อยากรู้เกี่ยวกับความปรารถนาแบบแปลกๆ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อาม, 22 พฤศจิกายน 2007.

  1. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    1." พุทธภูมิ ปัจเจกพุทธภูมิ สาวกภูมิ" เป็นคำเรียกชนิดของการปรารถนานิพพาน และสำหรับคนที่ไม่ใช่ทั้งสามแบบล่ะครับ จะเรียกว่าบ้าไหม

    2.อยากรู้เรื่องที่ว่า เคยมีคนเล่าว่า ในสังสารวัฎของเรา มีเทพที่บำเพ็ญบารมีมาเพื่อออกแรงดึงให้คนตกสู่ที่ชั่ว เรียกว่า มาร (เป็นข่าวลือ ไม่รู้จริงไหมที่ว่า...) พญามารตัวใหญ่ใช้เวลาบำเพ็ญบารมีนานมาก จนมีฤทธิ์ดึงจิตใจของคนที่เริ่มตกลงสู่ที่ชั่วให้จมหนัก และวนเวียนอยู่ในที่ชั่ว ออกมายาก ในขณะที่การไปสู่ความดีจะไม่ค่อยติด เพราะฝ่ายมารนั้นแรงกว่ามาก แต่มันดลใจให้ชั่วได้เฉพาะคนที่ขาดสติหรือคนที่จิตกำลังมีความชั่วเป็นพื้นอยู่แล้วเท่านั้น

    -----------------------------
    ข้างล่างนี้เป็นเรื่องของการบ่น เพื่อให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ครับ

    ที่อยากรู้ว่ามารนั้นต้องการอะไร ก็เพราะว่า ผมรู้สึกว่าผมมีมารอยู่ในตัวเอง ที่ร้ายกาจเหลือเกิน จะลองเอามาเปรียบเทียบกันดูว่าเหมือนกันไหม ไม่ได้ต้องการจะโทษว่าความผิดที่ผมทำเกิดเพราะะมาร แต่ผมรู้สึกว่าฤทธิ์ของ "ด้านมืด" นั้น หรือ "รอยรั่วของจิตใจผมนั้น" มันแปลกมากแบบว่าความตั้งใจของผมไม่ใช่อย่างนั้นเลย เหมือนว่า ผมไม่มีเจตนาอย่างนั้น แต่ความอ่อนล้าของจิตใจผนวกปัจจัยภายนอกที่ "จุดชนวนการตกอยู่ในรอยรั่ว" ทำให้เจตนาของผมกลายเป็นอย่างนั้นโดยไม่มีทางควบคุมได้จริงๆ และสังเกตว่า ยิ่งในช่วงที่มีความตั้งใจจะทำอะไรดีๆ เจ๋งๆ (โดยเฉพาะงานบางอย่างที่มีคนชมว่าผลงานผมทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจที่ดีๆ อย่างประหลาด) หรือสามารถดึงตัวเองให้มีสิ่งที่เป็นกุศลมากเท่าไร จิตใจของก็จะยิ่งต้องถูกดึงลงสู่ที่ชั่วอย่างแรงหรือมากขึ้นเท่านั้น เหมือนถูกบงการให้กลับสู่ระดับเดิมหรือเลวกว่าเดิม หลายครั้งตั้งใจจะทำความดีบางอย่างตั้งแต่เช้า จิตใจก็ตกอยู่ในความวุ่นวายมืดมนจนไม่ได้เริ่มทำ หรือโอกาสที่จะทำงานนั้นต้องล้มไม่เป็นท่า ดิ้นไม่ได้เลยมีแต่แย่ลง กว่าจะหลุดพ้นจากความเพลียล้ามามีแรงทำมันได้ก็ยามดึก (แปลกใจมากที่ยังเหลือโอกาสรอดมาได้) แต่พอผ่านไปนานเข้าผมก็สามารถทำผลงานออกมา ก็มีคนชมว่าดี เป็นสิ่งมหัศจรรย์และมีชีวิตชีวามาก (ต่างกับชีวิตจริงของคนทำที่ทุกวันคืนมีแต่ความอ่อนระโหยขาดเรี่ยวแรงและพลังชีวิต ไม่ใช่เพราะการทุ่มเทกับงานเลย แต่เป็นเพราะจิตใจจมอยู่กับความชั่วเพราะรอยรั่วลึกลับนั้นต่างหาก) เมื่อก่อนสังเกตได้ เวลาแผ่เมตตาทีไร หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงผมจะมีปัญหาในใจตัวเองร้ายจนเกรี้ยวกราด และพร้อมจะชวนทะเลาะหรือก่อความวุ่นวายให้ใครๆ อีกมากเป็นเวลานาน น่าเสียดายมากเพราะกว่าจะแผ่เมตตาได้แต่ละครั้ง นานๆ จะทำได้เองสักที และผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติสมาธิภาวนาได้จริงๆ ครับ (ถ้าเจอกับตัวเองแล้วจะพูดไม่ออก)

