เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 พฤษภาคม 2025 at 16:35.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,735
    ค่าพลัง:
    +26,606
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,735
    ค่าพลัง:
    +26,606
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อวานนี้หลังจากออกจากห้างสรรพสินค้า PARAS DOWNTOWN SQUARE MALL ออกไปแล้ว ถนนหนทางก็โล่งสบาย พากันวิ่งไปจนกระทั่งถึงสนามบินเมืองจันทิครห์ (จัน-ทิ-คร) หรือ จันทริครห์ (จัน-ทิ-คะ-ระ)

    เมื่อไปถึงก็จะมีเจ้าหน้าที่ตัวเท่าบ้านเท่าตึก ตรวจตั๋วเครื่องบินและหนังสือเดินทางว่าตรงกันหรือไม่ ? เมื่อเห็นว่าตรงกันแล้ว ถึงได้ปล่อยให้เข้าไปภายในเพื่อเช็คอิน ครั้นเช็คอินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปหาที่นั่งรอเวลา เนื่องเพราะว่าเวลาที่เครื่องจะขึ้นก็คือ ๔ ทุ่มของประเทศอินเดีย..!

    เป็นเรื่องตลกที่ว่าภายนอกอากาศ ๑๒ องศาเซลเซียส กระผม/อาตมภาพไม่รู้สึกสะทกสะเทือนอะไร เย็นสบายดีเสียด้วยซ้ำไป แต่เข้ามาภายในสนามบิน กลับรู้สึกหนาวจากเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นระบบท่อ ส่งออกมาเป็นท่อใหญ่ ๆ ประมาณหน้ากว้าง ๖ นิ้ว หรือว่า ๘ นิ้วเลยทีเดียว..!

    เมื่อพวกเรารอจนกระทั่งได้เวลา เจ้าหน้าที่ก็มาเรียกขึ้นเครื่อง หลงดีใจว่าเรามีเวลาเผื่อเอาไว้มากที่สนามบินนานาชาติอินทิราคานธี เมืองนิวเดลี แต่ปรากฏว่าพวกเรามาถึงสนามบินกันตอนเที่ยงคืนเศษ กระผม/อาตมภาพยังคิดว่านาฬิกาตนเองเสียหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าจากจันทิครห์มาถึงเดลีนั้น ใช้เวลาบินแค่ชั่วโมงเดียว เครื่องของเราขึ้นตอน ๔ ทุ่มก็ควรจะถึงตอน ๕ ทุ่ม ไม่ใช่ถึงเอาเที่ยงคืนกว่าแบบนี้ ??

    ปรากฏว่าทางกัปตันต้องพาเครื่องบินอ้อมพายุ เพื่อที่จะให้บรรดาผู้โดยสารทุกคนได้รับความปลอดภัย จึงได้เสียเวลาไปเป็นชั่วโมง ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ส่วนใหญ่แล้วเครื่องบินจะเติมน้ำมันแค่พอเดินทางในระยะบินของตนเองเท่านั้น เนื่องเพราะกลัวว่าถ้าน้ำมันมีมากแล้ว ถึงเวลาเครื่องลงอาจจะกระทบกระเทือนถึงกับระเบิด จนเกิดไฟไหม้กันได้..!

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเครื่องบินที่มีปัญหานั้น เมื่อถึงเวลาจะลงสนามบิน ต้องถ่ายน้ำมันทิ้งทั้งหมดก่อนถึงจะลงได้ แต่ว่าพวกเรามาลงได้โดยปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่บินจนเลยเวลาไปชั่วโมงกว่า..!!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,735
    ค่าพลัง:
    +26,606
    แต่การทำงานของแขกอินเดียก็ทำเอาพวกเรา "น้ำตาจิไหล" เนื่องเพราะว่าทุกคนทำงานของตน โดยไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะตกเครื่องบินหรือไม่..! เมื่อพวกเรารับกระเป๋าแล้ว ต้องมาผ่านการเข้าไปเพื่อที่จะตรวจเช็คอิน ก็มีเจ้าหน้าที่ตัวเท่าบ้านเท่าตึก มาตรวจหนังสือเดินทางกับตั๋วเครื่องบินว่าตรงกันหรือเปล่า ? โดยเฉพาะสมณศักดิ์ยาว ๆ อย่างของกระผม/อาตมภาพ เป็นต้น

