บทความให้กำลังใจ(รู้เท่าทันภาพตัวตน)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    นิทานเรื่อง “คนช่างติ”
    ถ้าภาษาชาวบ้านหน่อย ก็จะบอกว่า “ลูกอีช่างติ”…ฮ่าฮ่า


    มีเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่ง ชาวบ้านต่างพากันเรียกเขาว่า “นายช่าง” การเป็นช่างของนายคนนี้ มิใช่ช่างไม้ ช่างปูน หรือว่าช่างเครื่องยนต์ แต่เป็น “ช่างติ” คือเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ในการติเรียกว่าเป็นเอตะทัคคะในทางติเลยทีเดียว เขาเห็นอะไรก็สามารถติได้ทั้งนั้นเหมือนกับที่โบราณกล่าวไว้ว่า

    ช่างกลึงพึ่งช่างชัก

    ช่างสลักพึ่งช่างเขียน

    ช่างรู้พึ่งช่างเรียน


    ช่างติเตียนไม่ต้องพึ่งใคร


    ต่อมา ชาวบ้านพากันคิดว่า น่าจะจัดให้มีการประลองความสามารถในการติของนายคนนี้ ลองดูสิว่าเขาจะติได้ทุกอย่างหรือเปล่า มีผู้เสนอว่าให้เชิญช่างปั้นพระที่ชาวบ้านนิยมยกย่องว่าฝีมือเยี่ยมมาปั้นพระ แล้วให้นายช่างติมาติลองดูซิว่า เขาจะหาที่ติได้หรือเปล่าเมื่อตกลงกันอย่างนี้แล้ว ชาวบ้านได้ไปเชิญช่างปั้นพระมาแล้วบอกวัตถุประสงค์ให้ทราบ ช่างปั้นพระออกแบบพระและปั้นพระอย่างประณีตบรรจงเรียกว่าปั้นอย่างสุดความสามารถเลยทีเดียว เมื่อการปั้นพระเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่า พระองค์นี้งามหาที่ติไม่ได้ แล้วให้ไปเชิญนายช่างติมาติพระ เมื่อนายช่างติมาเห็นพระถึงกับตะลึง เพราะพระพุทธรูปองค์นี้งามจริงๆ เขาพิจารณาพระพุทธรูปอย่างละเอียด แต่ก็หาที่ติไม่พบ เขาเกือบจะยอมแพ้ สุดท้ายนายช่างติก็เอ่ยขึ้นมาว่า

    “พระพุทธรูปองค์นี้งามจริงๆ พุทธลักษณะถูกต้องทุกประการ แต่…”

    “แต่…อะไร” เสียงชาวบ้านถามออกมาพร้อมๆ กัน

    “มีที่เสียอยู่นิดหนึ่ง” ช่างติพูดเบาๆ

    “เสียตรงไหน” ชาวบ้านถาม

    “พระพุทธรูปองค์นี้สวยงามทุกอย่าง เสียอย่างเดียว คือ พูดไม่ได้” นายช่างติตอบหน้าตาเฉย

    ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็พากันนิ่งเงียบหมด ไม่คิดว่าจะแพ้ช่างติแบบง่ายๆ อย่างนี้ ต่างก็นึกชมว่านายช่างติคนนี้เก่งจริงๆ สามารถหาที่ติพระพุทธรูปองค์นี้จนได้

    อยู่มาวันหนึ่ง นายช่างติไปนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะม่วง เขามองขึ้นไปบนต้นมะม่วงเห็นลูกมะม่วงเต็มต้นไปหมด พลางแกก็นึกตำหนิพระเจ้าผู้สร้างต้นมะม่วงขึ้นมาว่

    “แหม! พระเจ้านี้ช่างโง่เสียจริงๆ สร้างอะไรขึ้นมาไม่เห็นจะสมดุลกันเลย ดูสิมะม่วงต้นออกใหญ่โต กลับสร้างลูกเล็กนิดเดียว ส่วนแตงโมต้นเล็กนิดเดียวกลับสร้างให้ลูกใหญ่อย่างกับบาตรพระ พระเจ้านี่ช่างโง่เสียจริงๆ นี่ถ้าเราเป็นพระเจ้านะ จะสร้างให้ต้นมะม่วงมีลูกโตๆ ส่วนแตงโมจะให้มีผลเล็กๆ จะได้สมดุลกัน”