    เสียดายว่า นักสู้ผู้มีความสามารถ (ในทางโลก) อย่างผมไม่น่าแพ้เรื่องจิ๊บจ๊อยนั้นเลย แค่รอยรั่วหรือแผลใจเล็กๆ แต่ก็แก้ไม่ได้ซักที และดิ้นไปไหนไม่ได้เมื่อมันจะเกิดขึ้นก็เลยไม่อาจก้าวออกจากความเหลวแหลกได้ซักที แม้จะอดทนพยายามเหน็ดเหนื่อยไปกับการประคองตัวให้พ้นภัยเท่าไร ก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น หรือได้บำเพ็ญบารมีอะไรเพิ่มขึ้นเลย อาจจะยิ่งโตยิ่งอีคิวต่ำยิ่งกว่าเดิมอีก นักจิตวิทยายังงง ผมเองก็งงว่าผมมีอาการพวกนั้นเข้าไปได้ยังไง นี่ก็คงเป็นการบ่นเฉยๆ ครับ และก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลกประหลาดหรือยิ่งใหญ่อะไร ก็ผมมักจะเจอแต่เรื่องแปลกที่น่างง เข้ามาให้ใช้ความคิดให้ต้องกลุ้มใจกับอะไรประหลาดมากมายตั้งแต่เด็ก แทบไม่ได้หยุดพัก จะให้พูดยังไงได้ ที่ผ่านมาจะปรึกษาใครก็มักจะเกิดความเข้าใจผิดหรือการมองเจตนาผิดไปในทางตรงกันข้ามมาขัดขวางเสมอ แต่นี่อาจเป็นเพียงช่วงของการชดใช้เวรกรรมแบบประหยัดเวลาก็ได้ และผลกรรมเก่าที่ชั่วก็มีฤทธิ์ดึงให้เราทำกรรมชั่วต่อ

    ทั้งนี้ ผมรู้จักตัวเองมากขึ้นก็สามารถสรุปได้ว่า ผมก็ไม่ใช่พุทธภูมิครับ (ถ้าเคยทำให้เกิดความขัดแย้งเนื่องจากเรื่องที่ว่าเป็นหรือไม่ได้เป็น ผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ) ความปรารถนาของผมคือการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปเรื่อยๆ และใครที่สนใจทางนี้เท่าที่เจอมักมีความเพี้ยนในตัวเองทั้งนั้น แต่ถ้าอยู่ในโลกแห่งการค้นคว้าทางนั้นเพียงอย่างเดียวก็จะดูปกติดี

    (ตอนที่ตั้งกระทู้นี้ค่อนข้างอ่อนเพลีย บวกกับตั้งหลังจากความเครียด แต่เปลี่ยนอารมณ์มาตั้งกระทู้ ถ้าสร้างความไม่ดีขึ้นก็ขออภัยอีกครั้งครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อาจจะเป็นอย่างที่คุณคิด และไม่เป็นก็ได้

