ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พบอีกผู้ป่วย "ไวรัสอู่ฮั่น" ยอดพุ่ง 62 คน
    ไวรัสอู่ฮั่นลามหนัก พบติดเชื้อเพิ่ม 17 คน ยอดรวมทะลุ 60 หวั่นระบาดจากคนสู่คน
    วันที่ 19 มกราคม 2563 - 12:47 น.
    ไวรัสอู่ฮั่นลามหนัก – วันที่ 19 ม.ค. เอเอฟพี และ บลูมเบิร์ก รายงานความคืบหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคปอดบวมปริศนา จากเชื้อ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของ ประเทศจีน ว่า หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นยืนยันว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อปอดบวมสายพันธุ์ใหม่เพิ่มอีก 17 คน ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยเฉพาะในเมืองอู่ฮั่นเพิ่มขึ้นเป็น 62 คน
    ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย มีอาการสาหัส 8 คน อีก 19 คนหายเป็นปกติและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ สำหรับผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นชายวัย 69 ปี เสียชีวิตเมื่อวันพุธที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ปริศนาทำให้ชายคนดังกล่าวป่วยด้วยภาวะวัณโรคปอด และเกิดการล้มเหลวของอวัยวะภายในหลายส่วน
    หน่วยงานสาธารณสุขเมืองอู่ฮั่นเปิดเผยว่า ผู้ป่วยใหม่ที่พบติดเชื้อหลายคนไม่เคยไปตลาดค้าส่งอาหารทะเลอู่ฮั่นหัวหนาน ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่าไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คน แต่คณะกรรมาธิการสาธารณสุขเมืองอู่ฮั่นระบุว่าไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่โรดปอดบวมปริศนาจะติดต่อระหว่างคน
    ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นภายหลังศูนย์เอ็มอาร์ซีเพื่อการตรวจวิเคราะห์โรคระบาดระดับโลก มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประเมินว่าผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่มีมากถึง 1,700 คน มากกว่าตัวเลขที่ทางการจีนยืนยัน พร้อมเตือนให้ยกมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด #ภายหลังพบผู้ป่วยหลายคนนอกประเทศจีน รวมถึง 2 คนในไทย และอีก 1 คนในญี่ปุ่น
    เจออีกเป็นรายที่ 2 ติดเชื้อสายพันธ์ุใหม่อู่ฮั่น ห่วงตรุษจีน เที่ยวไทยเพิ่ม
    สหรัฐตื่นสกัดไวรัสมรณะ กรองผู้โดยสารเที่ยวบินอู่ฮั่น นักวิทย์ชี้ติดเชื้อทะลุพัน
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    01:00 #พายุโซนร้อน Tino ในแปซิฟิกใต้ทวีกำลังเป็นไซโคลนเคลื่อนตัวผ่านหมู่เกาะตองก้าวานนี้ ล่าสุดอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนอีกครั้ง เคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงใต้
    #แนวโน้มสลายตัว
    พายุไซโคลน Tino พัดถล่มหมู่เกาะตองกา วานนี้ (18 ม.ค.63) ด้วยความเร็วลม 180 กม. / ชม. ทำลายบ่านเรือน ก่อฝนหนัก และไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต เนื่องจากมีการสั่งอพยพไปก่อนแล้ว ล่าสุดไซโคลนอ่อนกำลังเป็นพายุโซนร้อนเคลื่อนตัวจากไป
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ผู้ติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่นอาจถึง1,700 คน มีโอกาสไวรัสแพร่กระจายมากกว่าที่เปิดเผย
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra
    พายุลูกเห็บรุนแรงส่งถึงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มหาสติปัฏฐาน

