เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพมีภารกิจ วิ่งไปที่วัดท้ายเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เพื่อนำเพื่อนพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเป็นประธานรุ่นอยู่ ไปร่วมกันมอบปัจจัยบูรณะศาลาให้แก่พระครูโสภณปัญญาวรวัฒน์ (มงคล) เจ้าอาวาสวัดท้ายเมือง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกัน ซึ่งวัดของท่านโดนไฟไหม้ศาลา

    ต้องบอกว่าในรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้น พรรคพวกเพื่อนฝูงโดนไฟไหม้มาหลายรายแล้ว เริ่มตั้งแต่พระครูเกษมธรรมวิธาน (สมนึก เขมกาโม) เจ้าอาวาสวัดหนองโป่ง จังหวัดสระบุรี โดนไฟไหม้กุฏิไม้แฝดหมดไปทั้งหลัง แล้วก็มาพระครูใบฎีกา จำนงค์ ปิยวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดตะลุ่ม จังหวัดสุพรรณบุรี ก็โดนไฟไหม้หอระฆัง แล้วคราวนี้ก็มาถึงคิวของวัดท้ายเมือง

    แต่ละครั้งนั้น พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นพระอุปัชฌาย์ร่วมรุ่น ท่านที่ไปได้ก็จะไปร่วมกันเป็นกำลังใจ ให้แก่เพื่อนผู้สูญเสียซึ่งทรัพย์สินภายในวัดด้วยอัคคีภัย ที่ไปไม่ได้ก็จะใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีมา แล้วกระผม/อาตมภาพก็เบิกเอาไปส่งให้กับทางผู้เสียหาย โดยที่มีการรายงานในกลุ่มไลน์อย่างชัดเจนว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร

    ในเรื่องพวกนี้ ต้องบอกว่าการจัดตั้งเป็นองค์กรพระอุปัชฌาย์ขึ้นมานั้น ในรุ่นอื่นก็มีการเลียนแบบและจัดตั้งตามเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีการทำงานในลักษณะแบบนี้ ของทางองค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง นอกจากมีการช่วยเหลือเจือจานกันในหมู่เพื่อนฝูงแล้ว ถึงเวลาถ้าหากว่าพ่อแม่ของเพื่อนร่วมรุ่นเสียชีวิตลง เราก็ยังไปร่วมเป็นเจ้าภาพในงานสวดด้วย และยังมีการทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์อีกอย่างน้อยปีละ ๑ ชิ้น โดยมีการประชุมสามัญประจำปี ปีละ ๒ ครั้ง ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ซึ่งพระเถระผู้ใหญ่ โดยเฉพาะทางมหาคณิสสร ซึ่งเป็นบุคคลผู้คัดเลือกพระเถระมาสอบพระอุปัชฌาย์ให้คำชมเชยเป็นอย่างยิ่ง

    หลังจากนั้นก็ได้วิ่งมาร่วมงานหล่อพระ และบวงสรวงพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่วัดหุบกระทิง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เมื่อมาถึง ปรากฏว่าเจอพระเดชพระคุณพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติสุธี (ยงยุทธ ยุตฺตธมฺโม ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งรู้จักมักคุ้นกัน ท่านเคยไปร่วมงานที่วัดท่าขนุนหลายวาระ โดยเฉพาะร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ ด้วยการถวายทองคำแท่งร่วมบุญไป ๒ บาท เมื่อเจอหน้าจึงทักทายกันด้วยความยินดี

