เรื่องเด่น วิชาราชสีห์คำรณ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 เมษายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,356
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,464
    ?temp_hash=4cc6a425446b2d7a955e4b862637ae75.jpg

    วิชาราชสีห์คำรณ

    ถ้าใครอ่านเป็นแฟนกิมย้งจะรู้ว่าในนิยายกำลังภายในของเขามีวรยุทธ์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ราชสีห์คำรามของราชสีห์ขนทองเจี่ยซุ่นในดาบมังกรหยก ในยิ้มเย้ยยุทธจักรมีวิชาวัชรฌานราชสีห์คำรามของไต้ซือฟางเจิ้น เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นนิยาย แต่ผมสนใจว่าพวกวิชา "สีหนาทบันลือ" เหล่านี้น่าจะมีมูล แต่ไม่เชิงเป็นกำลังภายใน น่าจะเป็น อภิญญาประเภทหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรม
    กิมย้งสนใจพุทธศาสนาอย่างมากและคำว่า "สีหนาทบันลือ" ก็เป็นศัพท์ในพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทปรากฏใช้คำๆ นี้บ่อยครั้งมาก การบันลือสีหนาทคือการประกาศความจริงอย่างไม่เกรงกลัว คือการประกาศธรรมที่เป็นสัจจะนั่นเองโดยมั่นใจว่าจะไม่ใครจะมาหักล้างความจริงนี้ได้

    ผู้ที่บันลือสีหนาทบ่อยครั้งคือพระพุทธเจ้า ด้วยทรงประกาศแต่ความจริงอันไม่หวั่นไหวสั่นคลอน แต่พระสาวกก็บันลือได้เช่นกัน เช่น พระบิณโฑลภารทวาชะในวันบรรลุพระอรหัต ท่านบันลือไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมว่า "ท่านผู้ใดมีความสงสัยในมรรคหรือผล ท่านผู้นั้นจงถามเรา!" นั่นคือท้าว่าใครสงสัยว่าเราไม่บรรลุธรรมก็เข้ามาซักถามได้เลย

    สีหนาทบันลือในทางพุทธศาสนาจึงหมายถึงการประกาศอย่างกล้าหาญดังนี้ เหมือนจะไม่ได้แสดงพลังวัตรอะไร แต่ในเมืองจีนมีการแสดงสีหนาทบันลือที่เหมือนแฝงด้วยพลังลมปราณจริงๆ อยู่เหมือนกัน เมื่อเปล่งออกมาแล้วคนที่โดนจะมีอาการแบบจังงังทำอะไรไม่เป็นเหมือนกัน

    เช่น สมัยราชวงศ์ถังท่านไต้ซือไป่จ้างถูกอาจารย์ของท่านคือไต้ซือม๋าจู่ตะโกนสีหนาท (獅子吼) เข้าใส่ถึงกับหูดับไปนานสามวัน ครั้นผ่านไปสามวันท่านจึงรู้แจ้งฉับพลัน แล้วแสดงพลังราชสีห์คำรณดังกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ

    ท่านไป่จ้างและท่านม๋าจู่เป็นบูรพาจารย์นิกายเซ็น หากใครสนใจนิกายเซ็นคงทราบว่าการถ่ายทอดมุทราจิต (心印) คือการส่งธรรมจากจิตสู่จิตนั้นบางครั้งอาศัยวิธีการที่แปลกพิสดารไม่อาจอธิบายได้ คือ เป็นปัจจัตตังแบบที่อาจารย์จะตะคอกศิษย์แบบนี้
    ในยุคอู่ไต้ต่อจากราชวงศ์ถัง มีท่านไต้ซือหลินจี้นิยมปลุกจิตศิษย์ให้ตื่นด้วยวิธีตะโกนเฮ้ย หรือ "เฮ่อ" (喝) การตะโกนเฮ้ยของท่านหลินจี้มี 4 วิธีปรากฎใน "บันทึกหลินจี้้" ว่า

    พระอาจารย์ (หลินจี้) ถามภิกษุรูปหนึ่งว่า "บางครั้งร้องเฮ้ยเหมือนรัตนะขรรค์แห่งวัชรเทวะ บางครั้งร้องเฮ้ยเหมือนราชสีห์ขนทอง บางครั้งร้องเฮ้ยเหมือนใช้ปลายหญ้าเป็นเหยื่อล่อปลา บางครั้งร้อยเฮ้ยก็เหมือนไม่ร้องเฮ้ย เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?"