    images (5).jpeg

    มิจฉาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มี มิจฉาสติ
    สัมมาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มี สัมมาสติ
    มิจฺฉาสติสฺส มิจฺฉาสมาธิ ปโหติ
    สมฺมาสติสฺส สมฺมาสมาธิ ปโหติ
    (อวิชชาสูตร ๑๙/๑)
    จิตมีตัณหาปรุงแต่งเวทนาเป็นเหตุ
    เป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์
    ผลของจิตมีตัณหาปรุงแต่งเวทนา
    เป็นทุกข์อุปาทาน
    สติเห็นกาย,เวทนา,จิตสังขารหรือธรรม
    เป็นมรรคปฏิบัติ
    ผลของสติเห็นกาย, เวทนา, จิต, ธรรม
    เป็นนิโรธอันพ้นทุกข์
    พนมพร คูภิรมย์
    สติปัฏฐาน ๔ เป็นการฝึกสติ และใช้สตินั้นไปในการปฏิบัติ อันท่านได้กล่าวไว้ว่าเป็นทางปฏิบัติสายเอก(เอกายนมรรค) พึงสังวรว่าเป็นการฝึกสติ มิใช่การปฏิบัติหรือฝึกฌาน,สมาธิโดยตรง ฌานสมาธิเป็นผลข้างเคียงที่อาจพึงบังเกิดขึ้นแต่ก็เพื่อนำไปใช้ประโยชน์กล่าวคือใจที่สุข,สงบ,สบายจากอำนาจของฌานสมาธิที่เกิดขึ้นจากการระงับไปชั่วคราว(วิกขัมภนวิมุตติ)ของเหล่ากิเลสในนิวรณ์ ๕ เพื่อนำไปปฏิบัติวิปัสสนาหรือเจริญวิปัสสนา แต่ถ้าไปยึดติดเพลินในความสุข,สงบ,สบายที่เกิดขึ้นโดยไม่นำพาต่อการวิปัสสนาด้วยอวิชชาแม้โดยไม่รู้ตัวก็ตามที ฌานสมาธินั้นก็จักกลับกลายเป็นฝ่ายมิจฉาสมาธิเสีย
    ฝึกสติ เพื่อจุดประสงค์อะไร
    สติปัฏฐาน ๔ การมีสติเป็นประธานในการปฏิบัติ จึงมีจุดมุ่งหมายสำคัญอยู่ที่ ทั้งเป็นการฝึกสติ และเพื่อให้มีสติระลึกรู้เท่าทันในธรรมหรือสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะที่จะเป็นเหตุก่อให้เกิดทุกข์๑. ซึ่งประกอบด้วยการมีสติอย่างตั้งมั่นหรือต่อเนื่อง(สมาธิ)๑. และเป็นสติที่รู้เข้าใจตามความเป็นจริงหรือปัญญาโดยหมวดธัมมานุปัสสนา๑. ตลอดจนเป็นเครื่องอยู่ของจิตอันดีงามยิ่งยามเมื่อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะเมื่อปฏิบัติอยู่ จิตย่อมมีกิจอันควรกระทำอยู่ หรือเครื่องอยู่อันควร จึงไม่ส่งส่ายออกไปปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ สติปัฏฐาน ๔ จึงต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเวลาปฏิบัติธรรม โดยพยายามให้สติอยู่ในธรรมทั้ง ๔ อันมี ๔ หมวด
    กายานุปัสสนา การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันกายและเรื่องทางกาย 
    เวทนานุปัสสนา การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันเวทนา (เวทนา) 
    จิตตานุปัสสนา การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันจิตหรือสภาพและอาการของจิต(เจตสิก) (จิตหรือจิตตสังขาร) 
    ธัมมานุปัสสนา การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้เกิดปัญญารู้ตามความเป็นจริง, อีกทั้งมีสติกำกับดูรู้เท่าทันธรรม 
    เรียกกันสั้นๆว่า มีสติเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม, มีสติในกาย เวทนา จิต ธรรม
    เมื่อโยนิโสมนสิการจากพระสูตรนี้ จักทำให้เห็นพระพุทธประสงค์ได้อย่างแจ่มแจ้งขึ้น ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ กล่าวคือ สติปัฏฐาน ๔ นั้น เป็นการปฏิบัติที่เน้นตามชื่ออยู่แล้ว คือ สติเป็นประธาน หรือการใช้สติเป็นฐาน เป็นบาทฐานในการปฏิบัติต่างๆ แต่ก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสมาธิร่วมขึ้นด้วยเพียงในระดับหนึ่งที่ยังกอบด้วยสติพร้อมบริบูรณ์ และตลอดจนใช้สติยังให้เกิดปัญญาขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยเพราะธัมมานุปัสสนานั้น เป็นการใช้สติเป็นแก่น ที่มีสมาธิเป็นองค์ประกอบร่วมด้วยนั้น ไปในในการระลึกรู้เท่าทันธรรมที่หมายครอบคลุมถึงการใช้สติพิจารณาในธรรมต่างๆเพื่อให้เกิดปัญญา ดังที่ท่านหยิบยกมาเป็นแบบอย่างในพระสูตร
    มีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้
    ๑. กายานุปัสสนา คือ เป็นทั้งการฝึกสติ และให้ใช้สตินั้น พิจารณากาย หรือตามดูรู้เท่าทันตามจริงในสังขารกายต่างๆ ตลอดจนเพื่อนำสติที่ฝึกหัดดีนั้น นํามาพิจารณาและปฏิบัติใน เวทนา จิต และธรรม อีกต่อไป, จุดประสงค์คือเป็นการฝึกสติในขั้นแรกแล้วใช้สตินั้นพิจารณากาย เพื่อให้เกิดนิพพิทาความหน่ายคลายกําหนัดและความหลงไหลในกาย อันท่านได้กล่าวไว้ดังนี้
    ๑.๑ อานาปานบรรพ หรืออานาปานสติ เป็นการฝึกสติ ให้มีสติตามกําหนดตามลมหายใจเข้า,ลมหายใจออก อันท่านกล่าวไว้ว่าลมหายใจนั้นก็เป็นกายสังขารชนิดหนึ่ง(การกระทําทางกาย) เช่น เดียวกับการยืน นอน เดิน นั่ง ฯ.
    การปฏิบัติในข้อนี้มีความสับสนกันมาก เพราะมีความนิยมเอาลมหายใจเช่นกันเป็นอุบาย กล่าวคือ เป็นอารมณ์หรือเครื่องกำหนด,เครื่องล่อจิต เพื่อปฏิบัติสมาธิหรือฌาน จริงๆแล้วอานาปานสติเป็นการปฏิบัติวิปัสสนาที่ต้องเป็นการมีสติตามดูรู้เข้าใจลมหายใจอย่างมีสติ มิใช่ขาดสติโดยการปล่อยให้เลื่อนไหลเข้าสู่ภวังค์หรือสมาธิอันแสนสงบสบายแต่อย่างเดียวดังที่นิยมปฏิบัติกันโดยไม่รู้ตัว, แต่ถ้าปฏิบัติสมถสมาธิโดยใช้ลมหายใจเป็นเครื่องกำหนดหรืออารมณ์ ก็ขอให้เป็นไปโดยรู้ตัวว่าทำสมาธิ ก็ถือว่าถูกต้องตามวัตถุประสงค์ แต่มิใช่ว่าตั้งใจฝึกสติ แต่กลับไปทำสมถสมาธิจนจิตระงับด้วยเข้าใจผิด ว่าเพื่อเอาแต่ความสงบ,สุข,สบาย แล้วไปคิดไปนึกเอาเองว่าเป็นการฝึกสติ
    ๑.๒ อิริยาบถ กําหนดรู้เท่าทันอิริยาบถ เป็นการฝึกสติ ให้ให้มีสติรู้เท่าทันอิริยาบถต่างๆ เช่น ยืน นอน เดิน นั่ง ฯ.
    ๑.๓ สัมปชัญญะ เป็นการฝึกสติในขั้นต่อไป กล่าวคือ ขั้นแรกระลึกรู้เพียงอิริยบทเดียวให้ชำนาญ แล้วให้ฝึกความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในการเคลื่อนไหวที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เช่น ในการดื่ม การกิน การเดิน การเคี้ยว ปัสสาวะ อุจจาระ ฯลฯ. (เพื่อให้เกิดความชำนาญหรือเป็นวสี และไม่เกาะเกี่ยวมีสติแต่กับสิ่งใดแต่อย่างเดียว แต่มีสติระลึกรู้ในสิ่งอื่น หรือทั่วพร้อมในสิ่งอื่นๆอีกด้วย เพื่ออำนวยประโยชน์เมื่อนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันในการเห็น กายบ้าง เวทนาบ้าง จิตบ้าง หรือธรรมบ้าง อันล้วนเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน) อยากแนะนำให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กันคือสติระลึกรู้ต่อเนื่องในอิริยบถต่างๆที่เปลี่ยนไปมาด้วย ไม่ใช่เดินก็พิจารณาแต่เดินอย่างเดียว เช่น เมื่อเดินก็รู้ว่าเดิน แต่เมื่อดื่มนํ้าก็รู้ว่าดื่มนํ้าคืออิริยบถที่ต่อเนื่องกัน ไม่ใช่อิริยบถเดียวแต่หมายถึงรู้เท่าทันต่อเนื่องกันไป และมีสติระลึกรู้ไม่เพ่งจนแน่วแน่จนเป็นสมาธิระดับสูง เพราะต้องการฝึกสติเป็นหลักหรือประธานตามชื่อพระสูตร ไม่ใช่สมาธิ สมาธิเป็นผลที่เกิดตามมาบ้างเท่านั้น บางท่านฝึกสัมปชัญญะในการเดิน ก็ไปเป็นการฝึกสติตามอิริยบถแต่อย่างเดียวเสียแน่วแน่ต่อเนื่องเป็นสมาธิในการยก การเหยียบ การย่าง ผลที่ออกมาจึงเป็นการเจริญอิริยบถจนเป็นสมถสมาธิแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการฝึกจึงควรมีสติ ไม่ปล่อยให้เป็นไปในรูปสมาธิเป็นหลัก กล่าวโดยย่อก็คือ มีสติรู้เท่าทันอิริยาบถต่างๆที่เกิดขึ้นหรือสังขารขึ้นนั่นเอง ไม่เกาะเกี่ยวกับอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งโดยเฉพาะดังเช่นในข้อ ๑.๒ อิริยาบถ แต่รู้สึกตัวทั่วพร้อม, จึงเหมาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติต่อจากข้อ ๑.๒ อิริยาบถข้างต้น ก็เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้ในการปฎิบัติในชีวิตประจำวัน กล่าวคือ มีสติต่อเนื่องแต่ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใดแต่อย่างเดียวจนขาดสติไม่รู้เท่าทันในสิ่งอื่นๆ แต่มีสติรู้เท่าทันในสิ่งต่างๆทั่วพร้อม ดังเช่น สติรู้เท่าทันในกายบ้าง เวทนาบ้าง จิตบ้าง ธรรมบ้าง, จึงไม่ใช่การไปมีสติยึดเกาะแต่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ฝ่ายเดียวจนไม่มีสติในสิ่งอื่นๆ ซึ่งถ้าเป็นไปอย่างนั้นก็จัดว่าเป็นสติในลักษณะอุปัฏฐานะในวิปัสสนูปกิเลสอันให้โทษ ในพระอภิธรรม ท่านให้คำจำกัดความของ สัมปชัญญะ ไว้ดังนี้ : ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ อันใด นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๕ ข้อที่ ๔๕๕) หรือการรู้ตัวทั่วพร้อมในกิจหรืองานที่กระทำนั่นเอง
    ๑.๔ ปฏิกูลมนสิการ เป็นการใช้สติที่ฝึกนั้น นำสติมาพิจารณาในกายตนว่า ล้วนประกอบด้วยสิ่งที่ไม่สะอาด ปฏิกูลต่างๆทั้งสิ้น เพื่อให้เกิดนิพพิทาคลายความรัก ความหลงใหล ความลุ่มหลง ความยึดถือ ทั้งในกายตน ตลอดจนในกายของบุคคลอื่นๆอีกด้วย
    ๑.๕ ธาตุมนสิการ เป็นการใช้สติในการพิจารณาให้เห็นว่า กายเรานั้นตามความเป็นจริงขั้นสูงสุด(ปรมัตถ์) หรือแก่นแท้แล้วล้วนเกิดแต่เหตุของธาตุทั้ง ๔ มาเป็นปัจจัยกัน หรือกายสักแต่ว่าธาตุ ๔ มาเป็นปัจจัยประชุมปรุงแต่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่ชั่วขณะหรือระยะหนึ่งเท่านั้น จึงไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ เพื่อให้เกิดนิพพิทา คลายความกำหนัดในกาย