    ในขณะที่กำลังวาดวิมานอยากจะเป็นพระเจ้าอยู่เพลินๆ นั้น ลมหน้าร้อนก็พัดมาวูบหนึ่ง ทันใดนั้น มะม่วงลูกหนึ่งก็หล่นลงบนหน้าผากนายช่างติพอดี นายช่างติถึงกับตาลาย มองเห็นดาวระยิบระยับ หน้าผากบวมปูดออกมาขนาดผลมะนาว เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ นายช่างติก็คิดได้ว่า
    “โอ้ …พระเจ้าสร้างถูกแล้ว”
    “นี่ถ้าพระเจ้าฉลาดอย่างที่เราคิด สร้างให้มะม่วงลูกใหญ่เท่าบาตรพระ ป่านนี้หัวเราคงไม่แหลกไปแล้วหรือนี่ ดีนะที่พระเจ้าไม่ฉลาดอย่างที่เราคิด…
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่เก่งแต่คอยจับผิดผู้อื่น โดยไม่ดูตัวเองนั้น วันหนึ่งเขาจะประสบสิ่งที่ทำให้เขาต้องเสียใจอย่างที่สุด...อิอิ
    :- https://sites.google.com/site/eastnorthhh/khaw-ma-thaw-makheux





     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อยากให้ฟังอีกครั้ง"เหนื่อยกายต้องอดทน เหนื่อยกับคนต้องทำใจ" บรรยายโดยธรรมะธาดา(พระวัชระ จารุวัณโณ)

    phonesamay manyvong
    Published on Sep 20, 2016
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ท้อแท้ใจ คิดอย่างไรให้ใจสู้

    ธรรมะ วาไรตี้
    Published on Jun 26, 2015

    ท้อแท้ไปก็เท่านั้น - ธรรมะธาดา พระวัชระ จารุวัณโณ

    AGF-l7_r9oZJlDfIYnZqSChYDt9x1stoQeIwYTDk9g=s48-mo-c-c0xffffffff-rj-k-no.jpg
    พลัง ธรรม
    Published on Mar 28, 2017


     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    Accept.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • e4727.jpg
      e4727.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.4 KB
      เปิดดู:
      185
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    Lost.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Lost.jpg
      Lost.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.3 KB
      เปิดดู:
      126
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    becarefullSti.jpg
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    redroses.jpg
    มัทนะพาธา

    ความเป็นมา
    มัทนะพาธาเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องเอกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรให้เป็นหนังสือที่แต่งดี ใช้ฉันท์เป็นบทละครพูดซึ่งแปลกและแต่งได้ยาก เป็นเรื่องที่มีตัวละครและฉากสอดคล้องกัน วัฒนธรรมภารตะโบราณและเข้ากับเนื้อเรื่องได้ดี
    มัทนะพาธาแต่งเป็นบทละครพูด เป็นศิลปะการแสดงที่เพิ่งนิยมกันในปลายรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ พระองค์สนพระทัยละครพูดของตะวันตกมาก โปรดการเสด็จไปทอดพระเนตรการแสดงละครพูดและต่อมาก็ได้ทรงวิจารณ์การละคร ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร ทรงจัดแสดงละครตลอดจนทรงแสดงละครเอง ในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ

    เมื่อเสด็จนิวัติประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๔๔๕ ขณะทรงพระชนมายุ ๒๒ พรรษา ได้ทรงตั้งทวีปัญญาสโมสรขึ้นที่พระราชวังสราญรมย์ แล้วทรงสร้างโรงละครเล็กขึ้นสำหรับการแสดงละครพูดโดยเฉพาะ เรียกว่า โรงละครทวีปัญญา บทละครพูดที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในระยะแรกๆ เป็นเรื่องที่ทรงแปลแล้วดัดแปลงมาจากบทละครภาษาอังกฤษ เช่น เรื่องชิงนาง หาโล่ เห็นแก่ลูก เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้อยแก้ว ที่เป็นร้อยกรองก็เป็นบทละครพูดคำกลอน เช่น พระร่วง เวนิสวานิช เป็นต้น มีเพียงเรื่องเดียวที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นบทละครพูดคำฉันท์คือ มัทนะพาธา หรือตำนานดอกกุหลาบ

    มัทนะพาธาเป็นบทละครพูดคำฉันท์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ ซึ่งเป็นช่วงที่มีพระราชกิจมาก ขณะทรงพระประชวรและประทับอยู่ ณ พระราชวังพญาไท ต่อจากนั้นก็เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ประทับแรมตามที่ต่างๆ เช่น บางปะอิน สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี โดยได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธาไปด้วย จนเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๔๖๖ และทรงพระราชนิพนธ์ต่อที่พระราชวังพญาไทจนจบเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๖๖ ทรงใช้เวลาพระราชนิพนธ์ ๑ เดือน ๑๗ วัน

    ต่อมาในเดือนมกราคม ๒๔๖๗ ได้ทรงแปลบทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธาเป็นร้อยแก้วภาษาอังกฤษพร้อมด้วยอภิธานศัพท์ เมื่อทรงแปลเสร็จในเดือนพฤษภาคม ๒๔๖๘ ก็ได้พระราชทานแก่พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรเพื่อให้พิจารณาทูลเกล้าฯ ถวายความเห็น พระวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรกราบบังคมทูลว่า ทรงเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษมาก น่าจะทรงพระราชนิพนธ์เป็น Blank verse (กลอนเปล่า ซึ่งเป็นคำประพันธ์ที่กำหนดจำนวนคำโดยไม่บังคับสัมผัส แต่เน้นจังหวะของเสียง) ตามแบบบทละครพูดของเชคสเปียร์ได้ จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลใหม่เป็นร้อยกรองตามคำกราบบังคมทูล แต่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ถึงกลางองค์ที่ ๔ ก็ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตเสียก่อน

    ย้อนกลับไปเมื่อครั้งจะเริ่มทรงพระราชนิพนธ์ ได้ทรงพยายามหาคำบาลีสันสกฤตสำหรับชื่อดอกกุหลาบ พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป ขณะยังเป็นรองอำมาตย์โทหลวงธุรกิจภิธาน) ค้นได้ศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า กุพชก แต่ได้ทรงพระราชวินิจฉัยว่าถ้าจะให้เป็นชื่อนางเอกอาจต้องเปลี่ยนเสียงพยางค์หลังเป็น กุพชกา ซึ่งมีเสียงน่าฟัง แต่จะไปตรงกับศัพท์ที่แปลว่า นางค่อม จึงทรงเลือกใช้คำว่า มัทนา เป็นชื่อนางเอก มัทนา มาจากศัพท์ มทน แปลว่า ความลุ่มหลง หรือ ความรัก นอกจากนั้นเมือทรงพบศัพท์มทนพาธาจากพจนานุกรมสันสกฤตซึ่งมีความหมายว่า ความเจ็บหรือเดือดร้อนแห่งความรัก ซึ่งตรงกับแก่นเรื่องของบทละครเรื่องนี้ จึงทรงใช้ชื่อว่า มัทนะพาธา หรือตำนานแห่งดอกกุหลาบ
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    มัทนะพาธา
    ลักษณะการแต่ง
    เรื่องมัทนะพาธาใช้คำประพันธ์หลายชนิดแต่เน้นแต่งด้วยฉันท์ บางตอนใช้กาพย์ยานี กาพย์ฉบังหรือกาพย์สุรางคนางค์ และมีบทเจรจาร้อยแก้วในส่วนของตัวละครที่ไม่สำคัญ ทำให้มีลีลาภาษาที่หลากหลาย ตอนใดดำเนินเรื่องรวดเร็วก็ใช้ร้อยแก้ว ตอนใดต้องการจังหวะเสียงและความคล้องจองก็ใช้กาพย์ และตอนใดที่เน้นอารมณ์มากก็มักใช้ฉันท์ เช่น ตอนที่สุเทษณ์ตัดพ้อและมัทนาเจรจาตอบใช้วสันตดิลก แสดงจังหวะรวดเร็วของถ้อยคำเสริมให้คารมโต้ตอบกันมีลีลาฉับไวและทันกัน

