หยั่งรู้ฟ้าดิน

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 16 มีนาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    [​IMG]ฮวยจุ้ย ศาสตร์จีนโบราณที่ถูกสั่งสมมาหลายพันปีจนหล่อหลอมเป็นปัญญาแห่งตะวันออกที่ปรากฏตัวขึ้นก่อนแอปเปิลจะหล่นใส่หัวเซอร์ ไอแซค นิวตัน และค้นพบเรื่องแรงดึงดูดของโลกและดาวเคราะห์

    ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวยจุ้ย มีคำอธิบายที่ทำให้ศาสตร์โบราณยืนอยู่ฝั่งเดียวกับวิทยาศาสตร์ ปองพล สารสมัคร รายงาน
    ทำไมในหลายครั้งๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ถึงบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามจากผู้สื่อข่าว และมักได้ยินนายกฯ อ้างถึงดาวพุธเสมอ จนหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในระยะหนึ่ง
    แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ได้ยอมรับออกมาตรงๆ ว่าเป็นคนเชื่อเรื่องโชคชะตาราศี แต่บ่อยครั้งที่ผู้สื่อข่าวจะได้ยินรักษาการนายกรัฐมนตรีพูดในทำนองว่า "ตอนนี้ดาวเสาร์อยู่ในราศีกรกฎ เสาร์ทับพอดี ผมดวงจันทร์ ดวงพุธ และสุริยา แต่เสาร์ทับก็เลยไม่ดี จันทร์คือเสน่ห์ เสาร์ทับเลยลดลง อาทิตย์คืออำนาจบารมีก็ลดลง พุธคือคำพูดก็มีน้ำหนักลดลง โดยทฤษฎีทางโหราศาสตร์ เขาว่าอย่างนั้น"
    ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันอาจเป็นความจริงว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีน้ำหนักลดลง แต่จะเป็นเพราะโหราศาสตร์จริงหรือไม่นั้น บางครั้งอาจต้องอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์

    - 1 -
    อ.มาศ เคหาสน์ธรรม ซินแสฮวงจุ้ยชื่อดัง อธิบายความลึกลับนี้ว่า เนื่องจากมนุษย์ทุกคนเกิดขึ้นมาอยู่ท่ามกลางพลังงานของธรรมชาติตลอดเวลา โดยพลังงานหลักที่ห่อหุ้มเราเอาไว้ได้แก่พลังงานของแม่เหล็กโลก พลังงานส่วนนี้จะส่งผลต่อธาตุเหล็กที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเลือดของมนุษย์ กระแสพลังงานของแม่เหล็กโลกจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตของคน
    นอกจากสนามแม่เหล็กโลกแล้ว แรงดึงดูดระหว่างดวงดาวก็มีอิทธิพลต่อชีวิตของมนุษย์เช่นกัน นักโหราศาสตร์จึงเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีการโคจรของดวงดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าที่เป็นวัตถุธาตุขนาดมหึมา ก็สามารถส่งแรงดึงดูดและพลังงานมาปฏิสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อโลกได้เช่นกัน
    หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อมที่อยู่รายรอบตัวมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศ ภูมิอากาศ อุณหภูมิ บรรยากาศ แรงดัน หรือการขึ้นลงของน้ำทั่วมหาสมุทร จนถึงไปถึงสิ่งที่เล็กที่สุดอย่างอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบในวัตถุทุกชนิดและสิ่งมีชีวิตทุกประการ ล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ทั้งนั้น