    ๑.๖ นวสีวถิกา พิจารณาศพในสภาพต่างๆ อันมี ๙ ระยะ เพื่อให้นิพพิทาคลายความยึดมั่น ความหลงใหล ลุ่มหลงในกาย ว่ากายเราหรือบุคคลอื่นๆ ต่างก็ล้วนเป็นอสุภที่เน่าเปื่อยสลายไปเป็นเช่นนี้เป็นที่สุด ในปัจจุบันนี้คงต้องใช้การน้อมนึกพิจารณา
    ๒. เวทนานุปัสนา การมีสติรู้เท่าทันเวทนา เท่าทันขณะเกิดขึ้นบ้าง เท่าทันขณะที่กำลังแปรปรวนอยู่บ้าง หรือขณะดับไปบ้าง พร้อมทั้งรู้ว่าเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา เฉยๆหรืออทุกขมสุขก็ดี ทั้งที่มีอามิส(เจือด้วยกิเลส), หรือไม่มีอามิส(เป็นธรรมชาติไม่มีอามิส) ก็รู้ชัดตามที่เป็น (พิจารณาสักนิดตรง รู้ชัดตามที่เป็น ไม่ใช่พยายามไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น) สติรู้เท่าทันเวทนานั้น แล้วเป็นกลางอุเบกขา วางทีเฉย โดยการไม่เอนเอียงไปคิดไปนึกปรุงแต่งไปทั้งในทางดีหรือชั่ว เพราะล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนาต่างๆนาๆขึ้นอีกด้วยความไม่รู้หรืออวิชชา
    ลองสังเกตุดูความหมายข้างต้น จึงมีความสัมพันธ์กับ "เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา" ในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง จึงให้มีสติรู้เท่าทันธรรมคือเวทนานั้นตามความเป็นจริง
    เมื่อเทียบเคียงกับปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่า เป็นอาการของจิต คือ อาการที่จิตมีสติที่รู้เท่าทัน เวทนาที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา๑ หรือเวทนามีอามิสที่เกิดในองค์ธรรมเวทนา๑ หรือเวทนูปาทานขันธ์ที่เกิดวนเวียนเป็นวงจรอยู่ในองค์ธรรมชรา๑ ในวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง
    ๓. จิตตานุปัสสนา การมีสติรู้เท่าทันจิต หรือจิตตสังขารคือความคิด หรือเท่าทันอาการของจิตคือเจตสิก เท่าทันขณะเกิดขึ้นบ้าง เท่าทันขณะที่กำลังแปรปรวน(กำลังคิดปรุง)อยู่บ้าง หรือขณะดับไปแล้วบ้างก็ตามที พร้อมทั้งอาการรู้อยู่ในทีว่าในขณะนั้นว่า จิตมีราคะ ไม่มีราคะ, มีโทสะ ไม่มีโทสะ, มีโมหะ ไม่มีโมหะ, จิตหดหู่, จิตคิดฟุ้งซ่าน(จิตปรุงแต่ง), จิตเป็นสมาธิ, จิตมีสิ่งอื่นยิ่งกว่า, จิตหลุดพ้น ไม่หลุดพ้น ฯ. ก็รู้ชัดตามที่มันเป็นในขณะนั้น (พิจารณาสักนิดตรง รู้ชัดตามที่เป็น ไม่ใช่พยายามไม่ให้เกิด ไม่ให้เป็น เสียแต่ฝ่ายเดียว) และที่สําคัญคือเป็นกลางอุเบกขา วางทีเฉย โดยไม่คิดนึกปรุงแต่งไปทั้งในทางดีหรือทางร้าย ต่อจากสติรู้เท่าทันนั้น เพราะอาจเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาต่างๆนาๆขึ้นอีกต่อเนื่องไป เช่น ทุกขเวทนา
    หรือ คือรู้เท่าทันความคิดหรือจิตสังขาร อันย่อมเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากเวทนาความรู้สึกรับรู้ในสิ่งที่กระทบสัมผัส (จิตหรือจิตตสังขาร)
    เมื่อเทียบเคียงกับปฏิจจสมุปบาทแล้ว จิตตานุปัสสนา ก็คือ อาการของจิตคือสติ ที่รู้เท่าทันใน จิตตสังขารที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของขันธ์ ๕ หรือชีวิต ๑ หรือสังขารูปาทานขันธ์(อุปาทานสังขาร)ที่เกิดในองค์ธรรม ชาติ ๑ หรือสังขารูปาทานขันธ์ที่เกิดวนเวียนเป็นวงจรในองค์ธรรมชรา ๑
    อนึ่งอาการของจิตทั้งหลายหรือเจตสิก ดังเช่นอาการของ ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ. นั้นมันไม่มีอาการเป็นรูปธรรมแท้จริง แต่มันอาศัยแฝงอยู่กับสังขารขันธ์คือการกระทำต่างๆนั่นเอง ดังเช่น ความคิด(มโนสังขาร)ที่ประกอบด้วยราคะ, การทำร้ายผู้อื่นทางกาย(กายสังขาร)ที่ประกอบด้วยโทสะ, การด่าทอต่อว่า(วจีสังขาร)ที่ประกอบด้วยโมหะ, การเกี้ยวพาราสีทั้งด้วยคำพูดทั้งกริยาท่าทางที่ประกอบด้วยราคะ ฯลฯ.
    ๔. ธัมมานุปัสสนา การมีสติรู้ทันธรรม อันหมายถึง มีธรรมเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องพิจารณา เครื่องเตือนสติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือปัญญาญาณ ตลอดจนเป็นเครื่องอยู่ของจิต และยังให้เกิดนิพพิทาญาณ เพื่อการดับทุกข์, สติระลึกรู้เท่าทันหรือพิจารณาให้แจ่มแจ้งในธรรม ดังเช่นที่พระองค์ท่านกล่าวถึงก็มี นิวรณ์ ๕, ขันธ์ ๕, อายตนะภายในและภายนอกทั้ง ๑๒, โพชฌงค์ ๗, และอริยสัจจ ๔ อันมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
    ข้อสังเกตุ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน๔ เป็นการปฏิบัติในชีวิตประจําวันในชีวิต จึงไม่ใช่การปฏิบัติเฉพาะในการปฏิบัติพระกรรมฐานที่นั่งพิจารณาในรูปแบบแผนหรือเฉพาะเวลาแต่อย่างเดียว
    ถ้านั่งปฏิบัติแบบมีรูปแแบบแผน ให้มีสติอย่าปล่อยให้เลื่อนไหลสู่องค์ฌานหรือสมาธิระดับประฌีต ผ่อนคลายกายและใจ เมื่อดูลมหายใจ ก็จะเกิดอาการต่างๆทางวิปัสสนามาให้เห็น แต่นักปฏิบัติมักจะไม่ชอบ คิดว่าผิด อันไปคิดกันว่าไม่ดี ไม่ถูก จิตไม่สงบ เพราะไม่รู้จึงไม่แยกแยะว่านี่เป็นการฝึกสติ ไม่ใช่ฝึกสมาธิ ไม่ได้ลิ้มรสอร่อยของสมาธิหรือฌานตามที่เข้าใจหรือเคยประสบ, โดยธรรมชาติของจิตนั้น จิตจะส่งออกไปเห็นนั่น เห็นนี่ คิดนั่น คิดนี่ เป็นปกติธรรมดาตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติของปุถุชน ตรงนี้แหละที่สําคัญที่สุดในการปฏิบัติ เพราะต้องการให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจตามธรรม(ธรรมชาติ)ของเวทนาหรือจิตสังขารที่ผุดขึ้นมาเหล่านั้น อันเป็นเหตุให้เกิดจิตปรุงกิเลส ให้มีสติรู้เข้าใจว่านั่นแหละเวทนาหรือจิต(จิตตสังขาร)หรือความคิดความนึกที่เป็นโลภ โกรธ หลง หดหู่ สมาธิ ฌาน ฯ. ก็ให้มีสติรู้ตามความเป็นจริง อย่าไปกดข่ม แค่ต้องรับรู้ตามจริง แล้วเป็นอุเบกขาเป็นกลาง เป็นกลางอย่างไร? เป็นกลางวางทีเฉย โดยการไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งเอนเอียงไปในทางใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะ ดีหรือชั่ว, ถูกหรือผิด เป็นการฝึกอบรมสั่งสมสังขารใหม่อันไม่เกิดแต่อวิชชา จึงเป็นการปฏิบัติเวทนานุปัสสนาหรือจิตตานุปัสสนาที่ถูกต้อง, หรือเมื่อปวดเมื่อยหรือรับรู้ความรู้สึกใดๆที่กระทบทางกายหรือใจ ก็ให้รู้ว่านั่นแหละเวทนา ให้มีสติรู้ว่าเป็นความรู้สึกรับรู้ต่อกายหรือใจเยี่ยงไร มีกิเลสแฝงด้วยไหม แล้วอุเบกขาเป็นกลางวางเฉยไม่ปรุงแต่งเอนเอียงไปในด้านใด รู้สึกอย่างไรก็รู้สึกอย่างนั้น ไม่ใช่หวังว่าอาการนั้นๆต้องหายไป แต่ต้องวางใจเป็นอุเบกขา ไม่ปรุงแต่ง อันเป็นการปฏิบัติเวทนานุปัสสนา เพื่อสร้างสมสังขารใหม่เช่นดั่งจิตตานุปัสสนา, หรือธรรมใดบังเกิดต่อจิตหรือหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ก็ให้พิจารณาธรรมนั้นๆเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมอันมีกําลังของสติที่ไม่ซัดส่ายมีกําลัง เป็นเครื่องช่วย อันเป็นการปฏิบัติธัมมานุปัสสนา, หรือใช้สตินั้นพิจารณากายว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย สักแต่ว่าธาตุ ๔ มาประชุมกันชั่วขณะหรือระยะหนึ่ง หรืออันล้วนแต่เป็นสิ่งปฏิกูล ฯ. เป็นการคลายลดละความยึดถือยึดมั่นในกายแห่งตน อันเป็นการปฏิบัติแบบกายานุปัสสนาอย่างหนึ่งเช่นกัน
    พุทธประสงค์ของสติปัฏฐาน ๔ นั้นก็คือ ต้องการให้ฝึกสติและใช้สตินั้นพิจารณาอยู่ในธรรมทั้ง ๔ คือพิจารณาธรรมใดหรือสิ่งใดที่บังเกิดแก่จิตในขณะนั้น หรือตามจริตของผู้ปฏิบัติ ซึ่งนอกจากจะส่งเสริมให้เกิดปัญญาญาณ(สัมมาญาณ)อันเป็นมรรคองค์ที่ ๙ ในสัมมัตตะ ๑๐ หรือภาวะแห่งความถูกต้องในการปฏิบัติ แล้วยังเป็นเครื่องอยู่ของจิต คือให้จิตวนเวียนเฝ้าปฏิบัติและพิจารณาอยู่ในธรรมเหล่านั้น อันเมื่อปฏิบัติหรือพิจารณาอย่างมีความเพียรไม่ย่อท้อในชีวิตประจําวัน ย่อมส่งผลให้ไม่ส่งจิตฟุ้งซ่านออกนอกไปปรุงแต่ง(คิดนึกปรุงแต่ง) จึงย่อมไม่เกิดการผัสสะให้เกิดเวทนาอันอาจเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาจนเป็นทุกข์ อันเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม และเป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องอันเนื่องมาจากการปฏิบัติและพิจารณา และเกิดกําลังแห่งจิตอันเกิดขึ้นจากสภาวะปลอดทุกข์ชั่วขณะ เนื่องจากจิตไม่ส่งออกไปคิดนึกปรุงแต่งภายนอกใดๆ เหล่านี้อันเป็นปัจจัยสําคัญให้เกิดปัญญาญาณอันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัมมาวิมุตติหรือสุขจากการหลุดพ้น อันเป็นมรรคองค์ที่๑๐ ในสัมมัตตะ ๑๐ ของพระอริยเจ้า
    การปฏิบัติหรือพิจารณานั้น หลายท่านมีความสงสัยว่า ไม่ต้องตั้ง "กายให้ตรง ดํารงจิตเฉพาะหน้า"ตามพระสูตรหรือ?
    การ "ตั้งกายตรง ดํารงสติเฉพาะหน้า" นั้นใช้ขณะฝึกสติโดยใช้ลมหายใจในเบื้องต้น เพื่อให้การหายใจสะดวก และช่วยให้สติสังเกตุลมหายใจได้ดีขึ้น ดังนั้นในภายหน้า เราควรทําหรือปฏิบัติในชีวิตประจําวันทุกโอกาส หรือทันทีที่สติรู้เท่าทัน หรือตามธรรมใดๆที่บังเกิดขึ้นแก่จิต