    ข้อหลักเกี่ยวกับตัวคุณ กับ ศาสนาพุทธ คือ ศรัทธา ที่พร่องอยู่มาก ที่ ศรัทธา พร่อง เพราะไปจับที่ยึดผิด ในทางพุทธนั้นให้ ยึด พระพุทธเจ้า พระธรรมปิฏก พระอริยะสงฆ์ แต่ดูเหมือนว่า คุณจะไปยึด ปุถุชนที่ปราถนาพุทธภูมิ ซึ่งคนที่ปราถนาพุทธภูมิถ้าเป็นเถรวาทแล้ว จะเป็นแค่ปุถุชน ไม่มีการบรรลุอริยะเจ้า ทำให้ คุณยังเห็นกิเลสที่มีในพุทธภูมิที่คุณเจออยู่ ก็เป็นธรรมดาที่จะทำให้ ศรัทธา มันพร่องไป

    ศรัทธา นี้เป็นองค์ประกอบของ พละ เป็นข้อธรรมที่เป็นกำลัง และมักมีผลใช้ในส่วนปลายของการศึกษาทุกขั้น เช่น

    อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ จะเห็นว่า 3 ตัวนี้คุณมีมากแล้ว แต่ วิมังสา ขาด เพราะ ศรัทธาไม่พอ

    พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา จะเห็นว่า คุณเมตตาก็มีเยอะ กรุณาก็มีเยอะ ยินดีในงานที่ทำได้ก็มีเยอะ แต่ อุเบกขา ขาด เพราะ ศรัทธาไม่พอ

    ศีล 5 อันนี้ไม่เห็นนะ ไม่มีในข้อเขียนของคูณ แต่ไม่ต้องอธิบายมาหรอก ผม เชื่อว่า ข้อ 1 2 3 4 นั้น ไม่น่าจะขาดมากมายอะไร แต่ข้อ สุดท้ายนี้สิ ขาด เยอะอยู่ อย่าไปนึกแค่เป็นเรื่อง สุรา ยาเมา พาชี กีลาบัตรนะ อยากให้ หมายถึง การไปมัวเมาหมกมุ่นกับบางสิ่งเป็นอาจินด้วย เพราะการหมกมั่นอะไรมากๆนี้ ร่างกายมันจะผลิตเอนโดรฟิน ซึ่งก็คือ สารเสพติดชนิดหนึ่ง และคนเราแก่ตัวลงนี้ เอนโดรฟิน จะผลิตได้น้อยลง นั้นแหละ จะเริ่มฉุนเฉียว ทำให้ต้องปลุกอารมณ์หมกมุ่นรุนแรงแปลกประหลาดไปมากขึ้นๆ ดังนั้น ควรถอนกิจกรรมที่เข้าข่ายหมกมุ่นเสีย ต้องใช้ ศรัทธา อีกแหละ เพราะมันขัดความเชื่อ

    พระพุทธ ดูเหมือนคนทั่วไปจะเห็นเป็นแค่พระปูน
    พระธรรม ดูเหมือนคนทั่วไปจะเห็นเป็นตำราเรียน
    พระสงฆ์ ดูเหมือนคนทั่วไปจะเห็นเป็นนกกา

    แต่จริง
    พระพุทธ เป็นเหมือนบุคคลาธิษฐาน
    พระธรรม เป็นเรื่องของลงมือปฏิบัติธรรม
    พระสงฆ์ เป็นเรื่องของการที่เราจะรู้จักจาคะ

    อยากให้คุณบรรยาย
    ทาน ที่เป็นเรื่องของการสละทรัพย์ดูบ้าง ไม่ใช่ออกแรง หรือ ปัญญา อย่างเดียว
    ปิยะวาจา ที่เป็นเรื่องของการเข้าไปพูดให้กำลังใจคนอื่นที่เขาทุกข์ยิ่งกว่า
    สมานัตตา ที่เป็นเรื่องของการเข้าไปผสานยามเขาขัดเคืองกัน
    อรรถจริยา ที่เป็นเรื่องที่คุณยินดีเข้าไปช่วยโดยไม่มีใครร้องขอ เป็นงานที่คนอื่นละทิ้ง ทำแล้วก็ไม่ได้คิดเรียกร้องให้เขาเห็น หรือ ชม

