เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 มีนาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันสองวันนี้มีคนเสียใจกันเยอะหน่อย เพราะว่าถูกหวยรับประทาน มีคำคมท้ายรถสิบล้อที่เคยอ่านเจอเขาบอกว่า "การถูกหวยถือว่าเป็นของแปลก ถ้าถูกหวยแดกถือว่าธรรมดา" เพราะฉะนั้น...ถ้าใครยังจะเล่นหวยต่อ ก็โปรดตัดสินใจกันเอาเอง

    วันก่อนทิดโจ้ (ปฏิวัต สมสะอาด) มาลาสึก หลังจากที่อยู่ช่วยงานมาหลายปี ถือเป็นกำลังสำคัญรูปหนึ่งของวัดท่าขนุน โดยเฉพาะในการเป็นครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน แล้วก็เป็นวิทยากรในการอบรมนักเรียน เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ทดแทนกันได้ยาก เพราะว่าหลายท่านภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Born to be เกิดมาเพื่อเรื่องประเภทนั้น ซึ่งจะมีความคล่องตัวมากกว่าคนอื่นเขา

    เรื่องนี้แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีความคล่องตัวแตกต่างกัน อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์วิชชาสาม แม้ว่าจะมีความรู้ครบ ๓ อย่าง ก็คือระลึกชาติได้ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน และทำให้กิเลสสิ้นไปได้ ข้อสุดท้ายมีเท่ากัน แต่สองข้อแรกมีไม่เท่ากัน อย่างเช่นว่าการระลึกชาติ หรือปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกได้ร้อยชาติบ้าง ห้าร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หนึ่งกัปบ้าง สองกัปบ้าง ฯลฯ


    ถ้ากล่าวถึงในพระไตรปิฎกแล้ว นอกจากพระพุทธเจ้าที่ระลึกชาติได้ไม่จำกัด ก็มีพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระมหากัสสปะ และนางภัททากัจจานา ที่เรารู้จักกันในนามของพระนางพิมพาเถรี ท่านเหล่านี้บาลีใช้คำว่า มหาอภิญญา ก็คือระลึกชาติได้ไม่จำกัด ส่วนที่เหลือก็ได้มากน้อยต่างกันไป ตามกำลังบารมีที่สั่งสมกันมา หรือว่าตามความสามารถเฉพาะทางของท่าน

    บางท่านอย่างเช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เป็นผู้ที่เลิศด้วยฤทธิ์และปัญญา แต่ทิพจักขุญาณสู้พระอนุรุทธเถระไม่ได้ เพราะว่าพระอนุรุทธเถระท่านสร้างบุญในด้านทิพจักขุญาณมาโดยตรง เป็นต้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    แบบเดียวกับในเอตทัคคะปาลิ นกุลปิตากับนกุลมาตาสองสามีภรรยา เป็นเอตทัคคะทางเป็นผู้คุ้นเคยอย่างยิ่งกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรงจุดนี้ไม่มีใครทดแทนได้ ทั้ง ๒ ท่านเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็นั่งร้องไห้ ถามว่า "ลูกไปไหนมา..เพิ่งจะกลับ ?" พระภิกษุอื่น ๆ ก็สงสัย พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสว่า นกุลปิตากับนกุลมาตาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ของพระองค์ท่านมา ๕๐๐ ชาติติดต่อกัน ดังนั้น...เห็นหน้าก็เหมือนอย่างกับเห็นลูก แต่ชาตินี้ลูกไปนานหน่อย เพิ่งจะกลับมาให้เห็น

    ตรงจุดนี้ต้องบอกว่า เรื่องของเราทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุหรือว่าฆราวาสก็ตาม หลายท่านก็อยากจะทำหน้าที่แทนท่านนั้น แทนท่านนี้ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มาสายพุทธภูมิ และระดับปรมัตถบารมีแล้ว อย่าไปแทนเขาเลย ไม่มีทางทำได้เหมือน เนื่องจากว่าแต่ละคนสร้างสมบารมีมาอย่างหนึ่ง มีอธิษฐานบารมีมาอีกอย่างหนึ่ง ทำให้ตราบใดที่ถ้าบุคคลนั้นยังอยู่ เราไม่สามารถที่จะทดแทนกันได้

    แบบเดียวกับที่ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าศึกษาในเอตทัคคะปาลิ มีชีวประวัติของพระมหาสาวกแต่ละท่านในอดีต เมื่อเกิดทันองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เห็นพระเถระองค์ใดที่ประทับใจ ก็มักจะตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ได้เป็นผู้ที่มีความชำนาญแบบพระเถระองค์นั้น ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตข้างหน้า นี่คือลักษณะของอธิษฐานบารมีที่ตั้งใจมา

    ดังนั้น...เมื่อมีบุคคลที่ตำหนิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตั้งพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกซ้ายขวา เพราะเห็นแก่ทั้งสองที่เป็นคนรวย ถ้าจะตั้งควรที่จะตั้งปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ถือว่าอาวุโสสูงสุด ตั้งแต่พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ เป็นต้น ให้เป็นพระอัครสาวก

