เรื่องเด่น หลวงปู่เขี่ยม โสรโย พระผู้มองเห็นสาวผู้เป็นที่รักมีแต่ขี้เต็มตัว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 24 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,317
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460


    หลวงปู่เขี่ยม โสรโย พระผู้มองเห็นสาวผู้เป็นที่รักมีแต่ขี้เต็มตัว
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,317
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    โดย...ภัทระ คำพิทักษ์

    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี มีศิษย์อยู่รูปหนึ่งซึ่งเก็บงำประกายไว้อย่างมิดชิดกระทั่งละขันธ์

    เมื่อถึงกาลประชุมเพลิงสรีระสังขารของท่านในวันที่ 18 ธ.ค. 2553 พระอาจารย์สาคร ธมฺมาวุโธ เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ประธานสงฆ์วัดป่ามณีกาญจน์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี และประธานสงฆ์วัดสวนป่าสิริธโร อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ผู้เป็นสหธรรมิกของท่านได้รวบรวมเรื่องราวและปฏิปทาของท่านพิมพ์เป็นหนังสือที่ระลึกในวาระนั้น

    นามของ “หลวงปู่เขี่ยม โสรโย” จึงปรากฏกว้างขวางขึ้น

    หาไม่แล้วประกายนั้นคงจะถูกเก็บงำไว้ต่อไป

    หลวงปู่เขี่ยม โสรโย มีนามเดิมว่า เขี่ยม ค่อนดี เกิดวันที่ 8 เม.ย. 2476 หรือวันเสาร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ เป็นบุตรคนแรกจากทั้งหมด 4 คนของนายกอง และนางเหลี่ยม ค่อนดี เกษตรกร ต.มูลตุ่น อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

    ตามประวัติฉบับพระอาจารย์สาครรวบรวมไว้นั้น ได้ให้ภาพในวัยเด็กของหลวงปู่เขี่ยม ว่า ครอบครัวหลวงปู่เขี่ยมย้ายจากบ้านโคกกลางมายังบ้านโนนสำนัก และเด็กชายเขี่ยมก็เข้ารับการศึกษาเมื่อวัย 11 ขวบ ที่วัดบ่อแก้ว บ้านนาจาน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นโรงเรียนวัดบ้านนาจานบ่อแก้ววิทยาคาร จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่มีการเปิดการเรียนการสอนของโรงเรียนในเวลานั้น

    “หลังออกจากโรงเรียนแล้ว ท่านก็ช่วยงานทางบ้าน ทำนา ปลูกผัก ใช้ชีวิตแบบเด็กบ้านนอกทั่วไป จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มเข้าสู่วัยฉกรรจ์ ด้วยความที่ทางบ้านมีใจบุญสุนทานเป็นพื้นฐานจิตใจ ทั้งโยมบิดาและมารดาของหลวงปู่เป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี โยมทั้งสองปลูกฝังให้รู้จักเข้าวัด สวดมนต์ ไหว้พระ มีการให้ทานทำบุญใส่บาตรเป็นประจำมิได้ขาด ครั้นถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนาก็จะพากันไปสวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล ทำให้หลวงปู่เขี่ยมมีความผูกพันอันดีกับพระสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์...”

    [​IMG]

    บุคลิกภาพของหลวงปู่เขี่ยม ตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งละขันธ์นั้น ท่านจะเป็นคนพูดน้อยแต่การงานนั้นเอาจริงเอาจังขยันขันแข็ง ในยามที่เป็นฆราวาส ท่านก็เป็นหัวแรงหลักของครอบครัว ทำไร่ทำนา พอมาบวชแล้วครูบาอาจารย์ก็สรรเสริญท่านว่า “พระอาจารย์เขี่ยมพูดน้อยแต่ทำจริง”

    อาจเพราะแต่ปางก่อนท่านสั่งสมบุญไว้มาก โลกจึงไม่อาจพรากผ้ากาสาวพัสตร์ไปจากท่านได้

    ในวัยหนุ่มนั้นหนุ่มเขี่ยมเกิดไปมีใจปฏิพัทธ์หญิงสาวผู้หนึ่ง แต่ธรรมะก็ได้เปิดความจริงให้ท่านเห็นอย่างสว่างจ้าหลายครั้งหลายหน อาทิ วันหนึ่งไปเที่ยวบ้านสาวคนนั้น แต่พอเห็นเท้าของเธอสกปรกดำเหมือนหนังปลาดุก หนุ่มเขี่ยมก็ทนไม่ได้ แค่เห็นหน้าแล้วก็ผละลงเรือนออกมาทันทีทันใดนั้นเลย