    พิจารณาธรรมทําอย่างไร? ต้องคิดอย่างไร. ทําไม่เป็น. ปัญญาไม่ดี. หัวไม่ดี. เริ่มไม่ถูก ....ฯลฯ. เหล่านี้เป็นปัญหาข้อสงสัย(วิจิกิจฉา)ของนักปฏิบัติโดยทั่วไป จริงๆแล้วคือให้คิดในข้อธรรมนั้นๆอย่างมีเหตุมีผลเหมือนความคิดทั่วไป และอย่างมีสติ ไม่ซัดส่ายสอดแส่หรือฟุ้งซ่านไปภายนอกหรือไปในความคิดอื่นๆนั่นเอง เพราะเมื่อพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆดูราวกับว่าซํ้าๆซากๆ ดูราวกับว่าไม่มีอะไรให้เกิดประโยชน์ แต่ในความเป็นจริงนั้นเมื่อพิจารณาไปเรื่อย บ่อยๆ นานๆ(ไม่ใช่วันเดียวนะครับ) จิตเองย่อมจะเกิดข้อสงสัยต่างๆขึ้น เช่น ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น? อย่างนี้ถูกหรือเปล่า? จริงอย่างที่ท่านกล่าวไว้ไหม? เป็นไปได้หรือ? สารพัดสารเพในข้อธรรมเหล่านั้น ทําให้จิตหยุดการส่งออกไปคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องอื่นๆอันอาจก่อให้เกิดทุกข์อันทําให้เกิดกําลังแก่จิตโดยไม่รู้ตัว และจิตเองเริ่มพิจารณาหาคําตอบที่สงสัยโดยไม่รู้ตัว จนเกิดความรู้ความเข้าใจทีละน้อยๆโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน อันทําให้เป็นกําลังแก่จิตมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดจักเกิดอาการ อ๋อ มันเป็นเช่นนี้เอง ในธรรมเหล่านั้นขึ้นมา อันเป็นสัมมาญาณที่จําเป็นในการดับทุกข์ หรือก็คือการปฏิบัติให้เกิดสังขารอันสั่งสมอบรมไว้(ในปฏิจจสมุปบาท)ที่ไม่เกิดแต่อวิชชา อันเป็นความเคยชินที่สั่งสมอบรมเพื่อการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
    ข้อสังเกตุในหมวดเวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนาก็คือ ให้มีสติรู้เท่าทัน และรู้ตามความเป็นจริงของธรรม หมายความว่า ยังมีการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่ใช่ไม่เกิด เช่น จิตมีโมหะ โทสะ โลภะ ก็รู้ว่าจิตมี, หรือมีเวทนาใด ก็รู้ว่ามี เพราะเมื่อปฏิบัติไปสักระยะหรือเมื่อขาดสติหรือเผลอตัว หรือเมื่อเกิดเวทนาหรือจิตสังขารต่างๆขึ้น(คิด)ขึ้นมาแล้ว รู้(แต่ไม่เท่าทันแต่แรก)เลยมักหงุดหงิด มันยังคงต้องมีต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะเมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อลืมตัวขาดสติ พอเห็นมันเกิดขึ้นก็ลืมตัวว่า ทําไมยังเกิด? ทําไมยังมี? ท่านขอให้แค่มีสติรู้เท่าทัน เพราะขณะจิตที่เห็นเวทนาหรือจิต(คิด)นั้น จิตจะหยุดทุกข์นั้นชั่วขณะเพราะสติ ตลอดจนเห็นคุณโทษค่อยๆชัดแจ้งขึ้น และข้อสําคัญ....
    สติรู้เท่าทันนั้นแล้ว ยังครอบคลุมถึงสติวางใจเป็นกลางหรืออุเบกขา ไม่คิดนึกปรุงแต่งอันยังให้เกิดเวทนา อันอาจยังให้เกิดตัณหาขึ้น ไม่คิดนึกปรุงแต่งไปทั้งในทางดีหรือชั่ว เช่น คิดว่าเราถูก คิดว่าเขาผิด, คิดว่านี่บุญ คิดว่านั่นบาป จึงจะถูกต้องจริงๆ และนี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ต้องการให้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คือเกิดสังขารที่สั่งสมอบรมอันมิได้เกิดแต่อวิชชาขึ้นใหม่ ที่เกิดแต่ความเข้าใจหรือวิชชา แล้วอุเบกขา เป็นกลาง วางเฉยโดยการไม่ปรุงแต่งไปทั้งในด้านดีหรือชั่ว อันจักเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนปฏิบัติเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ดีจะวางจิตเป็นกลางเฉยๆดังความเข้าใจของบางท่าน อย่าไปหงุดหงิดกับการที่ยังมีเกิดขึ้นของเวทนาและจิตสังขารในระยะแรกๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง จนกว่าท่านจะปฏิบัติจนเป็นสังขารที่สั่งสมไว้อันดียิ่งมิได้เกิดแต่อวิชชา หรือมหาสตินั่นเอง
    เมื่อเกิดเวทนาหรือจิตสังขารขึ้นแล้ว มีสติรู้เท่าทันสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของเวทนาหรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นนั้น และมันเป็นเช่นนั้นเองเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปทําอะไรกับเขา เพียงแต่มีสติ แล้วละเสีย ถืออุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย, วางเฉยโดยการไม่คิดนึกปรุงแต่งทั้งทางดีและร้าย เพราะจักยังให้เกิดเวทนา อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ตามวงจรปฏิจจสมุปบาท
    ข้อสังเกตุและความคิดเห็นของผู้เขียน. ในหมวดธรรมานุปัสสนา อันกล่าวถึงธรรมต่างๆเพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ อันเป็นจุดมุ่งหมายของพระองค์ท่านเพื่อให้เป็นเครื่องอยู่ของจิตและพิจารณาให้เกิดปัญญาญาณ, และมีกล่าวถึงสมาธิหรือองค์ฌานไว้ในหมวดของมรรค ๘ ว่าเป็นสัมมาสมาธิหรือหมายถึงสมาธิที่ถูกต้อง ที่ถูกที่ควร, ถูกต้องจริงแต่หมายถึงในแง่สมถสมาธิเท่านั้น อันไว้เป็นกําลังแห่งจิตหรือพักผ่อนกายและจิตเป็นแค่เครื่องอยู่, ไม่ใช่ในแง่การปฏิบัติวิปัสสนา หรือสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นการใช้สติปฏิบัติวิปัสสนาให้รู้แจ้งตามความเป็นจริงแห่งธรรม, จึงมีผู้สับสนเป็นจํานวนมาก เพราะมีการอาศัยอุบายวิธีหรือสื่อเดียวกันคือลมหายใจ จึงเกิดความเข้าใจว่าปฏิบัติสมาธิหรือฌานแล้ว เป็นสติปัฏฐาน๔ที่ถูกต้อง เป็นคนละเรื่องกัน, แม้แต่เกิดองค์ฌานตามพระสูตรอันเป็นสัมมาสมาธิก็ต้องไม่ไปยึดติดยึดมั่นในองค์ฌาน ปีติ สุข อุเบกขา นั้นด้วยจึงจะถูกต้อง มิฉนั้นก็จะเกิดวิปัสสนูปกิเลส เช่นเกิดการติดสุขขึ้นได้ อันมักจะทำจิตส่งในอยู่เนืองๆโดยไม่รู้ตัว อันยังผลร้ายแก่นักปฏิบัติในภายหลังเป็นยิ่งนัก
    การปฏิบัติสติปัฏฐาน๔ จึงต้องให้เกิดและมีสติเห็นธรรม(ธรรมชาติ)ของเวทนาหรือจิตสังขารคิดที่ไม่สงบเหล่านั้น แล้วถืออุเบกขา ที่ท่านใช้คำว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆในโลกนี้ เพื่อให้เห็นว่าทุกข์นั้นเกิดแต่ใด? อะไรเป็นเหตุ ? เหตุใดจึงดับไปได้? แสดงพระไตรลักษณ์ ตลอดจนธรรมต่างๆเพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ให้เกิดปัญญา สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นการปฏิบัติทั้งใน สติ สมาธิ และวิปัสสนา(ปัญญา)
    กุณฑลิยสูตร
    กุณฑลิยะ : ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์?
    พระพุทธเจ้า : ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์.
    กุณฑลิยะ : ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์?
    พระพุทธเจ้า : ดูกรกุณฑลิยะ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    พายุใน Santander, Cantabria, สเปน วันที่ 18 มกราคม 2020
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    18 มกราคม 2563 ภูเขาไฟ Shishaldin, , อลาสกา ปะทุ
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    GeoNet รายงานว่ากิจกรรมของ Mt #Ruapehu นิวซีแลนด์การสั่นสะเทือนของภูเขาไฟยังคงอยู่ในระดับต่ำ
    การตรวจวัดอุณหภูมิของปล่องภูเขาไฟ Crater Lake (Te Wai ā-moe) และเคมียังคงสอดคล้องกับความไม่สงบของแผ่นดินไหว
    ตั้งแต่การวัดครั้งสุดท้ายอุณหภูมิทะเลสาบได้กรณืประมาณ 22 ° C-28 ° C
    ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิของทะเลสาบปล่องภูเขาไฟบนยอดเขามีวงจรประมาณ 25 ° C
    Mt Ruapehu ยังคงเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่หยุดนิ่งโดยอาจมีการเตือนเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
    ที่มา: GeoNet New Zealand ปรับปรุงกิจกรรมของภูเขาไฟ 15 มกราคม 2020
    GeoNet reported that the activity of Mt #Ruapehu New Zealand, volcanic tremor continues at low levels.
    Measurements of the volcano’s Crater Lake (Te Wai ā-moe) temperature, and chemistry remained consistent in combination with seismic unrest.
    Since the last measurements lake temperatures have cycled around 22°C-28°C.
    For the last 10 years temperatures of the summit crater lake have cycled around 25°C.
    Mt Ruapehu is still a very active volcano with the potential of little or no warning.
    Source: GeoNet New Zealand volcano activity update 15 January 2020
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    น้ำลดลงหลังจากน้ำท่วมและทิ้งร่องรอยของโคลนและการทำลายล้าง
    Iconha, Brazil วันที่ 18 มกราคม 2020
    หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในเมือง Iconha ในคืนวันศุกร์ (17) ประชาชนเริ่มนับการสูญเสียเร็วเท่าเช้าวันเสาร์ (18)
    มีข้อมูลยืนยันว่าเสียชีวิตประมาณ 6 คน
    แต่มันเป็นไปได้ที่จะเห็นถนนที่เต็มไปด้วยโคลน เศษซาก รถที่ถูกบด และเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกพัดพาไปจากบ้านด้วยพลังแห่งน้ำ
    Waters drop after flood and leave trail of mud and destruction.
    Iconha, Brazil Jan18 2020
    After the flood that hit the city of Iconha on Friday night (17), residents start counting the losses as early as Saturday morning (18).
    There is information about 6 people confirmed died.
    But it is possible to see the streets filled with mud, debris, crushed vehicles and furniture that were taken from the houses by the force of the water.
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลไก “ลดคาร์บอน” ไร้น้ำยา อุณหภูมิโลกพุ่งต่อเนื่อง
    วันที่ 18 มกราคม 2563 - 16:25 น.
    ภาวะโลกร้อน-728x486.jpg
    ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทั่วโลก สาเหตุจากภาวะโลกร้อนเป็นความท้าทายสำคัญของโลก ส่งผลให้ประชาคมโลกให้ความสนใจและร่วมกันหาทางออก