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรอธิษฐานมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในเมื่ออธิษฐานและสร้างบุญมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ บุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทดแทนได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เรื่องบางเรื่องที่พวกเราบางท่านทำกันอยู่ จึงเป็นเรื่องที่เป็นความชำนาญเฉพาะ คนอื่นอยากจะทำก็ต้องเข้าไปศึกษาหาความรู้ แบบเดียวกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นเหล่าภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระโมคคัลลานะหรือไม่ ?" พระอานนท์กราบเรียนว่า "เห็นพระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ยินดีในอภิญญาสมาบัติ"

    "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นเหล่าภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรหรือไม่ ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "เห็นพระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ยินดีในการใช้ปัญญา"

    "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นเหล่าภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระพระปุณณมันตานีบุตรหรือไม่ ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "เห็นพระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ยินดีในธรรมกถึก" ก็คือชอบเป็นนักเทศน์

    ก็แปลว่าแม้เราไม่ใช่ผู้ชำนาญในเรื่องนั้น แต่ถ้าเรามีความยินดีและความชอบในเรื่องนั้น ก็สามารถที่จะศึกษาหาความรู้จากท่านที่เป็นต้นแบบได้

    แต่คราวนี้การที่วัดซึ่งมีพระค่อนข้างจะมากสำหรับในปัจจุบัน อย่างเช่นวันนี้ การลงปาฏิโมกข์ของเรา ถ้าไม่นับเวรยาม ยังมีพระลงปาฏิโมกข์ ๔๒ รูป การที่เราชอบใจรุ่นพี่ รุ่นอาจารย์รูปใดท่านใด แล้วเข้าไปศึกษาปฏิปทา ต้องระมัดระวังว่า นานไปจะเป็นการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายหรือเปล่า ? ตรงจุดนี้ต้องระวังให้จงหนัก เพราะว่าเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายวัดด้วยกัน โดยเฉพาะถ้าเจ้าอาวาสยังกิเลสท่วมหัวอยู่ ก็ถึงขนาดทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงตำแหน่งกันมาแล้ว..!

    เราต้องดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เมื่อพระมหากัจจายนะนำเหล่าภิกษุจากกรุงอุชเชนี ๒๐๐ รูปมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสต่อภิกษุทั้งหลาย สรรเสริญว่าพระมหากัจจายนะเป็นเถระผู้รอบรู้ในพระธรรมวินัย มีความสามารถในการอธิบายความย่อให้พิสดารได้ มีความสามารถในการอบรมสั่งสอนกุลบุตรที่บวชปฏิบัติธรรมตามได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เมื่อพระอุรุเวลกัสสปะพาบริวาร ๕๐๐ รูปมาถวายความเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "อุรุเวลกัสสปะเป็นพระมหาเถระผู้เปี่ยมด้วยความรู้ตั้งแต่สมัยเป็นนักบวชชฎิลอยู่ เป็นผู้ที่มีบุคคลเลื่อมใสบวชตามเป็นจำนวนมาก เป็นรัตตัญญู มีความรู้ความสามารถในการอบรมกุลบุตรผู้บวชแล้วติดตามศึกษาพระธรรมวินัย" เหล่านี้เป็นต้น

    เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสยกย่องบุคคลโน้น บุคคลนี้ ซึ่งช่วยกันประคับประคองพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง โดยปราศจากจิตริษยาแม้แต่น้อย ขนาดบุคคลที่ตั้งตนเป็นศัตรูอย่างพระเทวทัต พระองค์ท่านก็ยังคงสงเคราะห์เสมอกับผู้อื่น

    แต่คราวนี้ด้วยความที่ว่าในปัจจุบันนั้น "หัววัด" หรือเจ้าอาวาส น้อยนักที่จะเป็นบุคคลที่สิ้นกิเลส จึงทำให้เกิดความหวาดระแวงว่า บุคคลนั้นมีผู้ติดตามมาก บุคคลนี้มีผู้ติดตามมาก จะมาแย่งชิงตำแหน่งแห่งที่ของตนหรือเปล่า ? แล้วก็เกิดการเบียดเบียนกันด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จึงทำให้วัดวาอารามแตกร้าว ร้อนรน หาความสงบไม่ได้
    บรรดาท่านทั้งหลายที่ช่วยงานกระผม/อาตมภาพอยู่ จะช่วยมากหรือช่วยน้อยก็ตาม ก็ถือว่าเป็นคุณความดีที่ท่านทั้งหลายช่วยกันแบ่งเบาภาระของครูบาอาจารย์


    ในบรรดาหมู่ลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุสามเณรซึ่งกระผม/อาตมภาพเป็นผู้บวชให้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าภาพ เป็นคู่สวด หรือว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ก็ตาม ถ้าหากว่าอย่างในปัจจุบันนี้ก็จะมีท่านมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ.๖) ที่สามารถเรียกใช้งานได้แบบมีความหนักใจน้อยมาก เพราะว่าภาระใหญ่ภาระเล็กท่านสามารถรับแทนได้หมด แม้กระทั่งให้ไปบูรณปฏิสังขรณ์วัดทั้งวัด ท่านก็ทำได้โดยไม่หนักใจ เป็นต้น

