ท่านก็ฝึกฝนมาถึงเพียงนี้ท่านแยกแยะแม้กระทั่งจิตใจของพระอริยะบุคลกับอริยะสงฆ์ไม่ออกเลยจริงๆเหรอ โปรดพิจารณาอีกทีครับ
ท่านก็ฝึกฝนมาถึงเพียงนี้ท่านแยกแยะแม้กระทั่งจิตใจของพระอริยะบุคลกับอริยะสงฆ์ไม่ออกเลยจริงๆเหรอ โปรดพิจารณาอีกทีครับ
ท่านก็ฝึกฝนมาถึงเพียงนี้ท่านแยกแยะแม้กระทั่งจิตใจของพระอริยะบุคลกับอริยะสงฆ์จากจิตปุถุชน คนธรรมดาไม่ออกเลยจริงๆเหรอ โปรดพิจารณาอีกทีครับ
ขอบคุณท่านทั้งหลายที่ช่วยกันชี้แนะกระผม ผมคงคิดไปเองเพราะเป็นคนสุกเอาเผากินจริงๆอย่างท่านว่า แต่ก็นั่นแหละ เมื่อ จิต ไม่ใช่ นามขันธ์ แล้ว จิตจะเป็นอะไร ผมคงต้องทำให้ถึงซึ่งที่หมายนั้นแล้วจึงมาตอบคำถามได้ แต่ผมก็ยังมีหลักยึดเหมือนเดิม มีแต่คนคิดว่าหาว่าเรานี่เห็นวิญญาณขันธ์เป็นจิต แต่จริงๆแล้ว เราคิดว่า จิต คือ นามขันธ์ทั้ง๔ ก็เท่านั้นคงต้องไปตามหาสัจธรรมความจริงด้วยตัวเอง หรือไปหาพระอริยะสงฆ์อย่างเดียวจึงจะเข้าใจ เพราะมิจฉาทิฐิผมแรงกล้าเหลือเกิน เกินกว่าสหายธรรมทั้งหลายในนี้จะช่วยกระผมได้ ขอบพระคุณท่านทั้งหลายในความหวังดี และมีเมตตาเสมอมา
จิตที่เป็น “ มหาสติ ” เป็นจิตที่ถูกควบคุมโดยสติสัมปชัญญะ อย่างสมบูรณ์ เรียกง่าย คือ “ จิตที่สมบูรณ์ ด้วยสติสัมปชัญญะ” <O เมื่อ “ จิตสมบูรณ์ ด้วยสติสัมปชัญญะ” จะมีความรู้สึกมีสติรู้ทั่วร่างกายด้วยอาการ 32 ซึ่งก็คือรู้ในอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เช่น มีสติในสิ่งที่เห็นในสิ่งที่กระทบ มีสติซึ่งรู้เท่าทัน อาการของร่างกาย ทั้งหมดพร้อมกัน<O</O <O</O และใจ/จิต ของผู้ที่เป็นมหาสติ มันก็คือ จิตที่สมบูรณ์ ด้วยสติสัมปชัญญะ ไปครอบคลุมอายตนะ 5 อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตมีความรู้สึกมีสติรู้ทั่วพร้อมกันทุกอาการ ไม่ได้เพ่งไปในอาการในอาการหนึ่ง<O</O <O จิตที่เป็น “มหาสติ” นี้ล่ะที่ผมเข้าถึง จิตแบบนี้ล่ะที่เรียกว่าเข้าถึง “พุทธะ” ที่เรียกว่าตรัสรู้ ก็เพราะเข้าถึงจิตรู้ที่บริสุทธิ์นั้นล่ะ <O</O <O</O จิตที่เป็น “มหาสติ” นี้ล่ะ ที่ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ มันเป็นสภาวะจิตของผู้เข้าถึงพุทธะเท่านั้น ถ้าสังเกตให้ดีตั้งแต่กระทู้แรกที่ผมอธิบายและถามบางท่านซ้ำ ท่านตอบด้วยอารมณ์และอคติ แม้ผมถูกต้องก็มิได้โต้ตอบใดๆเลย หากเป็นปุตุชนทั่วไป ถ้าตนมั่นใจว่าถูกแล้วเจอต่อว่า จะสามารถวางเฉยได้แบบนี้หรือไม่ ท่านที่ปรามาสผมทั้งหลายไม่พิจารณาให้รอบคอบโดยสติเสียก่อน ท่านทำกรรมแบบนี้มันสมบูรณ์แล้วนะ และการอธิบายจิตที่เป็น “มหาสติ” นี้ปุตุชนอธิบายได้ถูกต้องอย่างนั้นหรือ ผมเข้าถึงจิตที่เป็นมหาสติก็เน้นย้ำอธิบายเรื่อง “สติ” ถ้าชาตินี้ไม่เข้าใจที่ผมอธิบาย ท่านที่ปรามาสผมนะ ท่านจะไม่ได้พบเจอองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าอีกนาน ด้วยกรรมที่ท่านทำกับผู้เข้าถึงพุทธะเช่นนี้ <O</O เมื่อไม่เคารพในพระพระรัตนตรัยแล้ว จิตท่านก็ไม่สามารถพึ่งพระรัตนตรัยได้ ถ้าเคารพเพราะจิตหลงๆ มันไม่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยจริงเลย ท่านกราบแต่ตัว ส่วนใจปรามาสผู้เข้าถึงพุทธะมันก็ไม่มีทางเข้าถึงได้ <O</O <O</O แม้ธรรมะจะสมบูรณ์ซักเพียงใด หากจิต/ใจที่เข้าไม่ถึงธรรมก็ไม่สามารถเข้าใจในธรรมะนั้นได้ ที่หลงเข้าใจอยู่ก็เป็นเพียงธรรมะที่สมมุติจากความคิดของปุตุชนนั้นล่ะ ขอบคุณครับ
คุณขันธ์ คุณน่าจะทราบดีว่าก่อนที่ผมจะพิมพ์อธิบายตอนกระทู้แรก คุณนะปรามาสผมก่อนใครเลย และผมก็ไม่ได้มีอคติใดๆในใจกับคุณ กลัวเกิดอานิสงค์ไม่ดี กับคุณก็ส่งข้อความส่วนตัวไปหาคุณ คุณจำได้ไหม และลงท้ายว่า ถ้าสงสัยการปฏิบัติก็ถามมาคุณจำได้ไหม <O</O <O</O> <O ฉบับที่ 2 ผมส่งหาคุณและท่านอื่นอีกหลายท่านว่า “ ถ้ามีอะไรแนะนำ แนะนำมาได้เลยนะครับ ” นี่ขนาดผมเข้าถึงพุทธะแล้วนะ คุณคิดว่าผมถือตัวถือตนไหมล่ะ อวดตัวอวดตัวไหมล่ะ ความถือตัวถือตนมันไม่มีในใจผู้เข้าถึงพุทธะเลย เห็นไหม สักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิ มันไม่มีในใจเลย<O</O <O</O ผมนะสงเคราะห์คุณและเมตตาคุณมาตลอดเลย คุณไม่รู้อีกหรือ และก็ยังชมคุณในกระทู้ผม ทั้งที่คุณเคยปรามาสผม อคติในใจมันไม่มีกับผู้เข้าถึงพุทธะนะ ถ้าเป็นท่านอื่นจะทำแบบนี้ไหมชมท่านที่เคยอคติกับเราไหม คุณดูใจผมกับใจคุณซิว่ามันต่างกันขนาดไหน <O</O จดหมายที่คุณส่งมาให้ผมครั้งแรก คุณพิมพ์โดยมีสติดีหรือเปล่า หรือทุกครั้งไม่มีสติเลยรวมถึงที่ปรามาสผมครั้งนี้ด้วย ผมพูดเพื่อเตือนสติคุณนะ และต่อไปจากนี้ผมจะวางอุเบกขากับคุณ คงไม่มีอะไรที่แนะนำคุณอีก <O</O ผมผิดเองล่ะ ที่มาอธิบายธรรมะแล้วให้ท่านอื่นปรามาสได้ ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยงอย่างถึงที่สุดและก็คาดไว้แล้วด้วย ที่ผมเข้าถึงนั้นเป็นของจริงทั้งหมด ซึ่งมันจะเป็นกรรมอย่างแรง ถึงไม่ได้อธิบายมานานก่อนหน้านี้หลายปีก็เพราะอย่างนี้ <O</O ปกติท่านที่ปรามาสผมด้วยอารมณ์ หรืออคติ ผมจะวางเฉย ถ้าเป็นปุตุชนวางเฉยได้แบบนี้ไหมล่ะ และครั้งนี้ที่อธิบายนี้เพราะเตือนสติคุณขันธ์ครั้งสุดท้าย ไม่ได้คาดหวังว่าจะเข้าใจหรือไม่ <O</O <O</O ขอบคุณครับ<O</O
คนที่น่าจะเงียบยังไม่เงียบเลยทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลยแม้เพียงปัยญาน้อยนิดก้ยังไม่เคยเกิดกับจิต มีแต่อวิชามีแต่ กระโหลกกะลา
