เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 20240530.jpg
      20240530.jpg
      ขนาดไฟล์:
      252.5 KB
      เปิดดู:
      54
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพต้องไปให้หมอซ่อมสุขภาพตามนัด ปรากฏว่างานนี้น่าจะหนักอยู่สักหน่อย จึงทำให้คุณหมอต้องใช้เวลามากกว่าปกติถึง ๓ เท่า กว่าที่จะยอมปล่อยออกมาให้ฉันเพลได้

    ก็ต้องบอกว่าสภาพร่างกายก็เฒ่าชะแรแก่ชราไปเรื่อย สุขภาพร่างกายก็ย่อมไม่เหมือนกับสมัยที่ยังหนุ่มอยู่ แม้ว่าถ้าไปนั่งร่วมกับเพื่อนฝูงร่วมรุ่นแล้ว กระผม/อาตมภาพจะดูว่าเด็กกว่าเขามาก แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่หลอกสายตาผู้คนเท่านั้น สภาพร่างกายจริง ๆ แล้วก็คือชายชราอายุ ๖๕ ย่าง ๖๖ ปีนั่นเอง

    เรื่องนี้เราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า ชีวิตก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เป็นปัจฉิมวาจาว่า วะยะ ธัมมา สังขารา สังขารนี้มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา และสรุปท้ายว่า อัปมมาเทนะ สัมปาเทถะ ขอเธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นการสรุปหลักธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาไว้ในที่เดียว

    หลังจากที่ซ่อมสุขภาพและฉันเพลแล้ว ก็ต้องมาปวดหัวจี๊ดกับข่าวที่เกิดขึ้น ก็คือเรื่องของท่านปลัดเจ้าอาวาสรูปหนึ่งแถวเขาใหญ่ ที่สั่งให้พรานล่าสัตว์มาเพื่อใช้เป็นอาหาร เมื่อคณะเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นกุฏิ ก็เจอทั้งเลียงผา อุ้งเท้าหมี ตลอดจนกระทั่งบรรดาซากสัตว์ต่าง ๆ อย่างเช่นว่าหัวกระทิง หัวเก้งกวาง เป็นต้น

    ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่พิจารณาแล้วยอมให้ท่านประกันตัวก็ดี หรือว่าการที่ท่านหลบหน้าหายจากวัดไปเลย หลังจากได้รับการประกันตัวแล้วก็ดี นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นก็คือว่า ในความเป็นพระนั้น ท่านยังอยากที่จะฉันเนื้อสัตว์ป่าอยู่อีกหรือ ?

    ถ้าหากว่าท่านเป็นบุคคลผู้หนักในเนื้อสัตว์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพไม่เคยชินแม้แต่น้อย เวลาเห็นบุคคลรอบตัวอย่างน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ก็ดี หม่าม๊า (นางสาวไพรินทร์ สุวิชชาญพันธุ์) หรือว่าลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ก็ตาม ล้อมวงกับลุยกระจายกับบรรดาสเต๊ก ไม่ว่าจะเป็นระดับมีเดี่ยม หรือว่าระดับแรร์อะไรก็ตาม

    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่นั่งมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ซึ่งลูกกิฟท์ก็ยังออกปากว่า "พวกหนูเป็นสัตว์กินเนื้อ ไม่ใช่ไพรเมตอย่างหลวงตา" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ เนื่องเพราะว่าตนเองฉันเนื้อสัตว์เพราะปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ฉันมังสวิรัติ เพราะว่าญาติโยมจะเดือดร้อน แต่คนที่สังเกตก็จะเห็นว่าหนักไปทางผักหรือผลไม้มากกว่า
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น ถ้าหากว่าท่านพระปลัดเจ้าอาวาสรูปนั้น เป็นสัตว์กินเนื้อประเภทลูกกิฟท์ หรือว่าพรรคพวกก็ตาม พวกหมู พวกไก่ พวกปลา ก็มีเต็มตลาด ไม่มีความจำเป็นที่ท่านจะต้องไปสั่งพรานให้ล่าสัตว์เลย

    โดยเฉพาะสัตว์ป่าคุ้มครองอย่างกระทิง หรือว่าเก้ง กวาง ตลอดจนกระทั่งหมีควาย ก็เป็นเรื่องที่สาหัสแล้ว ยังไปเจอสัตว์ป่าสงวนซึ่งโทษหนักกว่าหลายเท่า อย่างเลียงผาเข้าไปด้วย ก็ได้แต่ขอให้ท่านอยู่รอดปลอดภัยต่อไปก็แล้วกัน

    เนื่องเพราะว่าการที่ครูบาอาจารย์สักเอาแต่ว่าบวชให้ แล้วไม่มีการพร่ำบ่นสั่งสอน ก็ทำเอาบรรดาลูกศิษย์ออกมาในสภาพแบบนี้ เนื่องเพราะว่าขาดอาหาเรปฏิกูลสัญญายังไม่พอ ยังปล่อยให้ตนเองกินตามใจปากอีกต่างหาก แล้วแบบนี้ เราซึ่งอยู่ในฐานะของนักบวช ผู้ละกิเลส ผู้มีบาปอันลอยแล้ว ท่านจะเป็นนักบวชที่ดีได้อย่างไร ? ในเมื่อตนเองยังสอนตนเองไม่ได้ แล้วจะสอนคนอื่นได้เต็มปากเต็มคำได้อย่างไร ?