    "ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเกิด มนุษย์แต่ละคนได้ประจุพลังงานธรรมชาติที่แตกต่างกันเข้าไปในตัว พลังเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนความเป็นไปของชีวิตเหมือนเป็นเฟืองตัวเล็ก ซึ่งในช่วงเวลาที่เราเกิด ดวงดาวแต่ละดวงจะวางตัวในทิศทางและองศาที่แตกต่าง เปรียบเสมือนเฟืองตัวใหญ่ หากเราสามารถคำนวณรู้ได้ว่าขณะนี้เฟืองตัวใหญ่ขับเคลื่อนไปในทิศทางใด ก็จะสามารถหยั่งรู้ถึงแนวโน้มทิศทางของเฟืองตัวเล็กได้เช่นเดียวกัน แต่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลไกของเฟืองตัวนี้เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก" ซินแสหนุ่มผู้แก่กล้าวิชากล่าว
    หากเทียบเคียงกันแล้ว แนวคิดเรื่องอิทธิพลของธรรมชาติแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลต่อมนุษย์ โดยผิวเผินแล้วจะคล้ายกับแนวคิดเรื่อง Butterfly Effect ของทฤษฎีโกลาหล (Chaos theory) ที่กล่าวถึงผลกระทบลูกโซ่จากการกระทำหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มแรก
    ทางโหราศาสตร์เชื่อว่า สรรพสิ่งในโลกย่อมมีการเปลี่ยนแปลงและเกี่ยวพันกันอย่างเป็นระบบ หากสามารถคิดสูตรในการคำนวณความสอดคล้องกันของสิ่งต่าง ๆ ในโลกได้ ก็จะสามารถรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงและวิธีการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ดังนั้นโหราศาสตร์แขนงต่างๆ จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อศึกษาและหยั่งรู้จังหวะความเปลี่ยนแปลงของดวงดาวต่างๆ ที่มีปฏิกิริยาสอดคล้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์
    ในปรัชญาวิชาฮวงจุ้ยของจีน อธิบายไว้ว่า ทุกส่วนที่เล็กที่สุดล้วนแต่เป็นตัวแทนที่สมบูรณ์ของจักรวาล ยกตัวอย่างง่าย ๆ สิ่งที่ใหญ่ที่สุดก็คือจักรวาลซึ่งมีดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง และมีดาวเคราะห์ต่างๆ โคจรล้อมรอบ ส่วนสิ่งที่เล็กที่สุดคืออะตอม ซึ่งมีอิเล็กตรอนเป็นจำนวนมากหมุนรอบโปรตอนที่เป็นแกนกลาง ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลหรืออิเล็กตรอนล้วนมีโครงสร้างหน้าตาที่เหมือนกัน
    วิชาฮวยจุ้ยพยายามอธิบายชีวิตในเชิงวิทยาศาสตร์ ว่า สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นจากอิเล็กตรอนที่มีลักษณะการวิ่งหมุนแบบวนซ้าย เมื่ออะตอมเกาะกลุ่มรวมตัวเป็นโมเลกุล โครงสร้างที่เกิดขึ้นก็เวียนซ้ายด้วย เมื่อประกอบรวมกันกลายเป็นสสาร จึงมีรูปแบบที่วนซ้ายไปด้วย ส่งผลให้ยีนหรือดีเอ็นเอในร่างกายมีลักษณะพันกันเป็นเกลียวแบบเวียนซ้ายเช่นเดียวกัน รวมทั้งส่วนต่างๆ ของร่างกายก็มีลักษณะวนไปทางซ้ายที่สอดคล้องกับลักษณะการหมุนของอิเล็กตรอน
    ซินแสมาศ บอกว่า ในอดีตเมื่อ 5 พันปีที่ผ่านมา ชาวจีนได้ยึดถือตำราฮวงจุ้ยเป็นหลักในการดำเนินชีวิตเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา ในวิชาฮวงจุ้ยได้ใช้เรื่องพลังงานของดวงดาวมาเป็นตัวคำนวณเพื่อค้นหารหัสของพลังจักรวาลที่แปลงออกมา ด้วยเหตุนี้คนที่เกิดต่างปีกันก็จะประจุพลังที่แตกต่างกัน มีผลให้บุคลิกภาพและชะตาชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