    เรื่องมัทนะพาธาเป็นเรื่องสมมุติเกิดขึ้นในอินเดียโบราณมีทั้งหมด ๕ องก์

    องก์ที่ ๑ กล่าวถึงเหตุการณ์บนสวรรค์ เทพบุตรหลงรักเทพธิดามัทนา แต่นางไม่มีใจให้ สุเทษณ์จึงให้มายาวินใช้เวทมนตร์สะกดเรียกนางมา มัทนาเจรจาตอบสุเทษณ์อย่างคนไม่รู้สึกตัว สุเทษณ์จึงไม่โปรด ขอให้มายาวินคลายสะกด มัทนาเมื่อรู้สึกตัวก็ตอบปฏิเสธสุเทษณ์ ทำให้สุเทษณ์โกรธ จึงสาปให้นางจุติไปเกิดเป็นดอกกุหลาบในโลกมนุษย์ โดยสาปว่าให้กุหลาบดอกนั้นกลายเป็นมนุษย์เฉพาะวันเพ็ญเพียง วัน และคืนเดียว ต่อเมื่อมีความรักจึงจะพ้นสภาพจากเป็นดอกไม้ และหากเป็นทุกข์เพราะความรัก ก็ให้วิงวอน ต่อพระองค์ พระองค์จะช่วย

    องก์ที่ ๒ เป็นฉากหิมะวันซึ่งมีต้นกุหลาบ มัทนา ขึ้นอยู่ ฤษีกาละทรรศินขุดไปปลูกไว้ที่อาศรม เมื่อมัทนากลายเป็นมนุษย์ก็เลี้ยงดูรักใคร่เหมือนลูก ท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งเมืองหัสตินาปุระเสด็จไปล่าสัตว์ ได้พบมัทนาก็เกิดความรัก

    องก์ที่ ๓ เป็นฉากลานหน้าอาศรมพระกาละทรรศิน ชัยเสนออกมารำพังถึงความรักที่มีต่อมัทนา และแอบได้ยินมัทนารำพันถึงความรักที่นางมีต่อชัยเสนเช่นกัน ทั้งสองสาบานรักต่อกัน มัทนาจึงไม่ต้องกลับไปเป็นกุหลาบอีกพระกาละทรรศินทำพิธีแต่งงานให้ชัยเสนและมัทนา

    องก์ที่ ๔ เป็นฉากในกรุงหัสตินาปุระ ชัยเสนอยู่กับมัทนาอย่างมีความสุข พระนางจัณฑีมเหสีของ ชัยเสนหึงและแค้นใจมาก จึงขอให้พระบิดาซึ่งเป็นราชาแคว้นมคธยกทัพมาตีหัสตินาปุระ จัณฑียังใช้ให้นางค่อมข้าหลวงทำกลอุบายว่ามัทนารักกับศุภางค์ทหารเอกของชัยเสน ชัยเสนหลงเชื่อจึงสั่งให้ประหารมัทนาและสุภางค์