    โดยตามเป้าหมายของความตกลงปารีส ปี 2015 หรือกรอบอนุสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมกันรักษาการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไว้ที่ระดับไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส จากช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม

    อย่างไรก็ตาม อัลจาซีรารายงานผลสำรวจภูมิอากาศ ประจำปี 2019 ของกรมอุตุนิยมวิทยาสหรัฐอเมริกา ซึ่งเปิดเผยเมื่อ 15 ม.ค. 2020 พบว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเมื่อปี 2019 สูงกว่าอุณหภูมิช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมถึง 1.15 องศาเซลเซียส และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับงานวิจัยจากหลายสำนักซึ่งคาดการณ์ว่า อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียสจากช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมภายในปี 2100

    ทั้งนี้ทั่วโลกดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนด้วยวิธีการ “กำหนดราคาคาร์บอน” (carbon pricing) เพื่อกำหนดต้นทุนสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมี 2 วิธีที่ได้รับความนิยม ได้แก่ 1.การเก็บภาษีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ “ภาษีคาร์บอน” และ 2.จัดตั้งตลาดซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ “ตลาดคาร์บอนเครดิต”

    การเก็บภาษีคาร์บอนเป็นวิธีการที่ดำเนินการง่าย แต่ก็เป็นวิธีการที่มีผลกระทบธุรกิจ ทำให้หลายประเทศยังไม่สามารถเก็บภาษีในอัตราที่เพียงพอต่อการรักษาระดับอุณหภูมิโลก

    ซีเอ็นบีซีรายงานอ้างอิงงานวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า ปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศ จัดเก็บภาษีคาร์บอนเฉลี่ย 2 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันเท่านั้น ซึ่งยังห่างกับอัตราภาษีที่ไอเอ็มเอฟประเมินว่าเป็นอัตราที่จำเป็นสำหรับการรักษาอุณหภูมิโลกตามข้อตกลงปารีสคือที่ระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน แต่หากรัฐบาลเก็บภาษีอัตราที่ไอเอ็มเอฟเสนอคาดว่าจะส่งผลให้ราคาก๊าซหุงต้มครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 75% และราคาน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 5-15% ตามโครงสร้างของแต่ละประเทศ ดังนั้นการเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มจะส่งผลกระทบต่อประชาชนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการต่อต้านรัฐบาล เช่น ขบวนการเสื้อกั๊กเหลืองในฝรั่งเศส เป็นต้น