    แต่ว่าทางเจ้าภาพนั้นได้กำหนดงานเอาไว้ตอน ๔ โมงเย็น ซึ่งในระยะนี้เป็นระยะที่ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลและฝนดีมากจนเกินไป การจัดงานในตอนเย็นจึงเป็นเรื่องที่ลำบากมาก กระผม/อาตมภาพเห็นลมฝนมาแรงมาก จึงได้ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ขอให้หล่อพระเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยฝนตก เมื่อเสร็จสรรพจากพิธีแล้วก็ได้เดินทางเพื่อที่จะเข้าสู่ที่พัก แล้วทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้ เพื่อส่งต่อให้กับพระภิกษุสามเณร และญาติโยมที่ไม่ได้อยู่ในพิธีได้ฟังกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    วันนี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ "ดราม่า" ในวงการสงฆ์ เรื่องที่วัดใหญ่แห่งหนึ่งมีการเปิดฟิตเนสให้พระภิกษุสามเณรออกกำลังกาย โดยมีครูฝึกมาสอนให้อย่างถูกต้องตามวิธีการ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้นไม่ควรที่จะเป็นเรื่องขึ้นมา ถ้าหากว่าไม่ได้มีการนำไปโพสต์ลงโซเชียล โดยที่ลืมไปว่า เรื่องพวกนี้ยังเป็นเรื่องที่ญาติโยมทั่วไปไม่สามารถที่จะรับได้

    ถ้าหากว่าเราได้ปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาวางรูปแบบของพระภิกษุสามเณรเอาไว้ ก็คือการบิณฑบาต เจริญพระกรรมฐาน สวดมนต์ทำวัตร กวาดทำความสะอาดวัดวาอาราม เป็นต้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติเหล่านี้ รับประกันได้ว่า คำว่าน้ำหนักเกินไม่มีอย่างแน่นอน


    ไม่ต้องดูใครอื่น ดูตัวของกระผม/อาตมภาพเอง ในช่วงที่ปฏิบัติธรรมอย่างหนัก คืนหนึ่งจำวัดแค่ ๒ ชั่วโมง นอกนั้นก็เดินจงกรมภาวนาตลอด ในช่วงนั้นน้ำหนักตัวอยู่ที่ ๕๔ กิโลกรัมเท่านั้น ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่า ๕๔ กิโลกรัมนี้มาก ขอบอกว่าถ้าเป็นสาว ๆ ทั่วไป เขาก็จะว่ามาก แต่กระผม/อาตมภาพสูง ๑๗๒ เซนติเมตร น้ำหนักตามมาตรฐานสากลก็คือต้อง ๗๒ กิโลกรัม แต่ปรากฏว่าน้ำหนักแค่ ๕๔ กิโลกรัม ก็เกือบจะมีแต่หนังหุ้มกระดูก แล้วต่อมา เมื่อบรรเทาเบาบางในการปฏิบัติธรรมลงแล้ว ก็ยังคงบิณฑบาตตามปกติ

    ปัจจุบันนี้น้ำหนักตัวก็อยู่ที่ ๖๑ กิโลกรัม ทำอย่างไรก็ไม่มากเกินไปกว่านี้ จนพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายรายบอกว่า " รักษาหุ่นได้ดีมาก" กระผม/อาตมภาพบอกว่าไม่ต้องรักษา ถ้าคุณเดินบิณฑบาตวันละ ๕ กิโลเมตรแบบผม คุณก็จะมีหุ่นแบบนี้เหมือนกัน นอกจากนั้นการเดินจงกรมภาวนานั้น ถ้าหากว่าทำจริง ๆ จัง ๆ อย่างของหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า ท่านเดินกันข้ามวันข้ามคืน แล้วจะเอาไขมันส่วนเกินที่ไหนมาเหลือ มีแต่ไม่พอเสียมากกว่า

    เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายที่ออกกำลังกายนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสำนักเรียน โอกาสที่จะเดินบิณฑบาต โอกาสที่จะปฏิบัติธรรมอย่างหนักก็ไม่มี ดังนั้น..ครูบาอาจารย์จึงสรรหา
    เครื่องไม้เครื่องมือในการออกกำลังกายมาให้ แต่ว่าเครื่องมือเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราใช้ผิด ก็อาจจะทำให้บาดเจ็บกล้ามเนื้อหรือกระดูกเส้นเอ็นได้ หรือว่าบางทีก็ใช้ออกกำลังกายผิดส่วน เป็นต้น จึงต้องจ้างบุคคลผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ฝึกสอน

    แต่คราวนี้ก็ไม่สมควรที่จะนำลงในโซเชียล เพราะว่าบุคคลส่วนหนึ่งยังรับไม่ได้ ถ้าหากว่าเราทำกันแบบเงียบ ๆ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่การนำลงโซเชียลนั้นคาดว่ามี ๒ สาเหตุ

