบังเกิดขึ้นในห้วงกาลเวลาอนาคตอีกอย่างหนึ่ง

    มาตรแม้นรอบรู้ไม่ถ้วนทั่วลึกซึ้งถึงความรู้ทั้งสามประการนี้ก็ไม่อาจนับว่าเป็นหมอดูที่ดีได้เลย จะเป็นได้ก็แต่หมอเดาหรือนักปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคล้ายจะจริง คล้ายจะเหมือน และสบายใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

    พอนานวันเข้าหมอปานก็สอนเรื่องการพยากรณ์ดวงเมืองเพื่อล่วงรู้ถึงสมบัติและวิบัติ ล่วงรู้ถึงโอกาสและวิกฤตที่จะพึงเป็นไปในบ้านเมือง ตลอดจนฤกษ์ผานาทีสำหรับการบ้านเมืองในเรื่องต่างๆ ที่น่าแปลกใจก็คือในเรื่องการบ้านเมืองนั้นหมอปานได้ให้ความสำคัญกับคัมภีร์พรหมชาติซึ่งถ้าหากดูผิวเผินแล้วก็จะเห็นว่าเป็นแค่ตำราหมอดูแบบชาวบ้าน

    แต่หมอปานก็บอกว่าคัมภีร์พรหมชาติเป็นคัมภีร์เก่าแก่มาแต่โบราณ มีมานานกว่าคัมภีร์พยากรณ์ใดๆ รากฐานของคัมภีร์พรหมชาติมีอยู่สองเรื่อง คือเรื่องของคนและเรื่องบ้านเมือง เฉพาะเรื่องบ้านเมืองนั้นเน้นหนักไปในเรื่องเหตุการณ์ทั่วไปที่จะเป็นไปในแผ่นดิน ซึ่งหมอปานบอกว่ามีหลักอยู่ที่การพยากรณ์สงกรานต์ ให้ใส่ใจตรงจุดพยากรณ์นี้ให้จงดี ก็จะหยั่งการเป็นไปในบ้านเมืองได้โดยตลอด

    ผมได้ทดลองตรวจสอบดูผลพยากรณ์สงกรานต์มาหลายสิบปี โดยอาศัยคัมภีร์พรหมชาตินี่แหละเป็นหลักก็ประจักษ์ว่ามีความถูกต้องมีความแม่นยำเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนบ้างมักจะเป็นเรื่องของการแปลความหรือตีความของเกณฑ์ต่างๆ ครั้นเมื่อเข้าใจกฎเกณฑ์และเคล็ดในการผสมผสานคำพยากรณ์เกณฑ์ต่างๆ เป็นอย่างดีแล้วก็มีความแม่นยำและถูกต้องมากขึ้น

    ในเรื่องของการพยากรณ์ดวงเมืองและเหตุการณ์บ้านเมืองนั้นหมอปานได้เตือนว่าอย่าไปริอ่านคำนวณฤกษ์ปฏิวัติรัฐประหารเข้าเป็นอันขาด จากการศึกษาเล่าเรียนและประสบการณ์ของหมอปานเองได้พบว่าน้อยคนนักที่ริอ่านคำนวณฤกษ์ปฏิวัติรัฐประหารจะได้ดี ส่วนใหญ่มักจะประสบเหตุเภทภัย

    หมอปานบอกว่าเหตุทั้งนี้เนื่องจากการบ้านเมืองเป็นเรื่องวิถีของฟ้า หาใช่ที่คนสามัญจะไปเปิดเผยความลับของฟ้าให้ประจักษ์ ใครฝ่าฝืนก็ต้องรับโทษทัณฑ์จากสรวงสวรรค์


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...