    ขอเสนอความเห็นแค่นี้ก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    ตั้งใจอะไร ก็ทำให้เป็น "สัจจะ"
    ทำจริง...สักวันละข้อ
    จิตใจ ....ก็ดีขึ้นเองเรื่อยๆ
     
  4. yuikire

    yuikire สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอร่วมให้กำลัง่คุณอามด้วยค่ะ ใจคนยากแท้หยั่งถึง ต้องอดทนให้ถึงที่สุดค่ะ สู้ สู้
     
  5. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    คุณเล่าปังวิเคราะห์ได้ตรงครับ จากสภาพที่ผมเป็น

    แต่เรื่องบางอย่างที่ผมยังบกพร่อง บางทีจิตใจผมในเวลาที่เป็นกุศลก็มีส่วนดีตรงนั้นอยู่ครับ แต่ก็แค่แว๊บๆ ราวกับสายฟ้าแล็บ เพราะมีกิเลสแรงๆ หรือปัญหาอย่างอื่นมาบดบัง (เคยสังเกตตัวเองว่าธรรมดาใจก็ดูมืดมน แต่ตอนเข้าไปพูดให้ความรู้กับเพื่อนเล่นๆ กลับงงตัวเองว่าทำไมเรารู้กระจ่างและเพิ่รู้ว่าตัวเองศรัทธาในพระรัตนตรัยขนาดนี้) และวันๆ หนึ่งผมก็เหมือนคนโลภมาก เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาคิดไม่ได้หยุด ทุกวันมีปัญหาคือไม่อยากคิด แต่ก็สามารถเชื่อมโยงความคิดต่อไปเรื่อยๆ ถ้าได้คิดเรื่องที่เป็นกุศลก็จะโชคดีที่ไม่ต้องหมกมุ่นกับสิ่งที่ทำให้จิตใจเหน็ดเหนื่อยมากนัก พยายามแก้แล้วยังไม่สำเร็จ แต่จะลองแก้ทีละเปลาะ

    เคยได้ยินว่า ทาน ปิยวาจา สมานัตตา อรรถจริยา นั้น เป็นคุณธรรมที่จะทำให้เป็นคนน่ารัก ทำให้มีเพื่อน

    เรื่องแปลกของผมก็คือ ผมไม่มีเพื่อนเป็นคนปกติ (ดาวเจ้าเรือนสหัชชะอยู่ในเรือนมรณะ) เพื่อนที่ไปไหนมาไหนกับผมมักจะเป็นคนที่ดูเพี้ยนๆ หรือมีบุคลิกเฉพาะตัวแปลกๆ ในหลากหลายรูปแบบ เช่น เป็นผู้ชายที่คิกขุอาโนเนะมากวันๆ สนใจแต่เรื่องเสริมสวย บางคนก็เป็นนักปรัชญาคณิตศาสตร์ ถ้าสนใจคิดปัญหาทางคณิตศาสตร์ก็จะหมกมุ่นกับตรงนั้นอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่นเลย บางคนเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องเคมี แต่ก็เป็นเรื่องวิธีการผลิตยาเสพติดและวัตถุระเบิด (ลิควิดบอมบ์นี่ผมก็รู้สูตรการผลิตเพราะเขา) หลายคนก็เป็นคนโดดเดี่ยว พูดกับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง สังคมทอดทิ้งเพราะมองว่าเขาเป็นคนเลว (แต่กลับเข้ามาคบกับผมโดยไม่ทำอันตรายแถมยังคอยช่วยเหลือผม ซึ่งผมก็ได้เห็นว่าส่วนดีที่เขามีก็น่าสนใจมาก แต่นิสัยที่ไม่ดีนี่เปลี่ยนแปลงไม่ได้) คงมาคุยกันรู้เรื่องอาจจะเพราะเป็นพวกเดียวกัน ^_^