    ขณะที่การจัดตั้ง “ตลาดคาร์บอน” อาจเกิดแรงเสียดทานต่อรัฐบาลน้อยกว่า แต่กระบวนการจัดตั้งตลาดดังกล่าวของแต่ละประเทศก็มีขั้นตอนและกฎเกณฑ์จำนวนมาก โดยบลูมเบิร์กรายงานว่า การจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตของจีน ประเทศที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วน 27% ของโลก ต้องล่าช้าถึง 3 ปี เนื่องจากติดขัดเรื่องกฎเกณฑ์ โดยทางจีนเลื่อนกำหนดการเปิดตัวตลาดจากปี 2017 เป็นปี 2020 นอกจากนี้มาตรฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตในแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพตลาด และในการประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 25 เมื่อ ธ.ค. 2019 ประเทศสมาชิกไม่สามารถตกลงเรื่องมาตรฐานร่วมของตลาดคาร์บอนเครดิตได้

    ตลาดคาร์บอนเครดิตถือเป็นวิธีการที่อิงกับกลไกตลาด ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเท่ากับการเก็บภาษีคาร์บอน นอกจากนี้การกำหนดโควตาการปล่อยคาร์บอน ที่พิจารณาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็เป็นการเพิ่มแรงจูงใจอีกทาง

    อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งกินเวลานานและอาจไม่ทันกับธรรมชาติที่กำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน


    https://www.prachachat.net/world-news/news-412119
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [หากพิจารณาในทางธุรกิจแล้ว คาร์บอนเครดิตหรือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมถือเป็นเครื่องมือทางการเงินอย่างหนึ่ง สำหรับภาคธุรกิจที่มีศักยภาพ]
    images (6).jpeg
    ภาษีคาร์บอนเครดิตและข้อสังเกตบางประการ

    ก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gases) เป็นก๊าซที่มีอยู่โดยทั่วไปในธรรมชาติ การมีก๊าซเรือนกระจกอยู่ในชั้นบรรยากาศในระดับที่เหมาะสม

    ทำให้อุณหภูมิของโลกมีความคงที่ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกมีคุณสมบัติในการดูดซับคลื่นความร้อนหรือรังสีอินฟาเรดได้ดี หากในชั้นบรรยากาศไม่มีก๊าซเรือนกระจกแล้วระดับอุณหภูมิของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในรอบวันซึ่งส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมถึงมนุษย์ อย่างไรก็ดี การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศมากจนเกินไปก็ส่งผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (global warming) และส่งผลกระทบทางลบต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ในที่สุดดังที่ปรากฏในปัจจุบัน

    จากปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศจนนำมาสู่ภาวะโลกร้อนส่งผลให้นานาประเทศ สร้างความร่วมมือกันในการดำเนินการเพื่อลดปัญหาดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศต่างๆ ได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พิธีสารเกียวโต และข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งมีผลผูกพันให้ประเทศภาคีสมาชิกจะต้องดำเนินมาตรการใดๆ ภายในประเทศของตนเองเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีสมาชิกได้มีการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism) หรือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER)

    การดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยมลภาวะ (emission trading scheme) ที่มีการนำมาปรับใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศ โดยการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยมลภาวะจะดำเนินการผ่านระบบตลาดซื้อขายคาร์บอน (carbon market) หรืออาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจเป็นตลาดคาร์บอนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ (mandatory carbon market) และตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (voluntary carbon market) แล้วแต่กรณี โดยทั่วไปแล้วผู้ปล่อยมลภาวะแต่ละรายสามารถนำปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ตนเองสามารถลดการปลดปล่อยลงได้ตามระดับหรือเกณฑ์ที่กำหนดไปจำหน่ายแก่ผู้ปล่อยมลภาวะรายอื่นที่ต้องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าระดับหรือเกณฑ์ที่กำหนด กระบวนการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจเป็นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างผู้ประกอบการภายในประเทศหรือภายนอกประเทศก็ได้

    หากพิจารณาในทางธุรกิจแล้ว คาร์บอนเครดิตหรือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมถือเป็นเครื่องมือทางการเงินอย่างหนึ่ง สำหรับภาคธุรกิจที่มีศักยภาพ เนื่องจากภาคธุรกิจหรือผู้ประกอบการสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่ตนเองมีไปจำหน่ายให้กับภาคธุรกิจหรือผู้ประกอบการรายอื่นได้ ซึ่งส่งผลเป็นการสร้างรายได้ให้แก่กิจการของตนเอง สำหรับในทางกฎหมายภาษีอากรแล้วการมีรายได้ของกิจการย่อมส่งผลทำให้กิจการต้องนำรายได้จำนวนดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้หรือเสียภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตหรือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วจะต้องนำรายได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิในการดำเนินการโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามที่กำหนดในแต่ละโครงการเฉพาะส่วนที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตไม่ว่าจะกระทำในหรือนอกประเทศเป็นเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด แต่หากการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดแล้วก็จะต้องนำกำไรสุทธิมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ

    ส่วนปัญหาที่ว่าการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่นั้น กรมสรรพากรวินิจฉัยประเด็นปัญหาดังกล่าวว่า คาร์บอนเครดิตถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างและอาจมีราคาและถือเอาได้ ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้หรือเพื่อการใดๆ จึงเข้าลักษณะเป็นสินค้าและอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาสินค้า เว้นแต่กรณีได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือได้มีการออกใบกำกับภาษีก่อนได้รับชำระราคาแล้วแต่กรณี หากผู้ขายคาร์บอนเครดิตเป็นผู้ประกอบการตามกฎหมายแล้วก็มีสิทธิเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น

    จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเป้าหมายหลักของการสร้างระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยมลภาวะเกิดขึ้น จากเหตุผลด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคธุรกิจอื่นๆ จนกระทั่งมีการนำระบบดังกล่าวมาผูกโยงกับการเป็นเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งนำมาสู่การมีรายได้และการเสียภาษีอากรที่เกี่ยวข้อง แต่ในปัจจุบันภาครัฐพยายามส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดเพื่อให้ได้รับสิทธิการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการหันมาให้ความสนใจดำเนินการตามโครงการดังกล่าวเพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ แม้อาจทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ไปบ้างก็ตาม

    อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าปัจจัยด้านราคาคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนยังเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจดำเนินโครงการของผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิตประกอบกับปัจจัยด้านภาระภาษีมูลค่าเพิ่มจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตของผู้ประกอบการ และปัจจัยด้านมูลค่าการลงทุนในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การจำหน่ายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยจะได้รับความนิยมและสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่นั้น จึงต้องอาศัยระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป

    โดย...

    ดร.กฤษรัตน์ ศรีสว่าง

    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

    https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/645377

    ภาพจาก https://wastewatertreatments.wordpress.com/2011/08/01/ยูเอ็นไฟเขียวไทย-ลุยคาร/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    hahnemann02.jpg

    แม้กระทั่ง รพ.ยังป่วยหนัก เมื่อ รพ.ในสหรัฐยื่นขอล้มละลายกว่า 30 แห่ง

    โรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกายื่นขอล้มละลายแล้วอย่างน้อย 30 แห่งเมื่อปีก่อน

    การเมืองที่ยังไม่ชัดเจนเป็นอุปสรรคต่อการวางแผนธุรกิจโรงพยาบาล

    วิกฤติด้านการเงินบีบให้โรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะล้มละลายจนต้องปิดตัวลง ส่งผลสืบเนื่องให้ผู้ป่วยจำนวนมากขาดที่พึ่ง

    รายงานจากบลูมเบิร์กชี้ว่าปัญหาการเงินในภาคการดูแลสุขภาพที่รุนแรงขึ้นทำให้โรงพยาบาลอย่างน้อย 30 แห่งยื่นเรื่องขอล้มละลายเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งมีตั้งแต่โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ในนครฟิลาเดลเฟียไปจนถึงศูนย์การแพทย์ขนาดเล็กในชนบท

    แน่นอนว่าแนวโน้มจะยิ่งมืดมนกว่านี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนเจ้าของล้มละลายของศูนย์การแพทย์เซนต์วินเซนต์ในนครลอสแอนเจลิสก็เพิ่งเผยว่ามีแผนปิดโรงพยาบาลหลังการเจรจาซื้อขายล้มเหลว