    แม้เทวทูตจะเผยความจริงเช่นนั้นมาครั้งหนึ่ง แต่ในใจก็ยังถูกกิเลสยื้อยุดอยู่ ทำให้ท่านยังอดใจไม่คิดถึงเธอไม่ได้ เลยต้องไปเที่ยวหาอยู่เช่นเคย

    โลกมาพลิกเอาเมื่อ วันหนึ่งหนุ่มเขี่ยมคิดถึงสาว เลยไปหาที่บ้าน แต่เมื่อไปถึงแล้วจึงพบภาพแห่งความจริงตำตาทนโท่

    “...ใจที่ห่วงหากลับกลายเป็นความสลดสังเวช เพราะมาเห็นภาพที่เธอนอนหลับไม่รู้ตัวอยู่ น้ำลายไหลย้อย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง มือไม้อยู่ไม่เป็นทิศเป็นทาง เห็นร่างกายของเธอเปรียบเหมือนซากศพที่นอนตายในป่าช้า ไม่น่ารักใคร่ยินดีอีกต่อไป นึกอยู่ในใจว่า ‘เอาจริงๆ หรือหญิงคนนี้’ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนกรรมนิมิตที่มาดลให้ท่านคลายจากความกำหนัดยินดีในหญิงสาวไปได้ จนกระทั่งช่วงเวลาก่อนบวช ท่านรู้สึกว่า เห็นหน้าหญิงสาวเป็นก้อนขี้ในใจของท่าน น่าเกลียด มีแต่ขี้เต็มตัว ทั้งขี้หู ขี้ตา หลังจากนั้นท่านก็ไม่กลับไปหาหญิงสาวผู้นี้อีกเลย...”

    “เรื่องนี้หลวงปู่เคยเล่าให้พระเณรฟังว่า ตอนนั้นเห็นหน้าหญิงสาว จิตใจก็ไปจ่อเห็นแต่ขี้ ตรงขี้มันจะออก เห็นขี้ออกตรงลำไส้ใหญ่ ออกจากก้นของเรา เห็นแต่ความน่าเกลียด ความเหม็น ความเน่า ไม่อยากจะเข้าใกล้ เป็นอาการที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ นี้เป็นอาการที่แปลกอย่างหนึ่ง สมัยก่อนออกบวช...”

    หลวงปู่เขี่ยมออกบวช เมื่อวันพุธ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย หรือตรงกับวันที่ 9 มิ.ย. 2497 ขณะอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ที่พัทธสีมาวัดศรีบุญเรือง ต.ศรีบุญเรือง อ.ชนบท จ.ขอนแก่น โดยมีพระมุนีวรญาณเถร (เขียว มหานาโม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระชม อิสฺสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ความคิดที่อยากจะบวชสัก 7 วัน กลายเป็น 2 พรรษาและเรื่อยมากระทั่งตลอดชีวิตนั้น เป็นเพราะ

    “คิดไปคิดมา มันก็ไปอยู่เรื่องเดิม เรื่องผู้สาวที่หมายกันไว้ตั้งแต่ก่อนบวช ก็ยังคงมีมาติดพัน ยังคิดถึงหญิงสาวบ้านดอนพันชาดอยู่ แต่ท่านก็ใช้อุบายรักษาความกำหนัดรักใคร่นั้นได้ โดยนึกถึงว่า แม้แต่ผู้หญิงที่เราชอบเรารักสักเพียงใดก็ต้องมีวันพลัดพรากจากกันไม่ช้าก็เร็ว ทั้งเมื่อชราภาพร่างกายก็ต้องเสื่อมโทรม แก่หง่อม ผิวหนังเหี่ยวย่น มีแต่ของเน่าของเหม็น เป็นเหตุให้อยู่เป็นพระภิกษุมาได้กระทั่งพรรษาที่ 2”