    องก์ที่ ๕ ตอนแรกเป็นฉากพลับพลาในค่ายหลวง พราหมณ์วิทูรเข้าเฝ้าชัยเสน แล้วสารภาพผิดว่าตนเป็นหมอเสน่ห์ที่ร่วมทำอุบายให้จัณฑี ชัยเสนรู้ว่ามัทนาและศุภางค์ไม่มีความผิดก็เสียใจมาก นนทิวรรธน์ อำมาตย์เอกจึงทูลความจริงว่าได้ปล่อยมัทนาไป และโสมทัตย์ศิษย์ของพระกาละทรรศินได้พานางกลับไปอยู่ในป่าหิมวันต์ ส่วนศุภางค์ก็เป็นอิสระเช่นกัน และได้ออกไปต่อสู้กับข้าศึกจนตายอย่างทหารหาญ ชัยเสนสรรเสริญศุภางค์และสั่งให้นนทิวรรธน์เตรียมขบวนไปรับนางมัทนา ทางด้านมัทนาได้ทูลขอให้สุเทษณ์รับนางกลับไปสวรรค์ สุเทษณ์ขอให้นางรับรักตนก่อน แต่มัทนาปฏิเสธ สุเทษณ์กริ้ว จึงสาปให้มัทนาเป็นกุหลาบตลอดไป ชัยเสนมาไม่ทัน จึงได้แต่นำต้นกุหลาบกลับไปเมืองหัสตินาปุระ
    มัทนะพาธา
    เนื้อเรื่องย่อ
    จอมเทพสุเทษณ์เป็นเทพผู้ใหญ่บนสรวงสวรรค์ เป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถผู้สารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม สุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี จิตระรถจึงนำมายาวินวิทยาธรมาเฝ้า สุเทษณ์ให้มายาวินใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนามาหา เมื่อมาแล้วนางมัทนาก็เหม่อลอยมิมีสติสมบูรณ์เพราะตกอยู่ในฤทธิ์มนตรา สุเทษณ์มิต้องการได้นางด้วยวิธีเยี่ยงนั้น จึงให้มายาวินคลายมนตร์ แต่ครั้นได้สติแล้ว นางมัทนาก็ปฏิเสธว่ามิมีจิตเสน่หาตอบด้วยมิว่าสุเทษณ์จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์

    มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอมเพื่อให้มีประโยชน์บ้าง สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบที่งามทั้งกลิ่นทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยที่ในทุกๆ 1 เดือน นางมัทนาจะกลายร่างเป็นคนได้ชั่ว 1 วัน 1 คืน ในเฉพาะวันเพ็ญของแต่ละเดือนเท่านั้น และถ้านางมีความรักเมื่อใด นางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมือนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง

    นางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน บรรดาศิษย์ของฤษีนามกาละทรรศินมาพบเข้าจึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตน ในขณะที่จะทำการขุดก็มีเสียงผู้หญิงร้อง กาละทรรศินเล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติ จึงได้เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องสืบไป เมื่อนั้นการจึงสำเร็จด้วยดี

    วันเพ็ญในเดือนหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระได้เสด็จออกล่าสัตว์ในป่าหิมะวันและได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤๅษี ครั้นได้เห็นนางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงามก็ถึงกับตะลึงและตกหลุมรัก จนถึงกับรับสั่งให้มหาดเล็กปลูกพลับพลาพักแรมไว้ใกล้อาศรมนั้นทันที

    ท้าวชัยเสนรำพันถึงความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางมัทนา ครั้นเมื่อนางมัทนาออกมาที่ลานหน้าอาศรมก็มิเห็นผู้ใด ด้วยเพราะท้าวชัยเสนหลบไปแฝงอยู่หลังกอไม้ นางมัทนาได้พรรณนาถึงความรักที่เกิดขึ้นในใจอย่างท่วมท้น ท้าวชัยเสนได้สดับฟังทุกถ้อยความจึงเผยตัวออกมาทั้งสองจึงกล่าวถึงความรู้สึกอันล้ำลึกในใจที่ตรงกันจนเข้าใจในรักที่มีต่อกัน จากค่ำคืนถึงยามรุ่งอรุณ ท้าวชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้นและคำสัญญารัก ณ ริมฝั่งลำธารใกล้อาศรมนั้น

    เมื่อมีความรักแล้ว นางมัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงาม มิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนา พระฤษีก็ยกให้โดยให้จัดพิธีบูชาทวยเทพและพิธีวิวาหมงคลในป่านั้นเสียก่อน