    เมื่อตรวจเสร็จสรรพเรียบร้อยปล่อยเข้าไปแล้ว ก็ยังต้องมาเข้าคิวรอ เพื่อที่จะผ่านกองตรวจคนเข้าเมืองอินเดีย เจ้าหน้าที่ก็ทำแบบเดิม ก็คือมาตรวจตั๋วกับหนังสือเดินทางว่าตรงกันหรือไม่ ? กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่นึกในใจว่า "ถ้ากูตกเครื่องบิน งานนี้มีเฮแน่..!" บรรดาแถวที่ยาวเหยียดนับพัน ๆ คนแบบนี้ คุณมาค่อย ๆ ตรวจทีละคน แถมยังผ่านไปแล้ว ต้องไปรอให้ผ่านเครื่องตรวจเอ๊กซเรย์อีก ซึ่งกว่าจะผ่านเข้าไปได้ ถาดก็มีน้อย เจ้าหน้าที่ก็ตรวจตราละเอียดเหลือคณา..!

    กระผม/อาตมภาพที่เดินผ่านไปโดยไม่มีเสียงดังเลย เจ้าหน้าที่ก็ยังเอาเครื่องตรวจมากวาดซ้าย กวาดขวา กวาดหน้า กวาดหลัง แล้วก็ถามหาบอร์ดดิ้งพาส กระผม/อาตมภาพชี้ว่าอยู่ในถาด ซึ่งเข้าเครื่องเอ๊กซเรย์ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้รอจนกระทั่งถาดมา ถึงเอาบอร์ดดิ้งพาสมาประทับตราอนุญาตให้ผ่านเข้าไปได้..!

    เมื่อผ่านเข้าไป ทุกคนรู้ว่าเป้าหมายของตนเองอยู่ที่ไหน ก็ตรงดิ่งเข้าไปยังทางออกขึ้นเครื่อง นั่งรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ รอกันไปเป็นชั่วโมง กว่าที่จะมีเจ้าหน้าที่มาถึง แต่เจ้าหน้าที่กลับมาเชิญพวกเราทั้งหมดออกเสียก่อน แล้วก็ให้แสดงตั๋วเข้าไปใหม่ทีละคน กว่าที่จะตรวจสอบครบครันก็ทำเอาเลยเวลาเครื่องขึ้นไปแล้ว ซ้ำตอนที่ขึ้นไปบนเครื่องบิน ก็ยังมีการใช้คอมพิวเตอร์มือถือมายืนเล็งทีละคนอีกว่า ใช่ผู้โดยสารตัวจริงหรือไม่ ?!

    แค่นั้นยังไม่พอ ขึ้นเครื่องมาแล้ว เจอน้องหนูชาวไทยเพราะว่าเป็นเครื่องการบินไทย ก็ยังอุตส่าห์ถามหาและขอดูว่านั่งหมายเลขอะไร ? กระผม/อาตมภาพได้แต่นึกในใจว่า "กูจะบ้า..!" พวกเราจะรีบกลับบ้าน แต่ว่าทุกคนดูท่าว่าบ้านจะอยู่ที่อินเดียนี้ ก็เลยไม่รีบร้อนอะไร ?

    แต่ก็ยังดีตรงที่ว่าเมื่อน้อมจิตน้อมใจอุทิศส่วนกุศล ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่รักษาตลอดเส้นทางเดินในวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ จะเป็นอากาศเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี ภุมมเทวดาก็ดี ตลอดจกกระทั่งเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์ก็ตาม ทำให้เกิดความคล่องตัว จนกระทั่งกัปตันอุกฤษฏ์นำเอาเครื่องมาลงที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิก่อนเวลา ๒๐ นาที..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,735
    ค่าพลัง:
    +26,606
    พวกเราขึ้นรถไฟฟ้ามายังอาคารผู้โดยสาร ผ่านการตรวจเข้าเมืองของประเทศไทยที่เร็วปานสายฟ้าแลบ คนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ประมาณ ๓ วินาทีเท่านั้น มาคิดว่าถ้าประเทศอินเดียนักท่องเที่ยวมากเท่าประเทศไทย จะนรกแตกขนาดไหนก็ไม่รู้..!?

    พวกเรามารอรับกระเป๋ากันที่สายพานหมายเลข ๑๐ กระผม/อาตมภาพที่เมื่อวานได้ทิปให้กับคนขับรถบัสไป ๑,๐๐๐ รูปี ทิปให้กับเด็กรถจอมเฟรนลี่ของเราไป ๕๐๐ รูปีแล้ว วันนี้ก็มามอบให้น้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) ๓,๐๐๐ รูปี และให้กับคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็นซีทัวร์อีก ๕,๐๐๐ รูปี กลายเป็นว่าเงินที่มีอยู่ยังเหลืออีกตั้งมาก ไม่นึกว่า "พระคาถาเงินล้านสูตรพิเศษ" จะมีผลจนขนาดนี้..!