    แต่เรื่องที่ทำให้เหงา ก็คือ คนเก่งๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์เหล่านั้น มักไม่ได้คิดจะใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม หรือไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะความไม่เชื่อ ส่วนคนอีกประเภทที่เก่งและมีจิตใจดีมีศีลธรรมก็มักจะติดอยู่ในกรอบ ไม่กล้าสร้างสรรค์อะไรนอกกรอบ ก็เลยไม่ได้ทำอะไรใหม่ๆ

    เรื่องแปลกอีกเรื่องคือ บางครั้งผมเป็นคนที่เหมือนจะหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่น หรือช้ำใจกับการต้องทะเลาะกันมาตลอดชีวิต แต่เวลาเพื่อนมีเรื่องทะเลาะกันผมเพิ่งรู้ว่าผมสามารถประสานให้เขาดีต่อกันได้ ในขณะที่คนอื่นจะไม่ทำ ตอนนั้นเพื่อนมาบอกก็งง ว่า จำไม่ได้เหรอว่าอามเคยช่วยผสานความเข้าใจและมิตรภาพระหว่างเรากับ... ผมก็งงว่าคนที่มีแต่ปัญหาอย่างผมเนี่ยนะเคยไปทำได้ด้วยเหรอ

    มีสุภาษิตว่า อย่าคบคนพาล แต่ผมมองอีกมุมว่า คนเลวก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกันไม่ใช่หรือ พอเครียดเพราะเรื่องยุ่งๆ ก็เพิ่งคิดได้เมื่อวันก่อน ว่า มองส่วนดีของเขาดีกว่าจะได้สบายใจ
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อ้าว ไม่เห็นแปลกเท่าไหร่เลย นี้มันอาการคนแบกโลก เห็นชอบดูดวง นี่คงไม่ได้เกิดราศีกุมภ์ใช่ไหม เป็นธรรมดาเลยนะ แต่ราศรีอะไรก็ช่าง มันไม่เกี่ยวเท่าไหร่หรอก

    ธรรมดาของคนชอบแบกโลก ก็คือ คนที่มีญาณทัศนะทางธรรมในระดับหนึ่ง จะวิเคราะห์กิเลสหนาบางของคนทั่วไปอยู่เสมอ ทำให้ชีวิตอยู่กับเหตุผลของการมีชิวิตของแต่ละคน เหตุนี้เวลาคุยก็จะเผลอคุยไปทางเรื่องกิเลสเหตุผล ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปเขาสะดุ้งหวาดกลัวเมื่อได้ยิน แม้จะพูดกล่าวถึงคนอื่น แต่โดยหลักการแล้วทุกคนก็รู้สึกว่าย้อนเข้าตัวทั้งนั้น บางครั้งก็ย้อนเข้าตัวผู้พูดเอง ถ้าไม่เคลือบหลอกตัวเองว่า พูดเพื่อศึกษา ก็พอจะมีโอกาสได้เห็นอะรไรตามความเป็นจริงได้มากขึ้น

    คนใช้ปัญญามาก ใช้ปัญญาเก่งแบบนี้ ลำบากหน่อย มันจะติดคิด ทำอะไรไอ้นู้ไอ้นี่อยู่ก็คิด ถ้าสติ และสติสัมปชัญญะดีพอก็จะทำให้จดจ่ออยู่เรื่องเดียว แต่ถ้า สติ ขาด ก็จะหลงคิด สามารถคิดเรื่องที่ทำอยู่ ซ้อนกับเรื่องที่แตกประเด็นออกมา และอาจซ้อนด้วยประเด็นที่แตกออกไปอีก ก็นะ มันควรเป็นอย่างนั้น เป็นข้อดีไหม ก็ดี เพราะมันจะเป็นการฝึกในเรื่อง ปฏิภาณไหวพริบ เป็นข้อเสียไหม ก็เป็น เพราะมันสลัดความคิดออกจากการเป็นตัวเราไม่ได้