    พอถึงพรรษาที่ 2 คนที่บอกให้สึกมิใช่หญิงสาวที่ “หมายกันไว้” หากแต่เป็นโยมมารดา

    หลังบวชได้ 2 พรรษา โยมมารดาก็มาขอให้สึกออกมาช่วยทำนา เพราะทางบ้านไม่มีคนช่วย พระหนุ่มก็เตรียมสึกตามคำขอ แต่พอหอบหิ้วบริขารจะไปขอสึกกับพระอุปัชฌาย์ที่วัดศรีบุญเรือง อ.ชนบท จ.ขอนแก่น พอมาถึงแม่น้ำชีก็ปลงใจว่า จะไม่สึก

    คิดได้อย่างนั้นแล้ว ก็ผินหลังกลับคืนวัดโคกกลาง ซึ่งเป็นที่จำพรรษาอยู่

    พอโยมแม่รู้เรื่องก็ตามมาเอ่ยปากอีกหน ท่านก็ยอมโอนอ่อนตามคำขอร้องของโยมแม่ แต่ก็อีกนั่นล่ะ หนสองนี้พอหอบหิ้วบริขารจะไปขอสึกกับพระอุปัชฌาย์ที่วัดศรีบุญเรือง อ.ชนบท จ.ขอนแก่น คราวนี้พอมาถึงป่าทุ่งหนองเมืองชนบท ก็ยืนตรึกอยู่ ตรึกลงใจแล้วหันหลังให้เดินกลับวัดเป็นหนที่ 2

    โยมแม่รู้เรื่องก็ตามมาถามอีกว่า “ไม่สึกจริงๆ หรือ”

    หน 3 นี้ ท่านหอบบริขารไปจนถึงประตูวัดศรีบุญเรือง

    ณ ปากประตูวัดศรีบุญเรืองนั่นเอง ท่านยืนนึกตรึกไปมา เมื่อมองชายผ้าเหลืองของตัวเองแล้วพลันปลงใจเด็ดขาดขึ้นมาว่า “ผ้าเหลืองนี้เป็นสิ่งที่มีมาได้ยาก ไม่ใช่ใครก็จะบวชกันได้ง่ายๆ การอยู่ในสมณเพศ ดำรงตนอยู่ในหลักศีลธรรม ย่อมเป็นชีวิตที่ประเสริฐ ดีกว่าไปทุกข์ยากทำไร่ ทำนา จนตายหาประโยชน์อันใดมิได้เลย เป็นอะไรก็ช่างเถอะ กลับไปคราวนี้ จะไม่สึกให้ตายคาผ้าเหลืองไปเลย”

    วันนั้นท่านไม่ก้าวเท้าล่วงประตูวัดศรีบุญเรืองและตั้งมั่นว่าจะครองเพศบรรพชิตไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

    เมื่อตั้งใจเช่นว่าแล้ว ท่านก็ออกแสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะชี้นำแสงสว่างในชีวิตให้ได้

    ท่านเลือกที่จะมาหาหลวงปู่ฝั้น อาจาโร!

    ในปี 2499 พระเขี่ยมธุดงค์มาถึงวัดป่าอุดมสมพร ซึ่งขณะนั้นยังเป็นวัดเล็กๆ หาพระจำพรรษาได้ยาก ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นก่อน เพราะพระอาจารย์ฝั้นนั้นไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ อ.เมือง จ.สกลนคร ท่านก็รับปากชาวบ้าน

    กระทั่งออกพรรษาจึงตามไปจนพบหลวงปู่ฝั้นเป็นครั้งแรกที่ถ้ำขาม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    ท่านอยู่กับหลวงปู่ฝั้น 5 พรรษา

    ต่อเมื่อได้พบกับหลวงปู่เทสก์ ในงานบูรพาจารย์ที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร ท่านจึงกราบลาหลวงปู่ฝั้นติดตามหลวงปู่เทสก์ลงใต้

    ก่อนนั้นหลวงปู่เทสก์ได้ยกคณะพระกัมมัฏฐานออกไปเผยแผ่ศาสนาทางใต้ โดยปักหลักอยู่ที่วัดเจริญสมณกิจ หรือวัดหลังศาล อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นฐาน เมื่อหลวงปู่เขี่ยมมาพบหลวงปู่เทสก์ ซึ่งขึ้นมาจากภาคใต้ในปี 2506 ท่านก็ตามหลวงปู่เทสก์ไปใต้ แต่หลวงปู่เทสก์อยู่ใต้อีกเพียงปีเดียว พอลุปี 2507 หลวงปู่เทสก์กลับมาจำพรรษาที่วัดถ้ำขาม แต่หลวงปู่เขี่ยมยังอยู่ภาคใต้ต่ออีก 7 พรรษา