    ท้าวชัยเสนเสด็จกลับวังหลายเพลาแล้วแต่ก็มิได้เสด็จไปยังพระตำหนักข้างในด้วยว่ายังทรงประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑี มเหสีให้นางกำนัลมาสืบดูจนรู้ว่าพระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนกำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี เมื่อพระนางจัณฑีเจรจาค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา

    พระนางจัณฑีแค้นใจนัก ให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งมคธนครให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้นก็คบคิดกับนางค่อมอราลีและวิทูรพราหมณ์หมอเสน่ห์ ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนาโดยส่งหนังสือไปทูลท้าวชัยเสนว่านางมัทนาป่วย ครั้นเมื่อท้าวชัยเสนรีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนา ก็กลับพบหมอพราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ๆต้นกุหลาบ วิทูรกับนางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑีจึงทูลใส่ความว่านางมัทนาให้ทำเสน่ห์เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศุภางค์ ท้าวชัยเสนกริ้วนัก รับสั่งให้ศุภางค์ประหารนางมัทนาแต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่

    พระนางจัณฑีได้ช่องรีบเข้ามาทูลว่าตนจะอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดาซึ่งคงเข้าใจผิดว่านางกับท้าวชัยเสนนั้นบาดหมางกัน แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนางที่คิดก่อศึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกคราแล้วตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตาเอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง

    ขณะตั้งค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพราหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสนเพื่อสารภาพความทั้งปวงว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้าย ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำนึกผิดและละอายต่อบาปที่เป็นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหาร ท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้วคั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเองให้ตาย แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้ทันและสารภาพว่าในคืนเกิดเหตุนั้นตนละเมิดคำสั่ง มิได้ประหารศุภางค์และนางมัทนา หากแต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป ซึ่งนางมัทนานั้นได้

    โสมะทัตศิษย์เอกของฤษีกาละทรรศินนำพากลับสู่อาศรมเดิม แต่ศุภางค์นั้นแฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้วออกต่อสู้กับข้าสึกจนตัวตาย ท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธที่ถูกจับมาเป็นเชลยไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสีนั้นทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่าอันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามีก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่

    ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำพิธีบูชาเทพและวอนขอร้องให้สุเทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้นก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสี แต่นางมัทนาก็ยังคงปฏิเสธและว่าอันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกริ้วนักสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป

    เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนาด้วยก็ทูลเล่าความทั้งสิ้นให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรักแล้วขอให้พระฤษีช่วย โดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมกลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกครา

    เมื่อพระฤษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนก็รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้นวอทองเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้ฤๅษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะยังคงงดงามมิโรยราตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้นอายุขัย พระฤษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกที่กลิ่นอันหอมหวานสามารถช่วยดับทุกข์ในใจคนและดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้ ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จักใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแท้สืบต่อไป
    ขอบคุณที่มา :- https://www.baanjomyut.com/library_7/mattanapatra/03.html
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    กำลังใจสำหรับคนท้อ


    ช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เหนื่อยและท้อมาก

    ท้อกลับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่แล้วยังไม่สามารถผ่าตัดได้ ได้แต่ประวิงเวลาให้มันดีขึ้น หรือไม่ทรุดหนักว่าเก่า



    แต่ยังดี

    ดี...ได้ไปเที่ยว ได้มีเวลาทบทวน

    ว่าชีวิต ทำใครหล่นหายไปได้

    บางคน หล่นหายตามช่วงเวลา

    บางคน ผ่านมาเพื่อเป็นความทรงจำ



    หากห้วงหนึ่งของเวลาได้ทำใครสุข ก็ขอยิ้มด้วย และหากเผลอทำใครทุกข์ก็ขอโทษด้วย



    นึกถึงช่วงเวลานี้แห่งปีที่แล้ว..นึกถึงแม่ที่จากไป
    บางที เราก็มัวแต่นึกถึงความสุขของตัว จนหลงลืม ..

    ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของคนที่อยู่รอบข้างตัว



    ย้อนมองเวลาที่เดินจากเราไปช้า ๆ

    ย้อนมองดูความสุขที่กำลังจะจากเราไป อย่างช้า ๆ เช่นกัน

    ประวิงเวลาไว้ คงไม่เกิดประโยชน์ ..



    บางที เราก็มัวแต่นึกถึงความสุขของตัว จนหลงลืม ..

    ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของคนที่อยู่รอบข้างตัว

    ปีนี้ ก็สี่สิบแล้ว.. ความแข็งแรงในกาย ทำไมเสื่อมไวจัง

    ย้อนมองเวลาที่เดินจากเราไปช้า ๆ

    ย้อนมองดูความสุขที่กำลังจะจากเราไป อย่างช้า ๆ เช่นกัน

    ประวิงเวลาไว้ คงไม่เกิดประโยชน์ ..

    ใคร .. ที่ยังห่วงภาระ อื่น ๆ อยู่ ...

    อย่าลืม เหลียวกลับมามองดู และใส่ใจคนที่เวลาในชีวิตเหลืออยู่น้อยกันนะคะ



    by Siwaporn Traiphop 2019.05.17
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    2hearts.jpg
    การที่หญิงสาวจะได้พบกับผู้ชายดีๆคนหนึ่ง
    ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ
    เพราะเมื่อใดที่ผู้หญิงมีความเป็นผู้ใหญ่
    พอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ เมื่อนั้นก็แปลว่า...
    "เธอไม่เคยพบเจอกับผู้ชายดีๆเลยแม้แต่คนเดียว"

    เธอจงจดจำไว้
    การเลือกชีวิตคู่นั้นไม่มีเงื่อนไขอื่นใด
    นอกเสียจากเลือก "คนที่เขารักเธอ"
    ไม่ว่าเขาจะมีเงินมากมายเท่าใด ?
    ชอบช่วยเหลือคนอื่นสักแค่ไหน?
    จะมีความสามารถเพียงใด ?
    จะฉลาดสักเท่าใด ?
    จะกตัญญูอย่างไร ?
    จะหล่อปานไหน ?
    จะพูดเก่งยังไง ?

    เขาไม่รักเธอ จะมีประโยชน์อันใด!!!

    จิตแพทย์ได้กล่าวไว้ว่า...
    “ต่อให้เธอรักผู้ชายคนนั้นสักแค่ไหน
    จุดเริ่มต้นของความรักเริ่มจากผู้ชาย
    หากชายคนนั้นไม่ได้รักเธอ
    เสียเขาไปคือความคุ้มค่ากว่าเสียอีก”


    ไม่มีคู่อาจเงียบเหงาบ้าง แต่สามารถมีความสุขได้
    เธอสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกได้เพียงลำพัง
    เธอสามารถพูดคุยกับผู้ชายได้ทุกเพศวัยอย่างสบายใจ
    เธอสามารถเลือกกลับบ้านหรือไปเดินห้าง
    หลังจากเลิกงานได้ด้วยตัวเธอเอง

    ความเหงาตอนโสดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด
    ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ...
    เมื่อมีคู่ชีวิตแต่เธอกลับรู้สึกเหงาต่างหาก!

    คุณพ่อท่านหนึ่งได้เตือนสติลูกสาวของเขาว่า...

    “คนบางคนเหมาะสมกับลูก แต่เขาไม่รักลูก
    คนบางคนรักลูกแต่เขาไม่เหมาะสม
    หากอยากจะรู้ว่าเขารักลูกหรือเปล่า?
    อย่าใช้หูฟังแต่จงใช้ตามอง
    ดูว่าเขาทุมเทต่อลูกสักเพียงใด ?
    หากอยากรู้ว่าเหมาะสมกันหรือเปล่า ?
    อย่าตัดสินว่าเพราะเขามีอะไร?
    แต่จงตัดสินจากรอยยิ้มของลูกและน้ำตาที่ต้องหลั่งไปเพราะเขา