    เรื่องของกิเลสนั้น จะทำทั้งที่รู้ว่าเป็นกิเลส แต่เนื่องจากติดคิด มันเลยหรอกให้ทำไปเรื่อยๆ เหมือนคนอวดดี คิดว่าจะไม่พลาดพลั้ง ไม่เผลอตัว แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ตั้งแต่ยอมอนุโลมไปครั้งแรกที่สติเห็นว่าเป็นกิเลสแล้ว ก็แพ้มัน โอกาสถอนตัวจะยากเต็มทน ก็เป็นข้อเสีย แต่ข้อดี คือ การเข้าไปรู้ทุกข์ เข้าไปหยั่งความทุกข์ให้ลึกๆ แต่ต้องดูให้ดีนะว่ามันแค่เป็นกระบวนการคิด อย่าไปเผลอเข้าใจว่านั้นคือตัวเรา นั้นคือเรากำลังทำ เพราะมันจะทำให้จิตตกแล้วคิดว่าตัวเองไม่ดี ก็หลงกลมัน แทนที่จะลงไปดู ไปรู้เฉยๆ ไปเอามาปรุงว่านั้นคือเรา

    ที่นี้มีอีกขั้น การที่ลงไปรู้ทุกข์ลึกๆ อย่างนั้น ก็ต้องระวัง เรื่องการเอา ความคิดนั้น มาเป็น กริยา หรือ กรรม อย่าให้มันทำได้ อย่าไปลอง อย่าไปเล่น อย่าประมาท ให้มันเป็นแค่มโนกรรมพอ อย่าปรุงออกเป็น เจตนา และ กระทำ เด็ดขาด

    เรื่องเพื่อนนั้น แม้เพื่อนจะมีดีมีชั่ว แต่ถ้ามีชั่วไม่ปรกติแห่งศีลแล้ว ต้องถือว่าเป็นคนพาลโดยทันที เหตุเพราะ คนที่ใช้ปัญญามากๆ มักปรามาสในศีล คิดว่าตัวเองจะไม่พลาด บางครั้งจึงยอมร่วมเสวนากับคนพาล พาลนั้นไม่อาจชักจูงเราให้กระทำได้ก็จริงแต่ด้วย กฏแห่งกรรม แล้ว การมีปฏิสัมพันธ์ด้วยย่อมนำความทุกข์มาให้เรา เพราะนอกสายตาเราไม่รู้เขาไปทำอะไรมา ถ้าไปกระทำมิดีมิร้ายมา แล้วเราเข้าไปเสวนา แน่นอนย่อมปฏิเสธการไม่มีส่วนร่วมไม่ได้ จะต้องรับกรรมนั้นด้วย แม้ตนจะไม่ได้กระทำ อย่าประมาท

    เพื่อนที่ไม่ดี ใช่ว่าเราจะคบไม่ได้ คบได้ แต่ต้องคบห่างๆ ไม่ใช่คลุกคลี คบเพื่อช่วยเหลือยามที่เขาทุกข์ร้อนและวิ่งมาหา และความทุกข์ที่เราช่วยนั้นจะต้องเป็นเรื่องไม่ผิดศีล นั้นคือ ช่วยเรื่อง ปัจจัย 4 ได้เท่านั้น แค่นั้นก็พอเพียงสำหรับเขา เพราะพวกเขาย่อมไม่พึ่งพาเราไปมากกว่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คนที่มีปัญญามากๆ ใช้ปัญญาเก่ง มีญาณทัศนะพอสมควร จะฝึกสมาธิไม่ได้ จะไปสายสมถะยานิกไม่ได้ เพราะ ปัญญา มันปฏิเสธให้โดยอัตโนมัติ