ทดสอบ1 ... ผมขอถามท่านทดสอบ1หน่อยว่า ในเมื่อท่านทดสอบ1กล่าวในธรรมที่ผิด ของพระที่ท่านสอน และท่านทดสอบ1 ยังมั่นใจในความเป็นพุทธะ ท่านทดสอบ1 ควรจะไปที่ ที่เป็นที่มาของคำสอนนั้น ไม่ใช่มาลับหลังแบบนี้ โดยที่ ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้มาแก้ต่าง อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงเหรอครับ หากท่านทดสอบ1 มีคุณธรรมที่สูง ย่อมสามารถสอนผู้ที่มีน้อยกว่าได้ หากท่านทดสอบ1 สอนได้ ผู้ถูกสอนย่อมสอนต่ออีกไปเป็นลูกโซ่ หากธรรมที่ท่านทดสอบ1 กล่าวอ้างมีอยู่ในตนจริง ผมจะกราบขอขมาท่านทดสอบ1ตรงนี้ล่ะครับ พระพุทธเจ้า ท่านเมตตาไปสอนหัวหน้าด้วยตนเอง เมื่อหัวหน้าได้ธรรมแล้ว บริวารอีกเยอะแยะ ย่อมได้ธรรมตามไปด้วย
แหม่ ดีจัง ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้อยู่ทีเดียว ว่าคนปัญญาอ่อน มันทำอะไรของมัน มาถึงมาอวดตัว มาถามคนอื่นว่า ทำสมาธิได้ไหม ปรามาสแล้วเป็นอย่างไร มึงบ้าไปแล้วมั้ง แล้วที่ผมตอบไปว่า นั่งสมาธิไม่ได้เลย นั่นก็เวทนา สงสารคนบ้า เข้าใจไหมมันจะได้หายเพ้อเจ้อ ที่ไหนได้หนักกว่าเดิม นั่นแหละ น่าสมเพชไหมนั่น
คุณเก่ง ต้องเข้าใจนะ ว่าประโยชน์คืออะไร ประโยชน์คือธรรมที่คุณทดสอบ 1 แกแสดง ซึ่งนับว่าเป็นธรรมที่ตรง และแกเป็นคนที่รู้เรื่องสติสัมปชัญญะดีคนหนึ่ง อย่างเช่น ข้างต้นนี้ถ้าคนปฏิบัติไม่ถึงจุดนี้จะไม่เข้าใจที่คุณทดสอบ 1 กล่าว และถ้าไม่ใช่คนที่รู้จริงอย่างลึกซึ้งแล้ว จะกล่าวออกมาไม่ได้ ผมเล็งประโยชน์ตรงนี้นะ ส่วนแกจะเป็นพระอริยะหรือเปล่าไม่เกี่ยวกับผม คุณเก่งจะเลือกเอา ธรรม หรือ เอากิเลส ล่ะ
คุณเกรส ครับ ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจนะครับเรื่องที่เขากล่าวมาทั้งหมด ถ้าเราลองพิจารณาอะไรตอนเรากำลังทำสมาธิหรือเจริญสติก็จะเป็นแบบนั้น แต่ความหมายของผมคือคนเราเมื่อใช่จริงการสื่อความหมายอะไรจะไม่มีการอุปโหลกให้เกิดการสับสน วันนี้มีคนเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อความหมายเป็นทางที่เหมาะสม อยู่บ้างแล้วผมทราบ แต่ความหมายคือ เข้ากำลังจะเปลี่ยนประเด็นไปหา สติ ซึ่งในกรณีสัมมาสมาธิ สติจะต้องอยู่กับสมาธิเท่านั้นและต้องเป็นทางนี้เท่านั้นจึงจะพิจารณาเห็นสิ่งอื่นๆที่ตาและสมองมองไม่เห็น ที่ผมเปิดประเด็นมาทั้งหมดเพื่อที่ไม่อยากให้มาค้างอยู่และให้ใครบางคนทำตัวเหนือธรรมชาติ เพราะจริงๆมันกเป็นธรรมชาติของมัน เรื่องใดก็ตามเมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้ว เมื่อพิจารณาแล้วไม่ขัดแย้งกับหลักธรรมชาติเรื่องนั้นถือเป็นพุทธะโดยแท้แต่กว่าจะวิเคราะห์หรือพิจารณาได้ต้องอาศัยเวลาและบารมีก็คือความเพียรนั่นเอง