    ในประวัติหลวงปู่เขี่ยมไม่ได้ให้รายละเอียดขณะท่านจำพรรษาอยู่ภาคใต้นานถึง 7 ปีมากนัก แต่ไปพบในประวัติพระอาจารย์เชือน ปภสฺสโร เจ้าอาวาสวัดประชาสันติ จ.พังงา ว่า ในคราวที่หลวงปู่เทสก์นำคณะพระกัมมัฏฐานมาอบรมศีลธรรมให้ญาติโยมทางใต้นั้น ครูบาอาจารย์หลายรูปที่ร่วมคณะมาด้วย อาทิ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ หลวงปู่มหาปิ่น ชลิโต หลวงปู่สาม อกิญฺจโน หลวงปู่คำพอง ติสฺโส ฯลฯ ต่างพากันแยกย้ายไปสร้างวัดตามสถานที่ต่างๆ นั้น พระอาจารย์เขี่ยมไปจำพรรษาอยู่ที่วัดควนกะไหล

    พระอาจารย์เชือนให้ภาพพระอาจารย์เขี่ยมซึ่งท่านมักเรียกว่า “อาจารย์เคี่ยม” ต่างจากการรับรู้ของหลายคนว่า “ท่านอาจารย์เคี่ยมเป็นคนสนุก อะไรก็ได้ สนิทกับเรามาก ...เราพูดเล่นพูดหัวกับท่านได้ เพราะอยู่ด้วยกันมานาน...อาจารย์เคี่ยมนี่จริงๆ แล้วเป็นคนน่ารักนะ ขี้เล่น พูดไม่ค่อยเป็น ยิ้มอย่างเดียวล่ะอาจารย์เคี่ยม ...เมื่อก่อนเราสูบบุหรี่ ท่านก็สูบเหมือนกัน พอเราสูบๆ เราเผลอปั๊บ ท่านก็จะเอาไฟแดงๆ ที่บุหรี่มาเผาที่หนวดเรา แล้วก็หัวเราะชอบใจไปตามเรื่อง ท่านขี้เล่น...”

    พระอาจารย์เชือน เล่าว่า ขณะพระอาจารย์เขี่ยมอยู่ที่วัดควนกะไหลนั้น มีผู้ติดตามพระกัมมัฏฐานผู้หนึ่งทำเสียชื่อ เพราะสึกไปได้เมียชาวบ้านเขา พอเกิดเหตุเช่นนี้ชาวบ้านจึงไม่ยอมใส่บาตร เพราะสามีของผู้หญิงคนนั้นไปพูดให้เข้าใจผิดว่า “พระธรรมยุตวัดควนกะไหลไปเอาเมียเขา”

    หลังเกิดเหตุพระอาจารย์เขี่ยมก็อดทนไปบิณฑบาตจนชาวบ้านหันมาใส่บาตรดุจเดิม พอชาวบ้านเข้าใจแล้วท่านจึงจากที่นั่นมา

    “ท่านทนอยู่เพื่อบอกให้ชาวบ้านเข้าใจว่า ทิดสงสึกไปแล้ว ไม่ได้เป็นพระอย่างที่เขาประกาศ เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจ ไม่เข้าใจผิด ทีนี้พอชาวบ้านเข้าใจแล้ว ท่านก็หนีเลยนะ ไม่บอกชาวบ้านว่าจะไปไหน ...ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไม่กลับพังงาอีกเลย”

    ตามประวัตินั้น หลวงปู่เขี่ยมอยู่ที่วัดเจริญสมณกิจในระหว่างปี 2506-2507 อยู่ที่วัดควนกะไหล อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา 2 ปี คือ 2508-2509 หลังจากนั้นไปอยู่ที่ถ้ำเสือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ 1 ปี พอปี 2511 ไปอยู่ อ.ธารโต จ.ยะลา 2512 อยู่วัดสันติวนาราม อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา

    หลังจากนั้นท่านจึงกลับมาอยู่ภาคตะวันออก 1 พรรษา ก่อนจะกลับไปหาหลวงปู่ฝั้น ในปี 2514

    หลวงปู่ฝั้นสั่งให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดถ้ำขาม หลังจากนั้นก็ไม่ไปอยู่ที่อื่นอีกเลย

    หลวงปู่เขี่ยมอยู่ที่วัดถ้ำขามมาตั้งแต่ปี 2514 กระทั่งละขันธ์‌ในเดือน มี.ค. 2555

    ท่านได้รับแต่งตั้งจากทางการให้เป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำขาม‌รูปแรกอย่างเป็นทางการในปี 2530

    แม้ไม่ค่อยจะพูด แต่ครูบาอาจารย์เล็งเห็นชัดจากการ‌ประพฤติปฏิบัติ ส่วนศิษย์ก็เรียนรู้จากการลงมือของครูบา‌อาจารย์เช่นกัน

    ความนี้ปรากฏชัดในบันทึกหลวงปู่เทสก์ซึ่งมาจำพรรษาอยู่‌ที่วัดถ้ำขามในระหว่างปี 2536-2537 ว่า “มาขออยู่ ณ วัดถ้ำ‌ขาม ซึ่งมีพระอาจารย์เขี่ยม โสรโย เป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ดีใจ‌และเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านก็อำนวยความสะดวกทุกอย่างทุก‌ประการที่ท่านจะทำได้ มิให้เราต้องอนาทรเดือดร้อนเลยแม้แต่‌สักเล็กน้อย เราจึงตัดสินใจอยู่จำพรรษา ณ วัดถ้ำขาม กับพระ‌อาจารย์เขี่ยมเรื่อยมา”

    ศิษย์เล่าว่า หลวงปู่เขี่ยมมักจะกวาดตาด ถูศาลาราวกับเป็น‌พระน้อย

    ถามว่า ทำไมต้องทำเช่นนั้น ท่านก็ตอบว่า ถ้าไม่ทำ พระเล็ก เณรน้อยก็จะไม่ทำ เลยทำให้ดู

    หลวงปู่เขี่ยมเป็นพระที่ไม่ใคร่เทศน์ คำเทศน์ที่พูดอยู่เสมอๆ ‌ก็เป็นความสั้นๆ เช่น สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ ความบริสุทธิ์ และ‌ความไม่บริสุทธิ์ มีเฉพาะตัว นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ผู้อื่นพึงทำให้ผู้อื่น บริสุทธิ์ไม่ได้ หรือ บวชต้องเอาดีให้ได้ จะได้ไม่เสีย‌ชื่อครูบาอาจารย์ หรือ ใครๆ ก็ต้องตาย ก่อนตายได้สร้างคุณ‌งามความดี บุญกุศลไว้แล้วหรือยัง ส่วนมากคนทางโลกเขาตัก‌ตวงหาเงินทอง สร้างหลักปักฐาน แต่คนมีปัญญาทวนกระแส ‌ตักตวงบุญกุศลเข้าไว้ให้มาก ฯลฯ เมื่อเห็นศิษย์คลุกคลีกันท่านก็‌บอกให้ไปจงกรม ศิษย์มาขอไปสอบปริยัติท่านก็อนุญาต แต่ขณะ‌เดียวกันก็ถามว่า ภาวนาได้วันละ 5-6 ชั่วโมงหรือยัง

    หลวงปู่เขี่ยมเป็นพระแท้ เก็บงำประกายมาอายุได้ 73 ปี ‌11 เดือน 5 วัน แล้วจึงละขันธ์ไปในวันที่ 15 มี.ค. 2555

    แม้ในยามอาพาธหนักกำลังจะละสังขาร ท่านก็ยังออกปาก‌กับศิษย์ที่อุปัฏฐาก ว่า “ตอนนี้ผมกำลังเจริญมรณสติอยู่ ชีวิต‌นั้นเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง”

    จากนั้นท่านก็อยู่ในอาการสงบจนละสังขาร

    เป็นการจากไปอย่างเงียบๆ เยี่ยงวิถีคนมีปัญญาทวน‌กระแสทั้งปวงจะพึงดำเนิน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...