    ทางที่พอไปได้คือ

    ใช้ปัญญา อย่างเดิม แต่ให้กลับมาเพ่งทุกข์ที่เฉพาะตัว ไม่ต้องไปคิดทุกข์ของชาวบ้าน เพราะมันจะไม่พบตัวตน และเมื่อพบความคิดหรือกิเลสใด ก็อย่าเผลอคิดว่านั้นคือสันดานตน คือตน ขอให้เข้าไปรู้เพื่อถอน ไม่ใช่รู้เพื่อถือมั่น เพราะถ้ารู้เพื่อถือมั่น กลับออกมา พฤติกรรม จะแปรเปลี่ยน ต้องระวัง และเมื่อรู้กลไกลการเรียนรู้ที่มีเฉพาะตัวของ ปัญญาวิมุติ แล้ว ต่อไปจะมีอาจารย์ที่ไม่มีรูปมาสอน มาแกล้ง มาลวง ให้เราพิจารณาให้รู้เท่าทัน ที่จะไม่ก่อทุกข์ เอง

    ใช้วิธี อานาปานสติ ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา ไม่วางจนกว่าจะนอน และระหว่างที่ รู้สึกว่า มีกิเลส เข้ามาสั่งการเรา ก็ให้ใช้วิธี ดูจิต คือ ดูมันจะพาเราไปทำอะไร ปัญญา เราตัดกิเลสตอนไหน ตัดด้วย ปัญญา ความรู้ทุกข์ หรือ ตัดด้วย สมาธิ ที่ได้จากอานาปานสติ ( หายใจ หรือ ถอนใจ ) หรือ ตัดด้วย หลงไปคิดอย่างอื่น ก็ให้ตามรู้ดูไป

    * ถ้าสิ่งที่พูดพอจะเข้าเค้า ก็เสียใจด้วย สายนี้ ไม่มี อาจารย์ หาไม่ได้ ต้องเรียนด้วยตัวเองทั้งหมด

    ** เหตุผลง่ายนิดเดียว กฏแห่งกรรม เพราะไปอวดดี อวดฉลาด กับครูบาอาจารย์ต่างๆ ไม่ว่าจะข่ายทิฏฐิไหน ไว้มาก ชาตินี้เลย ไม่มีครู จะต้องหาทางเอาเอง คุยกับใครเรื่องปัญญา เขาก็ไม่คุยด้วย เพราะกฏแห่งกรรมนั้นแหละ ทำใจ และรับรู้ ทุกข์ เช่นนี้ และทำอย่างที่ อธิษฐาน ไว้

    *** และที่ทำดีไม่ได้ดี เพราะ ตอนที่พวกเขาทำดี เราไปมองว่าเด็กๆ พื้นๆ ไม่ตอบแทนคุณความดีเขา ชาตินี้ เลย ไม่ได้รับผลตอบแทน ใดๆ เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  8. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    สาธุ สาธุ สาธุ กับคุณเล่าปังครับ.....

    ว่างๆ เรียนเชิญมาที่เว็บนี้บ้างนะครับ
    http://www.watthummuangna.com/index02.html
     
  9. ร่มโพธิ์

    ร่มโพธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,952
    สาธุ...อนุโมทนาครับคุณเล่าปัง...คุณสาธยายได้โดนใจจริงๆ...ขอชื่นชมภูมิธรรมและปัญญาของคุณด้วยความจริงใจยิ่งครับ...
     
  10. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    ...................................................................................


    [​IMG]



    ธมฺมกาโม ภวํ โหติ</SPAN>
    ผู้ฝักใฝ่ในธรรมเป็นผู้เจริญ
    ธมฺมเทสฺสิ ปราภโว
    ผู้ชังธรรม เป็นผู้เสื่อม
    นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
    สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.

    จงเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิต ตนได้ ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ ใครจะเตือน
    อย่าลืมเลือน เตือนตน ให้พ้นภัย

    ...............................................................