    "ถ้าพลังจักรวาลทำปฏิกิริยาในทางบวกกับพลังงานในตัวเรา ก็จะส่งผลให้วงจรพลังในตัวมีการไหลเวียนได้อย่างเป็นระบบ ในปีนั้นการคิดและการตัดสินใจก็จะถูกต้องมากขึ้น สอดคล้องกับจังหวะและโอกาสภายนอกของโลกมากกว่าเดิม การลงทุนก็จะประสบความสำเร็จ แต่ปีใดพลังที่เข้ามาเป็นพลังชนิดที่เราไม่ชอบ หรือปะทะกับพลังในตัวของเราก็จะทำให้ปฏิกิริยาการคิด และการตัดสินใจเกิดการเบี่ยงเบน ผิดพลาด การลงทุนเสียหายหรือดวงตกนั่นเอง"

    - 2 -
    ศาสตร์ฮวงจุ้ยของจีนได้รับการพัฒนาขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการเลือกทำเลสำหรับการสร้างเมืองที่เหมาะสม ซึ่งต้องมีปัจจัยเป็นจำนวนมากที่ต้องตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าทำเลบริเวณนั้นมีพลังที่ดีหล่อเลี้ยง อาทิเช่น ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตามธรรมชาติแสดงว่ามีพลังชีวิตมาเลี้ยงต้นไม้อย่างเต็มเปี่ยม ทิศทางการไหลของสายน้ำว่านำพลังเข้ามาหรือพาพลังออกไป แม้แต่สายลม อากาศ อุณหภูมิ แสงแดด และสีของดิน เป็นต้น
    นอกจากนี้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็สามารถบ่งบอกถึงพลังงานได้เช่นเดียวกัน หากสัตว์มีสุขภาพดี เลือดและตับมีความแข็งแรง ย่อมสะท้อนว่าทำเลนั้นเหมาะแก่การสร้างเมือง ผู้คนที่อาศัยในบริเวณนั้นย่อมมีสุขภาพที่ดีและชะตาชีวิตก็พลอยดีตามไปด้วย
    ต่อมาศาสตร์ของฮวงจุ้ยได้ถูกพัฒนามากขึ้น โดยเริ่มสัมผัสถึงพลังบางอย่างที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมและทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว อันส่งผลกระทบต่อกันและกัน พลังนี้ถูกเรียกว่า ปราณชี่ หรือพลังออร่าในโลกตะวันตก
    พลังชี่หรือปราณชี่ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช ก้อนหิน และในทุกสรรพสิ่ง ซึ่งส่งพลังออกมากระทบเข้ากับพลังของสิ่งอื่นๆ รอบตัว
    ปราชญ์ฮวงจุ้ยได้ค้นพบมานานแล้วว่ากระแสแม่เหล็กโลกได้ก่อให้เกิดปราณชี่กว่า 8 ชนิด ใน 24 ทิศทางซึ่งทำปฏิกิริยากันได้ถึง 64 รูปแบบ และผันแปรได้ถึง 384 กระแสย่อย ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของมนุษย์ที่แตกต่างกันในแต่ละคน โดยสามารถถอดสูตรที่แน่นอนทางพลังงานออกมาได้ ว่าแต่ละองศานั้น พลังงานมีรูปแบบการเคลื่อนตัวหมุนวนไปในทิศทางใด จุดใดของบ้านเป็นพลังที่ดี หรือมีพลังร้าย ซึ่งถ้าคนเข้าไปอยู่หรือใช้งานในบริเวณนั้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ พลังก็จะสะสมเข้าไปในตัวและส่งผลร้ายต่อชีวิต
    ในคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้โดยใช้ทฤษฎีทางฟิสิกส์ว่าด้วยกฎแรงดึงดูดระหว่างวัตถุ ซึ่งวัตถุขนาดใหญ่จะมีแรงดึงดูดมาก อย่างเช่นพระอาทิตย์ดึงดูดโลกไว้ไม่ให้หลุดวงโคจร หากไม่มีแรงดึงดูดของโลกมนุษย์คงหลุดลอยไปในอวกาศ
    อาจารย์มาศ ยกตัวอย่างให้ลองใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาอยู่ในระดับอก งอข้อศอก กางฝ่ามือเข้าหากัน อยู่ในท่าเหมือนประคองลูกบอลใบใหญ่ไว้ในมือ โดยฝ่ามือทั้งสองข้างขนานกันห่างกันประมาณ 1 ฟุต ซึ่งอยู่ในท่าที่คล้ายกับการเตรียมจะปรบมือ