และ จงจำความนี้ไปกล่าวกับใครก็ตามที่ท่านคิดว่าใช่เลยนะครับ แค่จิตระดับโลกียะ ไม่สามารถทำให้กรรมที่เกิดแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่จิตระดับโลกุตร มีสิทธิ์ทำได้แต่ไม่ทำและไม่มีใครทำด้วย การอยู่แค่ระดับโลกียะแล้วเอาเรื่องโลกุตระมาพูดใครกันแน่ที่เรียกว่าเกินตัว ผมไม่สนใจอะไรหรอกเพราะอย่างน้อยก็มีคนมองเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสรรพสิ่งได้จริงๆตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
อวดตัวนี่ไม่เป็นไร ถ้าหากว่าถึงธรรม เช่น พระศาสดาท่าน บอกกับคนอื่นว่า ท่านเข้าถึงอมตะธรรมแล้ว หรือ พระสารีบุตรพูดในเรื่องของ พระอริยสาวกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือ พูดธรรมว่า การปรามาสพระอริยะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่ใช่ ไปสอบถามคนอื่นด้วยมานะมาก หรือ อวดตัวตีตนไปก่อนไข้ ไม่ใช่ด้วยการห่วงคนอื่น แต่ด้วยการ อยากอวดตน อยากเห็นหายนะของคนอื่น คนทำอะไรด้วยกิเลสมันก็คนละเรื่องกับ ทำไปด้วยธรรม
เห็นด้วยกับพี่เกสท์ครับ คุณ จขกท อธิบายเรื่องการปฏิบัติได้น่าสนใจทีเดียว เสียตรงที่ขี้โม้ไปหน่อย ถ้าพูดลักษณะที่ไม่เน้นย้ำในเรื่องความเป็นอริยะมากนัก จะดูเนียนกว่านี้ แต่นี่ เน้นเรื่องการปรามาสมากจนเกินไป ไม่สมกับวิสัยของอริยะชนสักเท่าไหร่นะผมว่า...
คุณทดสอบ1 <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o> ได้อ่านข้อธรรมที่คุณได้โพสต์ในกระทู้ตั้งแต่เมื่อวาน...<o></o> แล้วก็กลับมาอ่านอีกในวันนี้....ดีทีเดียว <o></o> อนุโมทนาในธรรมทานค่ะ<o></o> <o> </o> หากไม่รบกวนจนเกินไปขออนุญาตคุณทดสอบ1 <o></o> ได้ช่วยแนะนำคำตอบในคำถามหนึ่ง สัก 1 ข้อ <o></o> ให้ดิฉันได้กระจ่าง จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง<o></o> เนื่องจากดิฉันยังไม่อาจหาคำตอบนี้ได้ (ยังตอบผิดอยู่) <o></o> (แต่ก็อยากได้สนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรเพื่อขอความรู้ทางธรรมค่ะ) <o></o> <o> </o> คำถามมีอยู่ว่า....สมมุติว่ามีใครสักคนเอาขวดใบหนึ่งมาให้คุณทดสอบ1 ซึ่งมีหนูอยู่1 ตัว ถูกจับขังอยู่ในขวดออกมาไม่ได้ แล้วใครคนนั้นก็ถามคุณทดสอบ 1 ว่า... จะทำอย่างไรที่จะเอาหนูออกมาจากขวดให้ได้ โดยที่ขวดไม่แตก และหนูไม่ตาย ? คุณทดสอบ1 ว่าจะทำอย่างไรดีคะ ที่จะเอาหนูออกมาจากขวดให้ได้.... <o> </o> ขอบคุณค่ะ<o></o>
คุร เกส เราอย่ามาเถียงกันเลยมันไม่มีประโยชน์หรอก ผมยังเห็น กระแสจิตที่ดี ในใจคุณอยู่ อย่ามานั่งวิพากวิจารสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์จะดีกว่า สีใดก้ปรุงทั้งนั้น