    อนุโมทนา สาธุ ๆ ๆ
    (good)(good) (good) (good) (good) (good) (good)
     
  11. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    เรื่องมารนั้นมีอยู่จริงครับ รวมถึงเทพที่เป็นมารด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นมารโดยไม่รู้ตัวน่ะครับ เนื่องจากแม้จะเป็นเทพแต่ก็ใช่ว่าจะหมดกิเลสแล้วกิเลสก็พาไปโดยไม่รู้ตัว น้อยมากที่มีคนตั้งใจปรารถนาจะเป็นมารด้วยเจตนาตนเองครับ(อย่างเช่นลัทธิบางลัทธิทางแถบซีกโลกตะวันตก)

    เทพที่เป็นมารนั้นถือได้ว่ามีบุญกุศลพอสมควรจึงมาเกิดเป็นเทพได้ แต่เนื่องจากยังมีกิเลสอยู่ บางครั้งจึงยังมีความต้องการ บริวาร ต้องการความเป็นใหญ่อยู่ แม้แต่ในภพสวรรค์เองก็ตาม

    มีหลายตัวอย่างในชาดกที่ท้าวสักกะเทวราชเกิดอาการอาสนะร้อนรุ่ม เนื่องจากมีมนุษย์ที่บำเพ็ญตบะแก่กล้าสะสมบุญกุศลมากเพียงพอที่จะสามารถมาเกิดเป็นท้าวสักกะเทวราชแทนที่จอมเทพองค์ปัจจุบันได้ ท้าวสักกะองค์ปัจจุบันจึงได้ส่งนางเทพอัปสรไปทำลายตบะของผู้บำเพ็ญบารมี เมื่อตบะของผู้บำเพ็ญถูกทำลายไปแล้ว บุญที่จะให้มาเกิดเป็นท้าวสักกะองค์ถัดไปก็เลยไม่เพียงพอ...ฯลฯ เป็นต้น

    เนื่องจากในภาวะของความเป็นเทพนั้นมีสภาพเป็นทิพย์และถูกหล่อเลี้ยงด้วยบุญกุศล ดังนั้นถ้าเทวดามีเจตนาแรงกล้าที่จะกระทำบาปอกุศลแล้วล่ะก็ สถานะแห่งความเป็นเทพก็อาจจะหมดสิ้นลงไปในทันที บางครั้งอาจจะถูกดึงดูดเข้าสู่อบายภูมิเลยทีเดียว ดังนั้นการล่อลวงของเทพมารทั้งหลายจึงไม่สามารถกระทำโดยตรงได้

    โดยมักจะอาศัยการล่อลวงหรือการวางกับดัก หรือหลุมพลาง ให้ผู้ที่เป็นเป้าหมายนั้นตกหลุมพรางมาด้วยการตัดสินใจของตนเอง เช่นนั้นแล้วแม้เทพมารจะสร้างบาปอกุศลแต่ก็ไม่ได้มีเจตนากระทำบาปโดยตรงมากนัก อันเป็นเหตุให้เทพมารยังสามารถทรงสภาวะของความเป็นเทพได้ต่อไป

    ส่วนมากแล้วผู้ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับมารโดยตรงมักจะเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิ หรือบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายน่ะครับ ส่วนพระอริยะเจ้าหรือพระอรหันต์ส่วนมากท่านจะปลงธรรมสังเวชและวางอุเบกขาครับ(เว้นแต่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พระอริยะบางท่านที่อาจจะมีกรรมผูกพันกับมารบางตน จึงต้องทำหน้าที่ทรมานและชักจูงให้มาในหนทางธรรมครับ)
     
  12. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    อนุโมทนาครับ สาธุ ๆ ๆ :d
     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    มีแต่ไม่ได้ใช้ ไม่ได้แปลว่าไม่มี [ บางรูป ]
    มีแต่ไม่ให้ใช้ ไม่ได้แปลว่าไม่ให้มี [ พระพุทธองค์ตรัสไว้ ]
    มีดีก็เอาไว้ใช้ ไม่ได้ใช้ให้อยากดี [ พระพุทธองค์ทำเป็นตัวอย่างไว้ ]
    มีไม่มีก็ไม่ต้องใช้ ใช้แล้วไม่เป็นผลดี [ ใช้ผลั้ง กรรมหนัก-จะสร้างมารอธิษฐานฤทธิ์มาล้าง ระวังให้ดี ]
    พูดดีเพราะไม่มีใช้ พูดมากไปก็ไม่ดี [ อันนี้กล่าวเตือนตนเอง ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...