    จากนั้นทำให้ร่างกายทุกส่วนให้ผ่อนคลาย โดยเฉพาะที่แขนและฝ่ามือ ลองจินตนาการว่ามีพลังออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง เป็นลูกบอลแห่งพลังที่เบา นุ่ม หยุ่น ที่จะต้องประคองเบาๆ ทีนี้ค่อยๆ ขยับมือทั้งสองข้างเข้าหากันช้า ๆ จนเกือบติดกัน แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เข้าออกไปเรื่อยๆ กระทั่งสัมผัสถึงแรงผลักดันที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ามือ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า "พลังปราณชี่"
    และเพื่อให้สัมผัสพลังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองขยับมือข้างใดข้างหนึ่งขึ้นลงเหมือนกำลังปั้นดินเหนียว ห้ามไม่ให้ฝ่ามือแตะกันโดยเด็ดขาด พยายามรักษาสมาธิและความผ่อนคลายไว้ก็จะสัมผัสถึงการมีอยู่ของพลังอย่างแท้จริง
    เมื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังงานในตัวได้แล้ว ลองค่อยๆ ประคองพลังนี้ไปใกล้ๆ กับเสาภายในบ้าน แล้วใช้มือข้างหนึ่งยื่นไปอังใกล้ๆ กับมุมเสา เพื่อลองสัมผัสพลังที่ออกจากเสา เคลื่อนมือขึ้นลงตามแนวเสาห่างประมาณ 1 นิ้ว ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าวัตถุทุกชนิดรอบตัวล้วนแต่มีพลังงานและส่งมาถึงผู้ที่อยู่ใกล้ตลอดเวลา

    - 3 -
    ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สามารถนำมาใช้ติดตามร่องรอยของพลังปราณชี่ได้อย่างเป็นระบบ โดยพัฒนาเทคนิคการถ่ายภาพพลังชีวิตไว้ได้ หรือเรียกว่า "ภาพถ่ายเคอเรียน" ซึ่งสามารถถ่ายภาพรูปพลังชีวิตออกมาจากฝ่ามือ ใบไม้ ก้อนหิน และวัตถุต่างๆ ได้ อีกวิธีการหนึ่งใช้กระแสไฟฟ้าอย่างอ่อนผ่านเข้าไปในร่างกาย ทำให้สามารถถ่ายภาพพลังงานที่เปล่งออกมาจากตัวมนุษย์ได้ เรียกว่า "เทคนิคการถ่ายภาพออร่า" และสามารถอ่านผลพลังงานแสดงออกเป็นสีต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
    นักวิทยาศาสตร์ของจีนโบราณพบว่า โลกมีพลังงานที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าห่อหุ้มอยู่ โดยกระแสพลังพุ่งมาจากด้านทิศใต้ไปทางทิศเหนือที่เรียกว่าเส้นแรงของแม่เหล็กโลก เพื่อให้พลังและอำนาจสอดคล้องกับระบบพลังงานของโลก จักรพรรดิของจีนในยุคนั้นจึงนั่งบัลลังก์หันหน้าไปทางทิศใต้เสมอเพื่อรับพลังแม่เหล็กของโลก
    นอกจากนี้ยังมีปฏิกิริยาที่ก่อเกิดพลังธรรมชาติของแม่เหล็กอื่น ๆ อีกหลายชนิด ตัวอย่างเช่น พลังงานของพระจันทร์ที่มีผลต่อระบบน้ำขึ้น - น้ำลงของโลก และยังส่งผลต่อเลือดในตัวของมนุษย์ โดยทำให้วงจรพลังงานในตัวผู้หญิงขับถ่ายเลือดเสียที่เกิดจากการสุกของไข่ออกจากร่างกายทุก 28 วัน เท่ากับอัตราการหมุนของพระจันทร์รอบโลก 1 รอบพอดี คนโบราณจึงเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระจันทร์และระบบประจำเดือนของผู้หญิง
    ขณะเดียวกัน พลังงานนี้ยังมีอิทธิพลต่อเพศชายไม่น้อยกว่ากัน โดยกระตุ้นฮอร์โมนเพศที่อยู่ในเลือดให้มีการสูบฉีดเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ทำให้เกิดความต้องการทางเพศมากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงพระจันทร์เต็มดวง