    สาเหตุแรกก็คือ คิดว่าเพื่อสุขภาพของพระภิกษุสามเณร ลงโซเชียลไปเพื่อเป็นตัวอย่างแก่วัดวาอารามอื่น หรือว่าลงโซเชียลไปเพื่อให้รู้ว่าการที่พระสงฆ์สามเณรปฏิบัติตนตามหลัก ๕ ส. ซึ่งทางคณะสงฆ์ถือว่าเป็นนโยบายอย่างหนึ่ง นับว่าเป็นการสนองนโยบายของเจ้านาย ก็ไม่น่าจะมีความผิด แต่ว่าญาติโยมทั้งหลายรับไม่ได้ จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสีย ๆ หาย ๆ

    ส่วนอีกข้อหนึ่งนั้น ถือว่ากระผม/อาตมภาพมองโลกในแง่ร้าย ก็คือหวังยอดไลค์อย่างเดียว แล้วก็เอาไปลงโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าอย่างนั้น ผลกระทบที่ย้อนกลับมา ก็ต้องบอกว่าท่านต้องทนแบกรับกันไปเอง เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดในที่นี้ก็คือ การที่เด็กน้อยอายุ ๕ ขวบขอแม่ไปบวชเณร โดยบอกว่าตั้งใจจะบวชเพื่อพระนิพพาน เมื่อแม่ถามว่า "ทำไมถึงนั่งหลับตาทุกวัน ?" เด็กน้อยบอกว่า "ลืมตามาก็เห็นแต่ทุกข์..!" เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีแต่บุคคลอนุโมทนา และกระผม/อาตมภาพก็อนุโมทนาด้วย แต่ว่าอย่างน้อยต้องให้เด็กได้เรียนจบภาคบังคับ ก็คือการศึกษาภาคบังคับนั้น ปกติแล้วก็เรียน ๑๒ ปี อย่างน้อยก็จะต้องจบชั้นมัธยมปีที่ ๖

    แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ทางคณะสงฆ์มีแผนกปริยัติสามัญอยู่แล้ว ถ้าหากว่าตั้งใจให้ลูกบวช พ่อแม่ก็ต้องให้ลูกได้บวชและศึกษาในวัดที่มีการเรียนแผนกปริยัติสามัญ เพื่อที่จะได้ศึกษาวิชาทางโลกในระดับหนึ่ง จนอ่านออกเขียนได้ จะได้ศึกษาธรรมะได้ดีขึ้น หรือว่าศึกษาในทางโลก จนจบอย่างน้อย ชั้น ป.๖ เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ชำนาญในการเรียนเขียนอ่าน แล้วค่อยเข้าไปบวชเพื่อศึกษาธรรมะต่อไป หรือว่าถ้าหากอดทนรอได้ ก็เรียนให้จบปริญญาตรีไปเลย จะได้ไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องการโดนตำหนิติเตียนทีหลัง แล้วหลังจากนั้น เราค่อยมาทุ่มเทให้กับการบวชปฏิบัติธรรม

    เรื่องของหนูน้อยนี้ ต้องบอกว่าเป็นปุพเพกตปุญญตา คือการสั่งสมบุญมาดีแต่ปางก่อน และโชคดีที่เกิดในครอบครัวซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่ไม่ขวาง แต่ว่าขอให้เรียนต่อก่อน เมื่อเรียนไปถึงระดับที่สมควรแล้ว ก็ยินดีที่จะให้ลูกบวชเช่นกัน

    แต่ว่าบุคคลที่กำลังใจไม่ได้อยู่กับทางโลกแล้ว ถ้าไม่ใช่ปล่อยวางได้จริง ๆ ก็คงจะต้องทนทุกข์ทรมานไป จนกว่าที่จะเรียนได้ในระดับที่พ่อแม่ต้องการ แล้วหลังจากนั้นถึงจะได้ปฏิบัติธรรมตามที่ตนเองปรารถนา

    ขออำนวยอวยพรให้หนูน้อยสามารถที่จะอยู่ไปจนตลอดรอดฝั่ง ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานของตน จะได้เป็นกำลังใหญ่แก่พระศาสนาต่อไป

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...