    จงอย่าลืมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไร เราก็ต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็คือไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีหน้าไม่มีหลัง ไม่ใช่ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก เหมือนสุภาษิตไทย แล้วก็ไม่ใช่ว่า "จงทำอย่างที่ข้าพเจ้าบอก แต่อย่าทำอย่างที่ข้าพเจ้าทำ" เพราะว่านั่นเท่ากับว่าท่านเป็นผู้นำที่เลว มีแต่จะพาผู้ตามให้ตกลงในที่ต่ำอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น

    จะว่าไปแล้ว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็เกิดจากบารมีเก่าด้วย เนื่องเพราะมีผู้ปรารภว่า ทำไมบุคคลสมัยนี้จึงเชื่อเรื่องนอกศาสนาง่ายมาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอันดับแรกเลย ยังถือมงคลตื่นข่าวอยู่ ขาดการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้น

    ในเมื่อไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้น ไม่เห็นคุณงามความดีในพระรัตนตรัย ก็ย่อมที่จะเชื่อถือทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองเห็นว่าวิเศษ ประหลาด หรือว่าเป็นที่พึ่งของตนได้ แล้วโดยเฉพาะคนเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว หากแต่ว่าเกิดมาไม่นับ หรือว่าเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ก็ย่อมต้องมีบุญสัมพันธ์ กรรมสัมพันธ์กับบุคคลบางประเภท ซึ่งอาจจะชักนำให้เราหลงผิดไปก็ได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องยาก อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยปรารภอยู่เสมอว่า เมื่อเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในชีวิต ซึ่งแปลว่าเคราะห์กรรมในอดีตตามมาสนอง ท่านก็ต้องเร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ เพื่ออาศัยกุศลใหญ่ตรงนี้ หนีให้ห่างอกุศลกรรมที่ตามมาทัน

    แต่ท่านกลับไม่ได้กระทำดังนั้น กลับไปเปลี่ยนชื่อบ้าง ไปสะเดาะเคราะห์บ้าง ไปต่อลายมือบ้าง ซึ่งเรื่องพวกนี้นั้นเป็นเรื่องมักง่ายที่ได้แค่กำลังใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ผลในการเกิดอย่างแท้จริง ให้คุณงามความดีมีอยู่กับเราจนห่างจากสิ่งที่ไม่ดีนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้น

    หรือที่มักง่ายยิ่งกว่านั้น ก็จะไปหาบรรดาผู้ทรงเจ้าเข้าผี ตลอดจนกระทั่งบุคคลที่เชื่อว่ามีความวิเศษ แล้วก็ไปโดนเขาหลอกลวง เนื่องเพราะว่าวิธีการแก้ไขแต่ละอย่างนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทองเป็นจำนวนมาก ๆ ทั้งสิ้น

    แต่ด้วยความที่ท่านขาดความพยายามในการกระทำคุณงามความดีด้วยตนเอง ก็ไปหวังว่าคนอื่นจะช่วยให้ท่านเข้าถึงได้ จึงต้องไปจ่ายเงินให้เขาเป็นจำนวนมาก ๆ กว่าที่จะรู้ตัว บางทีก็บ้านแตกสาแหรกขาด ครอบครัวพังสลาย เนื่องเพราะว่าฝ่ายหนึ่งรู้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งหลง ไม่สามารถที่จะไปต่อกันได้ อยู่ในลักษณะที่ว่ากำลังใจไม่เสมอกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมสร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วก็มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่ายุคสมัยนี้ ข่าวคราวต่าง ๆ ไปเร็วมาก ดังนั้น...ในเรื่องของบุคคลที่เชื่อผิด หลงผิดก็ดี บุคคลที่รู้ไม่จริงแล้วสอนธรรมก็ตาม จึงเป็นข่าวคราวถึงท่านทั้งหลายได้รวดเร็วมาก แล้วท่านทั้งหลายก็จะตะเกียกตะกายเข้าไปหา กลายเป็นเหยื่อของสื่อโซเชียลโดยไม่รู้ตัว

    ก็ต้องบอกว่าบุคคลที่สร้างบุญบารมีเก่าเอาไว้ดี ย่อมพบครูบาอาจารย์ที่ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้กับท่านได้ บุคคลที่สร้างกรรมเก่าเอาไว้มาก ก็ย่อมต้องหลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ไปอีกยาวนานจนประมาณไม่ได้ กลายเป็นเรื่องที่จะว่าน่าสงสารก็ใช่ แต่จำเป็นที่จะต้องวางกำลังใจให้เป็นกลาง เพื่อไม่ให้ยินดียินร้ายกับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แล้วสร้างความเศร้าหมองให้เกิดแก่จิตของตน จนอาจจะนำพาตนตกลงสู่ที่ต่ำก็เป็นได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...