เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 มกราคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อวานนี้ญาติโยมหลายท่าน กว่าที่จะฝ่ารถติดกลับถึงบ้านได้ก็ค่ำมืดดึกดื่น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติของช่วงเทศกาลวันหยุดยาว เพราะว่าคนทั้งหลายก็แย่งกันกินแย่งกันเที่ยว แต่ว่าพวกเรากลับมาปฏิบัติธรรมกัน จะว่าไปแล้ว ถ้าเปรียบไปก็เหมือนผึ้งกับแมลงวัน ต่างคนต่างมีสิ่งที่ชอบของตนเอง ผึ้งก็บินขึ้นที่สูงไปหาน้ำหวานจากดอกไม้ แมลงวันก็บินลงที่ต่ำ หาของเน่าตอมตามวิสัยของตน

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นการกระทำที่บอกอนาคตของทุกคนได้ ว่าจะมีสุคติหรือว่าทุคติเป็นที่ไป แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะโดนอวิชชา คือความมืดบอดมาบดบัง จนมองไม่เห็นว่าควรที่จะต้องสร้างคุณงามความดีหรือว่ากุศลเอาไว้ เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางข้ามวัฏสงสารของแต่ละคน ดีไม่ดียังไปขัดขวาง หรือว่ากระแนะกระแหน ออกไปในแนวทาง "บูลลี่" คนที่ทำความดีอีกด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องได้แต่บอกว่า "ทางใครทางมัน" ใครชอบทางไหนก็เดินไปตามวิสัยของตนเอง

    สำหรับวันนี้ ต้องขอแสดงความเสียใจกับชาวญี่ปุ่น ที่เกิดแผ่นดินไหวขนาด ๗.๖ ริกเตอร์ แล้วเกิดสึนามิ ยังดีที่ว่าคลื่นใหญ่ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวนั้น ชาวญี่ปุ่นคุ้นเคยกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว ขนาดชื่อ "สึนามิ" ที่เรารู้จักกันทั่วโลกก็ยังเป็นชื่อจากญี่ปุ่น จึงทำให้สามารถที่จะรับมือได้ทัน เสียหายเฉพาะทรัพย์สินสิ่งของ มีผู้เสียชีวิตน้อยมาก แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินบ้านเรือนเสียหาย ก็ต้องทุกข์ยากลำบากอยู่ดี จึงขอแสดงความเสียใจและเอาใจช่วย ให้ผู้ที่ลำบากเดือดร้อนทุกคน ให้ผ่านพ้นความเดือนร้อนไปในเวลาอันรวดเร็ว

    เรื่องของการที่เราสูญเสียทรัพย์สินสิ่งของไปด้วยภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย (น้ำท่วม) วาตภัย (ลมพายุพัด) โจรภัย (โดนคนแย่งชิง) ตลอดจนกระทั่งภัยด้านอื่น ๆ อีกมาก ล้วนแล้วแต่เกิดจากการที่เราเคยประกอบอทินนาทานมาในอดีต ถ้าหากว่าเป็นพร้อม ๆ กันกลุ่มใหญ่ ส่วนมากในอดีตก็ต้องเคยยกทัพไปปล้นบ้านชิงเมืองคนอื่นเขา

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ศาสนาพุทธของเรามีคำอธิบายที่ชัดเจนมาก โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง และท้ายที่สุด เชื่อในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    แต่ว่าบุคคลที่จะสามารถรู้ธรรมและเชื่อตาม ต้องมีการสร้างบุญกุศลในอดีตมาระดับหนึ่ง จึงเพียงพอที่จะรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี โดยเฉพาะเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาในโลกมนุษย์ของเรา ที่จะต้องพบกับภัยต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ภาษาบาลีใช้คำว่า ภยทัสสาวี คือผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ามีปัญญาพอเพียง เมื่อเห็นภัยแล้วก็พยายามที่จะดิ้นรน หนีห่าง หรือไปให้พ้น ซึ่งตั้งแต่โบราณกาลมา นับเป็นพันปี ก็มีการพยายามที่จะหลีกหนีในลักษณะแบบนี้

    ศาสนาฮินดูก็ต้องการเข้าถึงปรมาตมัน ไปเป็นส่วนหนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า ศาสนาอิสลามก็ต้องการได้รับคำพิพากษาให้ไปอยู่กับพระเจ้าที่เบื้องบน ศาสนาคริสต์ที่มีต้นกำเนิดมาใกล้เคียงกับศาสนาอิสลาม ก็มีความเชื่อถือในวันพิพากษาโลกเช่นกัน