    ถ้าหากว่าเป็นการออกแบบ กระผม/อาตมภาพก็ต้องพึ่ง ดร.หนึ่ง (พระจิตศิลป์ เหมรํสี, ดร.) หรือถ้าหากว่าติดต่อในเรื่องของด้านการศึกษา ประสานงานกับทางมหาวิทยาลัยแม่ คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก็ต้องอาศัยพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. เป็นต้น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เรื่องพวกนี้เราจะเห็นว่า ถ้าให้เราไปทำหน้าที่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ความถนัดโดยตรง แต่ว่าเราก็ต้องช่วยคอยสนับสนุนกันอยู่ห่าง ๆ หรือว่าจะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจเข้าไปช่วยเต็มที่ ก็แล้วแต่กำลังใจมากน้อยของแต่ละคน

    ถ้าหากว่าบุคคลที่ช่วยงานในเว็บวัดท่าขนุน ซึ่งรุ่นเก่า ๆ ก็เลือนลางจืดจางหายไปหลายต่อหลายราย ใหม่ ๆ ที่อยู่ที่เป็นหลักในปัจจุบันก็อย่างไอ้ตัวเล็ก (พัชรีภรณ์ หยกอุบล) หรือไม่ก็แม่ชีกุ๋ย (อุษณี วงศ์ไตรรัตน์) หรือถ้าหากว่าที่เป็นหลักในการถอดเสียงธรรมเป็นตัวอักษรอย่างเผือกน้อย (เฉลิมเดช รุจิราวรรณ) ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ต้องบอกว่ามีหน้าที่การงานประจำทุกคน แต่ว่าทุ่มเทกำลังใจให้กับงานตรงหน้า ซึ่งถ้าไม่มีคนทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพก็คงแบกงานตายอยู่คนเดียว

    อย่างที่เดินทางไปเหนือไปใต้ ถ้าหากว่าไปด้วยเครื่องบิน ก็มีป้ามอย (มณีวรรณ สัมฤทธิ์) ดูแลตรงนี้ให้ ถ้าไปโดยรถยนต์ก็มีน้องเล็ก (จิราพร ซื่อตรงต่อการ) หรือไม่ก็แดง (มงคล ม่วงน้อยเจริญ) ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

    ดังนั้น...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราเห็น ไม่ใช่อิจฉา แต่ว่ารีบโมทนาด้วย เป็นบุญกุศลที่ได้ง่ายที่สุด แต่ทำได้ยากที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าเราวางกำลังใจยินดีกับความดีของคนอื่นได้ยาก ส่วนใหญ่ทุกวันนี้ที่สาธุกันอยู่ ก็คือ "กูจะเอาบุญของมึง" ซึ่งเป็นการวางกำลังใจที่ผิด แทนที่จะได้สัก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ของคนทำ ก็กลายเป็นว่าอาจจะเหลือแค่ ๓ เปอร์เซ็นต์ ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

    เพราะว่าการวางกำลังใจในปัตตานุโมทนามัยนั้นก็คือ ในขณะที่เราอยากทำสิ่งนั้นเป็นอย่างยิ่งแล้วไม่มีโอกาสได้ทำ แต่มีบุคคลอื่นได้ทำในสิ่งนั้นแทนเรา เราพลอยยินดีในสิ่งที่เขาทำ เหมือนกับเราได้ทำด้วยตนเอง
    เพราะฉะนั้น...ปัตตานุโมทนามัยจึงเป็นบุญที่ได้ง่ายที่สุด แต่ทำยากที่สุด บุคคลที่จะประกอบไปด้วยปัตตานุโมทนามัย จะต้องทรงพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะมุทิตาพรหมวิหารเป็นปกติ บุคคลทั้งหลายเหล่านี้อิจฉาใครไม่เป็น ประมาณที่ภาษิตจีนเขาบอกว่า "โดนเขาหลอกไปขายก็ยังอุตส่าห์ช่วยเขานับเงิน" ไม่รู้หรอกว่าไอ้เงินที่ตัวเองนับ ก็คือเงินที่เขาซื้อตัวเองนั่นแหละ..!

    ให้พวกเราพิจารณาดูกำลังใจของเรากันว่า ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร อยากเป็นอย่างเขาไม่ใช่ความผิด แต่ต้องพยายามเลียนแบบและทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยอย่าไปอิจฉาริษยา สิ่งหนึ่งประการใดที่เราทำมาในอดีต ต่อให้ไม่อยากได้ ถึงเวลาก็จะมาเอง ดังนั้น...ถ้าหากเราตั้งหน้าตั้งตาสร้างความดีของเราไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงเวลา ถึงวาระที่เหมาะสม สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะมาถึงเอง โดยที่ไม่มีอะไรขัดขวางได้

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่ ซึ่งพลอยได้ฟังสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปด้วย..ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...