    ด้วยเหตุนี้ปราชญ์จีนสมัยโบราณจึงใช้เข็มทิศมาวัดกระแสพลัง เพื่อนำไปวิเคราะห์หาทิศทางของพลังงานที่ดีของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งจะช่วยเสริมพลังงานในตัวของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นให้เข้มแข็ง ทำให้สมองปลอดโปร่งแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง สามารถออกไปต่อสู้กับโลกภายนอกได้อย่างมั่นคง
    รวมทั้งการคิดและการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่าย นอกจากนี้พลังงานที่ดีในตัวก็จะดึงดูดบุคคลที่มีพลังงานดีด้วยกันเข้ามา เปรียบเสมือนแม่เหล็กย่อมดูดเหล็กเสมอ ทำให้โอกาสดีๆ เข้ามาสู่ในชีวิต
    ในทางตรงกันข้าม คนที่มีพลังอ่อนแอก็มักส่งสัญญาณดึงดูดเอานักล่าหรือคนไม่ดี ให้เข้ามาเอาเปรียบผู้นั้น เหมือนดั่งปลาฉลามที่จะดักจับสัญญาณและจู่โจม เฉพาะสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บอ่อนแอ ทำให้ชีวิตมักประสบแต่ความล้มเหลว เกิดความเครียด ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม
    นอกจากนี้พลังแรกรับในยามที่ออกจากท้องมารดาซึ่งเข้ามาประจุในร่างกายก็มีส่วนสัมพันธ์กับทิศทางที่ควรนั่งหรือนอนสำหรับแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้นการคำนวณหาทิศที่เหมาะสมจึงช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของแต่ละคนดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสอดคล้องกับสภาพของธรรมชาติ
    หัวใจสำคัญของฮวงจุ้ยยังประกอบไปด้วยปัจจัยอีก 3 ประการได้แก่ ประการแรกคือ ชะตามนุษย์ซึ่งเป็นพลังที่เกิดจากมนุษย์เอง เป็นเรื่องคุณธรรม ความสามารถ สติปัญญา ความรอบคอบ และความเพียร ประการที่สองคือ ชะตาฟ้า หมายถึง โอกาสและโชค ที่ได้ถูกลิขิตมาแล้วตั้งแต่กำเนิด แต่ในทางวิชาการหมายถึงพลังของจักรวาลที่ประจุเข้าไปในทางร่างกายขณะที่เกิดออกมาจากท้องของแม่
    และประการสุดท้ายคือชะตาดินที่หมายถึงผลกระทบของปราณชี่หรือพลังที่ได้รับจากสภาพแวดล้อม ทั้งในส่วนที่อยู่อาศัยทั้งบ้านและที่ทำงาน รวมไปถึงสุสานของบรรพบุรุษ ที่วางตัวทำมุมในทิศทางต่างๆ กับแม่เหล็กของโลก ซึ่งมีผลทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือเลวลง "ถ้าใครเกิดมาดวงดี มีพานทองแท้เสริมให้ถึงที่เป็นหมื่นๆ ล้าน เขาเรียกว่าชะตาฟ้าดี ตลอดชีวิตไม่ลำบาก แต่ถ้าใครเกิดมาดวงไม่ดี วัน เดือน ปี เกิด ไม่ถูกต้อง พลังประจำตัวพลังธรรมชาติขัดกันตลอดเวลา เขาเรียกว่า ดวงด้อย ดวงตก ดวงไม่ดี และหากสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่มีพลังงานเกื้อหนุนหรือบั่นทอนหรือไม่ ฮวงจุ้ยจึงเป็นฐานใหญ่ที่สนับสนุนให้ชีวิตมั่นคงประสบผลสำเร็จ แต่หากฮวงจุ้ยไม่ดีก็ต้องตกในสภาพง่อนแง่น" อาจารย์ฮวงจุ้ย กล่าว
     
  2. seberton

    seberton เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2006
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +655
    อนุโมทนา
    เยอะจังเลย อ่านไม่จบเลย อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...