    ภิกษุรูปนั้นลังเล พระอาจารย์จึงร้องเฮ้ย! เราจะเห็นได้ว่าการทำสีหนาทคำรณในนิกายเซ็นเป็นการส่งทอดธรรมจากจิตสู่จิตที่รู้กันระหว่างอาจารย์กับศิษย์

    วิธีนี้เรียกว่า "คลังพระสัทธรรมจักษุ" (正法眼藏) บางคนแปลว่าคำสอนของนิกายฉานที่อยู่นอกเหนือคำพูดและตัวอักษร หมายถึงตราประทับหัวใจคือมุทราแห่งจิตหรือตราประทับแห่งจิตที่สืบทอดและส่งมอบโดยบูรพาจารย์นิกายเซ็น ส่งทอดจากพระศากยมุนีพุทธเจ้ามาถึงพระโพธิธรรมหรือตั๊กม๊อ

    ส่วนใหญ่การคำรณจะทำให้เกิดอาการจังงังเหมือนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก อาการแบบนี้ในพระไตรปิฎกพรรณนาว่าถ้าบางคนกล้าไปทำบันลือสีหนาทเข้าแต่เป็นพวกรู้ไม่จริงก็จะเจอสวนจนไปไม่เป็น มีอาการประหนึ่ง "ลิงตกไปในยางเหนียว"

    เช่น ครั้งหนึ่งไต้ซือหลินจี้รับคำสั่งจากอาจารย์ท่านคือไต้ซือหวงปั้ว (หรือท่านฮวงโป) ให้ไปช่วยไต้ซือจิงซานอบรมศิษย์ เพราะมีพระถึง 500 รูปมาขอเรียนกับท่าน แต่เอาเข้าจริงเรียนกันไม่กี่คน

    ไต้ซือหลินจี้ไปถึงแล้วก็ดิ่งไปที่หอแสดงธรรมพบกับไต้ซือจิงซาน เมื่อไต้ซือจิงซานเงยหน้าขึ้น ไต้ซือหลิ่นจี้ก็ร้องตะโกน "เฮ้ย" แล้วหันหลังออกไป หนึ่งในศิษย์เห็นดังนั้นจึงออกมาถามว่าพระหนุ่มรูปนั้นกล่าวอะไรกับอาจารย์ ไฉนจึงกล้าทำมหาคำรณใส่ท่าน ท่านบอกว่านั่นเป็นศิษย์ของไต้ซือฮวงปั้ว เจ้าอยากรู้ก็ไปถามเขาเองสิ

    พระรูปนั้นตอบว่า "พวกศิษย์ไม่รู้จะถามอย่างไร?"
    ท่านตอบว่า "พวกเจ้าทำมหาคำรณไม่เป็นหรือ?"
    พวกศิษย์บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "ง่ายแสนง่าย!"
    ไต้ซือจิงซานจึงร้องตะโกนมหาคำรณครั้งหนึ่ง แล้วถามว่า "คำรณของข้านี้หมายความว่าอย่างไร?"
    พวกศิษย์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะตอบอย่างไร

    ไต้ซือจิงซานจึงตอบว่า "คำรณนี้ ขึ้นถึงสวรรค์วิมาน ลงดิ่งสำนักพญายม แผ่จรดทั่วมุมฟ้า ทะยานไปทั้งทศทิศ พวกเจ้านักศึกษาทั้งห้าร้อย เกือบทั้งสิ้นไร้วินัยไม่เอาถ่าน เหมือนหนวกใบ้ก็ไม่ปาน จะเข้าใจบันลือของราชสีห์ได้อย่างไร?"