    ด้านระบบสุขภาพของสหรัฐอเมริกาเองก็เผชิญปัญหาซับซ้อนไม่แพ้กัน ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยพากันบ่ายหน้าจากชนบทเข้าสู่เมืองและทำให้อุปสงค์ต่อบริการรักษาพยาบาลในชุมชนที่น้อยอยู่แล้วยิ่งเบาบางลงไปอีก ด้วยเหตุนี้โรงพยาบาลหลายแห่งในเมืองเล็กซึ่งให้การรักษาผู้ยากไร้และมักอยู่ได้ด้วยเงินเบิกจ่ายค่ารักษาจากภาครัฐเป็นหลักจึงไม่อาจรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นได้อีกต่อไป

    สมาคมโรงพยาบาลอเมริกันคำนวณว่าเงินเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับจากกองทุนเมดิแคร์และเมดิคเอดสำหรับผู้สูงอายุและคนยากไร้ยังคงต่ำกว่าต้นทุนค่ารักษาพยาบาลราว 76,600 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันโรงพยาบาลก็สูญเสียรายได้ก้อนใหญ่เนื่องจากศูนย์การแพทย์ประเภทไม่รับผู้ป่วยค้างคืนเข้ามาแข่งขันให้บริการหัตถการที่ทำกำไรงาม

    เท่านั้นยังไม่พอ...ภาคการดูแลสุขภาพยังกลายเป็นสนามประลองกำลังทางการเมืองระหว่างรีพับลิกันและเดโมแครตก่อนหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนี้ และคาดว่าการพลิกโฉมนโยบายครั้งใหญ่จะมีขึ้นในอีกไม่ช้า

    “คุณจะวางแผนธุรกิจได้อย่างไรถ้าไม่ทราบว่าภาครัฐจะผลักดันนโยบายไปทางไหน” แซม ไมเซิล นักวิเคราะห์กล่าว “ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าอลิซาเบธ วอร์เรน (หนึ่งในผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี) จะได้รับเลือกก็แน่นอนว่าแผนธุรกิจก็จะกลายเป็นอีกแบบไปเลย”

    hahnemann03-1024x768.jpg

    ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่หน้าโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Hahnemann นครฟิลาเดเฟีย เพื่อประท้วงการปิดและขายโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562

    แม้แต่โรงพยาบาลก็ป่วยหนัก

    มีโรงพยาบาลอย่างน้อย 30 แห่งในสหรัฐอเมริกายื่นขอล้มละลายเมื่อปีที่ผ่านมา

    เอ็ดวิน ปาร์ค ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสุขภาพของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ชี้ว่าเดิมทีระบบสุขภาพของสหรัฐในปัจจุบันก็เผชิญกับแรงบีบคั้นอยู่แล้ว คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พยายามจำกัดการขึ้นทะเบียนผู้ป่วยสวัสดิการเมดิคเอด ขณะที่ข้อบังคับซึ่งมีการเสนอเมื่อปีกลายก็อาจทำให้เงินอุดหนุนแก่โรงพยาบาลหายไปอีกหลายพันล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันก็กำลังเป็นที่จับตาว่าศาลเมืองฟอร์ตเวิรธ์ในรัฐเท็กซัสจะมีความเห็นต่อสวัสดิการโอบามาแคร์อย่างไรหลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าระเบียบที่บังคับให้ประชาชนต้องมีประกันสุขภาพนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ

    ผู้สันทัดกรณีมองว่าปัญหาการเงินของโรงพยาบาลนั้นไม่อาจเยียวยาด้วยวิธีทั่วไปและการยุบโรงพยาบาลก็ไม่ได้ทำง่ายเหมือนเอาผ้าใบมาบังร้านที่ปิดตัวอยู่ในห้าง การปิดโรงพยาบาลนอกจากจะส่งผลให้ลูกจ้างจำนวนมากตกงานแล้วยังพลอยทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไร้ที่พึ่ง

    ต้องไม่ลืมว่าการปรับโครงสร้างธุรกิจทั่วไปมุ่งแก้ไขที่ตัวสินค้า ขณะที่การปรับโครงสร้างของสถานพยาบาลนั้นหมายถึงการข้องเกี่ยวกับชีวิตคนจำนวนมาก เมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อนมีโรงพยาบาลขนาด 25 เตียงที่เมืองซาเวียร์เคาน์ตีในรัฐอาร์คันซอส์ปิดตัวลงจากปัญหาการเงิน สำหรับชาวเมืองกว่า 17,000 ชีวิตแล้วโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นสถานพยาบาลเพียงแห่งเดียวที่พอจะพึ่งพาได้ในยามฉุกเฉิน เช่นเดียวกันการปิดโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ชานเมืองนครชิคาโกหลังประสบปัญหาขาดทุนซึ่งทำให้มีคนตกงานราว 550 คนและทำให้ชุมชนต้องเสียโรงพยาบาลขนาด 230 เตียง

    ชุมชนหลายแห่งในพื้นที่ชนบทมีประชากรเบาบางจนไม่เพียงพอที่โรงพยาบาลจะอยู่ได้ ผลสำรวจในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2561 ชี้ว่ามีโรงพยาบาลราวร้อยละ 8 ที่เสี่ยงจะต้องปิดตัวและอีกร้อยละ 10 มีสถานะการเงินอ่อนแอ อนึ่ง สมาคมโรงพยาบาลอเมริกันชี้ว่าจำนวนโรงพยาบาลทั่วสหรัฐลดลง 64 แห่งและคงเหลืออยู่ 6,146 แห่งโดยอ้างอิงจากสถิติล่าสุดเมื่อปี 2561

    ปัญหาการเงินของโรงพยาบาล

    จำนวนโรงพยาบาลที่ยื่นขอล้มละลายพุ่งพรวดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าในช่วงไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับฐานตัวเลขของปี 2553 นักวิเคราะห์มองว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดแคลนเงินสดและสถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่เข้าไปอีก และหากจะรั้งบริการรักษาพยาบาลให้อยู่กับชุมชนก็จำเป็นต้องอัดฉีดเงินอุดหนุนเข้าไปมากกว่านี้

    การปิดตัวของโรงพยาบาลบางแห่งก็มีสาเหตุจากการถูกตัดออกจากเครือข่าย ดังเช่นกรณีของโรงพยาบาลภายใต้การบริหารของบรรษัทคอมมิวนิตีเฮลธ์ซิสเต็มอิงค์และคูโอรุมเฮลธ์คอร์ปซึ่งเป็นบริษัทลูกที่แยกตัวออกมา กำไรของคูโอรุมตกต่ำลงนับตั้งแต่แยกตัวจากบริษัทแม่เมื่อปี 2559 เมื่อผลประกอบการออกมาย่ำแย่ในไตรมาสที่ 3 ทางบริษัทก็ยอมให้เจ้าหนี้ปรับโครงสร้างหนี้พร้อมกับยอมรับว่าธุรกิจอาจไปไม่รอด จนเมื่อปีกลายจึงมีข้อเสนอขอซื้อหุ้นซึ่งคาดว่าจะช่วยพลิกธุรกิจให้ฟื้นกลับมาได้

    ภาระหนี้สินท่วมท้น

    แหล่งข่าวรายงานว่าคอมมิวนิตีเฮลธ์เองก็สูญเสียรายได้ไปราว 5 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากหนี้สินที่พอกพูนกว่า 13,500 ล้านดอลลาร์อันมีสาเหตุจากภาระค่ารักษาในสวัสดิการเมคิแคร์และเมดิคเอดจากโรงพยาบาลในชนบท นอกจากนี้การขยายความคุ้มครองด้านสุขภาพตามกฎหมายประกันสุขภาพปี 2553 (หรือที่เรียกว่าโอบามาแคร์) ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นกระทั่งไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลของบริษัทหรือสามารถใช้บริการศูนย์การแพทย์ประเภทไม่รับผู้ป่วยค้างคืนซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า สอดคล้องกับทรรศนะของนักวิเคราะห์การเงินซึ่งมองว่าโรงพยาบาลกำลังขาดรายได้จากบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน

    hahnemann02.jpg

    ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่หน้าโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Hahnemann นครฟิลาเดเฟีย เพื่อประท้วงการปิดและขายโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562

    แม้โรงพยาบาลในชนบทอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่สุด แต่การปิดโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ในนครฟิลาเดลเฟียก็อาจทำให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่โรงพยาบาลในเมืองใหญ่ เพราะถึงแม้การควบรวมกิจการโรงพยาบาลจะไม่ยากในแง่การทำธุรกิจ แต่นักลงทุนก็จะตระหนักในภายหลังว่าการบริหารงานโรงพยาบาลให้สามารถทำกำไรได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และในสายตานักลงทุนแล้วตัวทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาลในเมืองใหญ่ซึ่งที่ดินมีราคาแพงระยับอาจมีค่ามากกว่าโรงพยาบาลเองเสียด้วยซ้ำ