    เราไม่มาเถียงกันว่า ความเชื่อเหล่านั้นใครถูกใครผิด แต่ว่าถ้าตรองกันด้วยปัญญา เราก็จะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายที่เราทำนั่นแหละ ส่งผลให้กับตัวเราในปัจจุบันนี้ ถ้าภาษาตำราเขาบอกว่า อดีตเหตุทำให้เกิดปัจจุบันผล แล้วถ้าเราสร้างปัจจุบันเหตุ คือตอนนี้ทำสิ่งดี หรือว่าไม่ดี ก็จะเป็นอนาคตผล ส่งให้เรามีความสุข หรือว่าทุกข์หนักยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    เรื่องพวกนี้จึงต้องบอกว่า บุคคลที่สามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม น้อมนำมาปฏิบัติ มีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปกตินั้น ต้องเวียนว่ายตายเกิดทนทุกข์มานับชาติไม่ถ้วนแล้ว จนกระทั่งเริ่มเกิดความเข็ด ความกลัว ต่อความทุกข์ยากในการเวียนว่ายตายเกิดเหล่านี้ เมื่อเห็นช่องทาง จึงพยายามที่จะหลีกหนี ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้

    แต่ว่าหลายคนก็หลีกหนีในวิธีการที่ผิด เพราะว่าขาดความทุ่มเท ก็คือความเพียร ขาดความอดทน ในการทำสิ่งที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ทุกวันด้วยความเหนื่อยยาก และท้ายที่สุดขาดปัญญา บางทีก็หาทางออกที่ผิด หรือว่าออกนอกแนวทางไปโดยไม่รู้ตัว

    มีผู้รู้ท่านเปรียบไว้ว่า พวกเราเหมือนกับโดนขังอยู่ในคุกใหญ่ บุคคลที่เห็นภัยก็พยายามที่จะเจาะช่องทาง เพื่อหนีออกจากคุกแห่งนี้ ผู้ที่เพียรพยายามเจาะแล้วเจาะเล่า ในที่สุดก็ทะลุ หลุดพ้น หลบหนีจากกองทุกข์ หรือว่าคุกแห่งนี้ไปได้

    แต่ว่าก็มีบุคคลอีกจำนวนมากที่ขาดความอดทน อดกลั้น เมื่อถึงเวลาเจาะกำแพงเพื่อจะหนีให้พ้นจากคุกแห่งนี้ ทำไปได้หน่อยหนึ่ง ยังไม่ทะลุเสียที ก็คิดว่าน่าจะมีจุดที่ง่ายกว่านี้ แล้วก็ย้ายไปเจาะสถานที่ใหม่ เปลี่ยนไปอยู่เรื่อย จนกระทั่งหาความสำเร็จไม่ได้ เพราะว่าหลายใจมากไปหน่อย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ในระยะแรกของเรา การปฏิบัติธรรมเป็นการฝืนตนเองล้วน ๆ เพราะว่ากิเลสทุกอย่างเป็นสิ่งที่เราชอบ และทำมาด้วยความเชี่ยวชาญชำนาญนับชาติไม่ถ้วนแล้ว เมื่อเราจะหาทางหลบหนีกิเลส จึงมักจะโดนดึง โดนถ่วง เพื่อให้อยู่กับกองกิเลสนี้ต่อไป เราท่านถ้าขาดความอดทน ขาดความพากเพียร มีปัญญาไม่พอ โอกาสที่จะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของกิเลสมาร ก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

    ระยะแรก ๆ ในการต่อสู้กับกิเลส เรามักจะแพ้ทุกประตู เพียงแต่ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าเรามาถูกทางแล้ว ถ้าเพียรสู้ต่อไป เราก็จะมีโอกาสชนะบ้าง ถ้ารู้จักนำการพ่ายแพ้ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน แล้วแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย โอกาสที่เราชนะก็มีมากขึ้น ถ้าหากว่าถึงในระดับชนะมากกว่าแพ้ ก็เริ่มเห็นอนาคตแล้ว แต่ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาพากเพียรพยายามต่อไป เพื่อที่จะให้ไม่แพ้อีก

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูง เนื่องเพราะว่ากิเลสนั้นดึงดูดเราโดยธรรมชาติ ให้หันเข้าไปหา รัก โลภ โกรธ หลง เราต้องการที่จะหลบหนีกิเลส ก็เหมือนอย่างกับเศษเหล็กที่อยู่ใกล้แม่เหล็ก ต้องใช้ความเพียรพยายามจนสุดกำลัง

    แต่ถ้าพาตัวออกห่างไปเรื่อย แรงดึงดูดของแม่เหล็กก็จะมีผลน้อยลงไปทุกที จนกระทั่งพ้นเขตดึงดูดของกิเลสได้ เราก็จะไม่วนกลับมาหากิเลส ก็คือเวียนว่ายตายเกิดอีก ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะว่าไม่มีชัยชนะอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการชนะกิเลสอย่างเด็ดขาดอีกแล้ว

    ในโอกาสขึ้นปีใหม่ หลายท่านตั้งใจทำในสิ่งที่ดีที่งาม ก็ขอให้ตั้งกำลังใจให้ถูกต้องว่า เราพยายามที่จะปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว เราจะได้อาศัยกำลังที่สะสมได้ ไปใช้ในการตัด ละ หนีห่างจากกิเลสไปเรื่อย ๆ จนกว่าที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...