    บางครั้งสีหนาทคำรณใช้เป็นวิชาฝ่ายบู๊ได้เหมือนกัน ไม่ได้มีแค่ในนิยาย เมื่อห้าสิบปีก่อนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม พวกเรดการ์ดบังคับพระเณรให้พ้นวัดไปทำงานอย่างฆราวาส ไต้ซือถี่กวงท่านเป็นบรรพชิตผู้มีวรยุทธ์รูปหนึ่งถูกบังคับให้ไปดูแลไร่แตงโม ในช่วงนั้นมีพวกอันธพาลประมาณ 20 กว่าคนมาขโมยแตงโมในไร่ ไต้ซือถี่กวงท่านเห็นเข้าจึงตะโกนว่า "หยุด!" พวกนั้นก็จังงังขยับตัวไม่ได้ ผ่านไปสองสามนาทีพวกอันธพาลจึงขยับตัวเผ่นกันคนละทิศละทาง นับแต่นั้นไม่มีใครกล้ามาตอแยอีก

    ถามว่าทำไมเก่งกาจขนาดนั้นถึงไม่สู้พวกเรดการ์ดไปเลย? ตอบว่าบางเรื่องเป็นเวรกรรมแต่ก่อนไม่อาจฝืนได้ แม้บางอย่างจะแก้ไขได้แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง เช่น ไต้ซือถี่กวงนั้นท่านทราบล่วงหน้าว่าจะมีการทำลายล้างจากน้ำมือพวกเรดการ์ดจึงสั่งนำพระสูตรไปเก็บซ่อนไว้ในที่ลี้ลับบนภูเขา จึงพ้นจากการทำลายของอันธพาลไปได้ แต่ตัวท่านนั้นยังคงถูกวิบากกรรมของการปฏิวัติวัฒนธรรม

    ไต้ซือถี่กวงนั้นถึงมีวรยุทธ์แต่วันๆ ท่านปฏิบัติแต่ฌาน (เซ็น) แต่บางครั้งแสดงเรื่องเหลือเชื่อออกมาให้เห็น เช่น ลูกศิษย์เห็นท่านตกลงมาจากหลังคา ไม่ใช่หล่นโครมแต่เหมือนโรยลงราวกับมีวิชาตัวเบา พอตกพื้นแล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินปกติ แสดงถึงการผสมผสานระหว่างวรยุทธ์กับธรรมะอย่างกลมกลืน

    ไต้ซือถี่กวงท่านเคยไปฝึกวรยุทธ์เส้าหลินมาก่อน แต่ท่านบอกว่าวรยุทธ์เส้าหลินนั้นเปล่าเปลือง ของจริงของเส้าหลินคือการปฏิบัติธรรม

    แต่บางครั้งหากมีมารผจญก็ต้องใช้บู๊นำบุ๋น เช่นครั้งหนึ่งมีพระเส้าหลินไม่รักษาวินัยไปก่อกวนที่วัดของท่าน พระนักเลง 6 คนรุมท่านตัวคนเดียวตอนนั้นท่านอายุ 70 กว่าปีแล้ว ปรากฎว่าทั้ง 6 ถูกโยนออกจากประตูวัดจนหมด

    อวตัมฺสกสูตรของฝ่ายมหายานกล่าวว่า "โพธิสัตว์ มหาสัตว์มีสีหนาทสิบประการ" พระฝ่ายมหายานนั้นท่านบำเพ็ญโพธิสัตวจรรยา ดังนั้นจึงแสดงสีหนาทหลากหลายแบบทั้งแบบเอาให้หูหนวกหรือแบบจังงังขยับไม่ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เพื่อโปรดสัตว์และปราบมาร เป็นพลังสีหนาทหนึ่งในสิบประการนั่นเอง

    ในอรรถกถาอมิตาภะสูตรกล่าวว่า "ยามราชสีห์คำรณ สัตว์ดุร้ายล้วนด่าวดิ้น อุปมาพระพุทธะแสดงธรรม มารเดียรถีย์จักพินาศไป"
    (ภาพประกอบคือไต้ซือถี่กวง)
    ******************************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...