    แปลและเรียบเรียงโดย หฤทัย เกียรติพรพานิช จาก

    Hospital Bankruptcies Leave Sick and Injured Nowhere to Go [www.bloomberg.com]

    https://www.hfocus.org/content/2020/01/18344
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ระทึก หิมะถล่มเชิงเขาหิมาลัยในเนปาล สูญหาย 7 รวมนักเดินเขาเกาหลีใต้ 4
    ทางการเนปาลระดมกำลังค้นหา ผู้สูญหาย 7 คน รวมทั้ง นักเดินเขาชาวเกาหลีใต้ 4 คน หลังเกิดเหตุระทึก หิมะถล่มบริเวณทางเดินเชิงเขาอันนะปุรณะ ในเทือกเขาหิมาลัย
    เมื่อ 19 ม.ค.63 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงาน ยังคงมีนักเดินเขาสูญหาย 7 คน หลังเกิดเหตุหิมะถล่มบริเวณทางเดินบริเวณเชิงเขาอันนะปุรณะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเนปาล ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ม.ค.โดยในจำนวนไกด์นำทางและนักเดินเขาที่ยังสูญหาย 7 คน มี ชาวเกาหลีใต้รวมอยู่ด้วย 4 คน ขณะที่ทางการเนปาลได้ระดมกำลังค้นหาและส่งเฮลิคอปเตอร์ 4 ลำมาช่วยติดตามค้นหานักเดินเขาทั้ง 7 ราย แต่ต้องเผชิญกับอุปสรรค สภาพอากาศเลวร้าย
    ภัยแล้งส่อรุนแรง ชาวนาบางระกํา เจาะบ่อบาดาลกลางแม่น้ํายม สูบเลี้ยงต้นข้าว
    นายกฯ สั่ง ช่วยประชาชน ประสบภัยแล้งเต็มที่ ร่วมกันประหยัดใช้น้ำ
    ยอดเหยื่อหิมะถล่มแคชเมียร์พุ่ง 77 ศพ ด.ญ.ถูกฝัง 18 ชม.รอดปาฏิหาริย์
    นักเดินเขารอความช่วยเหลือ หลังเกิดหิมะถล่มที่หมู่บ้านดิวราลี เชิงเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาล
    เจ้าหน้าที่ตำรวจและบริษัททัวร์เดินเขาของเนปาล เปิดเผยว่า ได้เกิดหิมะถล่มในบริเวณดังกล่าว หลังจากหิมะตกหนักและมีฝนตกหนักด้วย โดยชาวเกาหลีใต้ที่สูญหาย 4 คนนั้นเป็นลูกค้าของบริษัททัวร์ ซึ่งไม่ได้ติดต่อกลับมายังบริษัททัวร์และสูญหายไปตั้งแต่เกิดหิมะถล่มเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ขณะที่เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวเนปาล ในกรุงกาฐมาณฑุ เผยว่าขณะนี้ไกด์นำทางชาวเนปาล 3 คน ก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน
    ทั้งนี้ ยอดเขาอันนะปุรณะ ทางตะวันกเฉียงเหนือของเนปาล นับเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 8,091 เมตร โดยทางเดินเชิงเขาอันนะปุรณะ ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ละปีมีนักเดินเขา นักปีนเขา มาที่เบสแคมป์นี้หลายพันคน
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภูเขาไฟ “ตาอัล” ปะทุไม่เลิก ปินส์เตือนภัยต่อเนื่อง ผวาดินไหวซ้ำ 1 วันเขย่า 175 ครั้ง
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เขื่อนไซยะบุรีที่ทำน้ำโขงแห้ง ยังทำให้น้ำสาขาแห้งลงด้วยเพราะน้ำสาขาไหลลงน้ำโขงอย่างรวดเร็ว และจะเป็นตัวการเร่งให้เกิดภัยแล้งทั้งในภาคอีสานและทั่วอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
    การแก้ปัญหาไม่ใช่ไปสร้างเขื่อนหรือฝายกั้นน้ำสาขา เพราะจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก ทางที่ดีที่สุดก็คือรัฐบาลไทยต้องเจรจากับรัฐบาลลาวให้เขื่อนไซยะบุรีปล่อยน้ำลงมารักษาระบบนิเวศน์แม่น้ำโขงและแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับพื้นที่ท้ายเขื่อนไม่เพียงแต่ในภาคอีสาน แต่เป็นการแก้ไขปัญหาทั้งอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
    ปากแม่น้ำห้วยบางทรายใหญ่ จ. มุกดาหาร สายวันนี้ ภาพโดย ประทีป ศรี กลุ่มไลน์ คนฮักแม่น้ำโขง
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อู่ฮั่นพบเหยื่อไวรัสปริศนาเพิ่มอีก 17 คน หวั่นมีผู้ติดเชื้อมากกว่าที่จีนเผยหลายเท่า
    คลิก>> https://mgronline.com/around/detail/9630000005945
    #MGROnline #ไวรัส #โคโรนา #จีน
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ค่าเงินสกุลเอเชียส่วนใหญ่แข็งค่าตั้งแต่ปลายปีที่แล้วต่อต้นปีและคาดว่าทั้งปีนี้ค่าเงินเอเชียจะอยู่ในช่วงขาขึ้นจากปัจจัยหนุนหลักๆคือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกเริ่มลดลง ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนมีแนวโน้มดีขึ้นทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมา
    .
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    -------------------------------
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เคล็ดลับไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย ประทานเงินทอง โชคลาภ
    ประเด็นหนึ่งที่กลายเป็นคำถามฮิตของทุกปี คือการไหว้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือองค์ไฉ่ซิงเอี๊ย (财神) นั่นเอง การไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยในหนึ่งปีจะมีการไหว้หลัก ๆ หนึ่งครั้งใหญ่ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 24 มกราคม ฤกษ์ในการไหว้คือ 23.00 – 01.00 น. แนะนำว่าให้ผู้ไหว้หันหน้าทางทิศตะวันตก คำแนะนำคือต้องจัดของไหว้ให้ครบ และให้เตรียมสิ่งของที่เกี่ยวกับเงินทอง เพราะว่าองค์ไฉ่เซิงเอี๊ยเป็นเทพเจ้าที่จะประทานโชคลาภเงินทอง จึงควรนำของที่เป็นสัญลักษณ์ของเงินทองเข้ามาด้วย เช่น สมุดบัญชี หรือกระเป๋าสตางค์ของเรา หรือใครอยากเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ใบใหม่ ก็ให้ซื้อก่อนหน้านั้น แล้วในคืนวันที่ 24 มกราคม ตอน 5 ทุ่ม ให้นำกระเป๋าสตางค์มาตั้งที่โต๊ะไหว้ เพื่อให้ท่านประทานเงินทองโชคลาภให้ และวันรุ่งขึ้น วันที่ 25 มกราคม ซึ่งเป็นวันตรุษจีนก็สามารถเริ่มใช้กระเป๋าสตางค์ได้เลย

    563000000280805.jpg


    ข้อห้ามในการไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย 2563
    สำหรับข้อห้ามในพิธีไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยปีนี้คือ ห้ามผู้ที่เกิดปีมะเมียซึ่งเป็นปีชงในปี 2563 นี้ไหว้เป็นคนแรก ควรให้คนที่เกิดปีอื่น ๆ เป็นคนแรกในการเริ่มก่อน แต่หากในบ้านบังเอิญเกิดปีมะเมียทั้งบ้าน “หมอช้าง” แนะนำให้ใช้ฤกษ์เวลา 03.00น. - 05.00น. ของวันที่ 25 มกราคมแทน

    นอกจากนี้ในวันที่ 24 มกราคม ยังมีการไหว้อีกหลายอย่าง ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญในช่วงตรุษจีน ช่วงเช้าเป็นการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเพื่อขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วงสายเป็นการไหว้บรรพบุรุษ หรือบางที่มีการไหว้ในช่วงบ่ายคือการไหว้สัมภเวสี ส่วนของไหว้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโหงวแซ ซาแซ คือสัตว์ห้าอย่างหรือสามอย่าง เป็นของไหว้ที่ต้องมีความหมายที่ดีและต้องมีคุณภาพดี เช่น ซื้อไก่ต้องไก่เต็มตัว ของไหว้จำพวกปลาหมายถึงการเหลือกินเหลือใช้ หรือผลไม้เช่น ส้ม มีความหมายมีสีสันที่เป็นมงคล หรืออย่างเช่น กล้วย องุ่น ก็เป็นของไหว้ที่เป็นประเพณีสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000002710
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภัยแล้งพ่นพิษ! กระทบแพลูกบวบแลนด์มาร์คชื่อดังชัยนาท
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,697
    ค่าพลัง:
    +97,150

แชร์หน้านี้

Loading...