    หลังจากที่ได้รับกระเป๋ากันมา ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของแต่ละคนและร่ำลากันแล้ว กระผม/อาตมภาพ ก็ขึ้นรถตู้ที่คุณปิง (นายณัฐภาคย์ องค์วรวิทย์) มารับ วิ่งไปแบบถนนโล่ง ๆ เนื่องเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดชดเชยวันฉัตรมงคล กลับไปถึงที่พักก็ฉันเพลแล้วนอนพัก หลังจากลุกขึ้นมาก็บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้กับทุกท่านได้ฟังต่อ

    งานนี้สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ แม้แต่คุณเอและน้องการ์ตูน ซึ่งเดินทางไปธรรมศาลามาคนละหลาย ๆ รอบแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้เฝ้าองค์ดาไลลามะเลย ถึงไปดักรอที่พุทธคยาทุกปี แต่ก็ท้อกระแสคนเป็นแสน..! จนกระทั่งไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า และองค์ดาไลลามะนั้น เพิ่งเปิดให้คณะของเราเข้าเฝ้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่หลังปีใหม่เป็นต้นมา อาจจะเป็นเพราะสุขภาพของพระองค์ท่าน หรือว่ามีกิจการงานอื่นก็ไม่ทราบได้

    แต่กราบขออภัยนะครับหลวงปู่ ถ้าหลวงปู่จะให้กระผมอยู่ต่อด้วยกัน ก็ต้องให้กระผมแข็งแรงพอนะขอรับ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยแทบจะคลานแบบทุกวันนี้ เห็นท่าจะไม่รับประทานขอรับ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,735
    ค่าพลัง:
    +26,606
    อีกส่วนหนึ่งก็คือการที่พระลามะ ตลอดจนกระทั่งสามเณรทั้งหลาย ฝึกฝนการเขียนภาพทังกา ปักภาพทังกา หรือว่าโรยทรายสร้าง "มันดาลา" หรือว่า "มณฑลพุทธเกษตร" นั้น หลายท่านเห็นแล้วอาจจะรู้สึกว่าพระเณรเรามาทำเรื่องอะไรแบบนี้ ? ทำไมไม่ให้ฆราวาสเขามาทำ ? ก็ขอให้ทุกคนนึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อของเรา ซึ่งเขียนเลขเขียนยันต์ลบผงต่าง ๆ

    แม้กระทั่งหลวงปู่เจี๊ยะ (พระครูสุทธิธรรมรังษี) วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จังหวัดปทุมธานี ก็ใช้วิธีตีเหล็ก หรือว่าทุบหินสร้างถนนหนทาง สร้างทางจงกรม นั่นก็คือการปฏิบัติธรรมชั้นยอด โดยที่อาศัยสิ่งอื่นเป็นเครื่องโยง เพราะว่าต้องเข้าสมาธิในการที่จะเขียนภาพทังกา หรือว่าปักภาพทังกา ตลอดจนกระทั่งลงสี โรยทรายสร้างมันดาลา ถ้าสมาธิเสื่อมลงก็ต้องหยุดก่อน รอจนกระทั่งร่างกายไหวก็เข้าสมาธิทำใหม่

    นั่นก็คือการซักซ้อมเข้าออกสมาธิ และเป็นสมาธิใช้งานเสียด้วย ดังนั้น..เราจะเห็นว่าบรรดาพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งองค์ลามะของทางด้านทิเบตก็ดี วัชรยานก็ตาม ที่ปฏิบัติกันวิธีนี้ ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับที่เรียกว่า "ใช้ได้เลย" ทั้งสิ้น เพราะว่าได้รับการฝึกฝนมากันแบบนี้เอง

    หลวงปู่หลวงพ่อของบ้านเรา ที่ซักซ้อมเขียนเลขเขียนยันต์ให้เห็นอย่างชัดเจน อันดับแรกเลยก็หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท ท่านเองเขียนเลขเขียนยันต์ผลิตวัตถุมงคลกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมให้จิตคลายออกมาโดน รัก โลภ โกรธ หลง โจมตีได้

    อีกท่านหนึ่งที่เห็นชัด ๆ หลวงปู่เจ้าคุณทอง (พระศีลมงคล) วัดสำเภาเชย จังหวัดปัตตานี กระผม/อาตมภาพนั่งคุยกับท่าน ท่านก็ถักเชือกถักตะกรุดของท่านไปเรื่อย สมาธิทรงตัวแน่วนิ่งดีมาก ๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...