    คนที่ทำให้ลูกร้องไห้อยู่เสมอ
    ต่อให้เพียบพร้อมสักแค่ไหนก็อย่าเลือกฝากชีวิตไว้
    คนที่ทำให้ลูกยิ้มได้ ต่อให้ฐานะยากจนเพียงใด
    ก็คุ้มค่าที่จะฝากชีวิตไว้

    จงเลือกเหนื่อยเพราะหัวเราะ
    อย่าเลือกสบายแต่ต้องร้องไห้ทุกวัน”


    เลือกคนที่กล้าเก็บรูปของเธอไว้ในกระเป๋าสตางค์
    เลือกคนที่กล้าลงรูปเธอไว้หน้าไทม์ไลน์ของเขา
    เลือกคนที่กล้าให้เธอรู้ความเคลื่อนไหวของเขา
    เลือกคนที่เขากล้าทุ่มเทความรักให้กับเธอ

    หากการคบหากัน
    เขาคนนั้นไม่ได้ทำให้เธอดูดีขึ้นในสายตาคนอื่น
    ขอแสดงความเสียใจด้วย
    "เธอเลือกคนผิดเสียแล้ว!"
    เพราะหากเขารักเธอจริง
    เขาจะไม่ทำให้ผู้หญิงของเขาดูแย่ในสายตาของใครๆ

    ผู้ชายบางคนที่รักเธอ เขาต้องการใช้ชีวิตกับเธอทั้งชีวิต
    ผู้ชายบางคนที่รักเธอเขาต้องการใช้ชีวิตกับเธอเพียงชั่วครู่

    คนที่ต้องการใช้ชีวิตกับเธอทั้งชีวิตเขาอาจไม่ได้ซื้อข้าวของ
    หรือบอกรักเธอทุกๆวัน
    เพราะเขาพยายามสร้างตัวเพื่อเธอและครอบครัว

    คนที่ต้องการใช้ชีวิตกับเธอเพียงชั่วครู่
    เขาจะประเคนทุกสิ่งอย่างให้กับเธอ
    เสมือนว่า "ขาดเธอแล้วเขาจะขาดใจ"
    (ซึ่งจริงๆไม่มีใครตายเพราะความรัก
    มีแต่ตายเพราะความหลงและโง่งมงาย)

    ดังนั้น "ผู้ชายดีๆจะคิดถึงการร่วมชีวิต"
    "ผู้ชายเลวๆจะคิดถึงการร่วมหลับนอน"

    หญิงสาวเอ๋ย
    เธอรักตัวเองมากเท่าไหร่
    เธอก็มีค่าต่อตนเองและผู้อื่นมากเท่านั้น
    อย่าเอาอกเอาใจใครๆ จนลืมห่วงใยตัวเอง
    ชีพหนึ่งไม่ยาวนาน...
    เธอจงจำไว้ "รักตัวเองให้มากหน่อย!!!"


    - นุสนธิ์บุคส์ -
    ;- http://siwa9123.blogspot.com/
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    .jpg
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    LpApichartApichatoFortuneteller.jpg
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    GoodBadWeDid.jpg
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    จำอวดหน้าม่าน รถสองแถว

    Kung Waw
    Published on Jan 14, 2012
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    คุณค่าของความผิดหวัง
    ขึ้นชื่อว่าความผิดหวัง
    ไม่มีใครอยากเจอ

    ทั้งระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ต้องการแต่ความสมหวัง
    เพราะ ความสมหวังทำให้เรามีความสุข
    ทำให้รู้สึกตัวเองมีคุณค่า รู้สึกชนะ
    และ คนที่มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสมหวัง จะดูดีเป็นที่ชื่นชม เป็นที่ยอมรับของสังคม ^^"

    ขณะที่ความผิดหวัง ทำให้เรา เศร้า เจ็บปวด รู้สึกพ่ายแพ้
    เสียความมั่นใจในตัวเอง
    สังคมก็มองว่าแย่ ทำให้รู้สึกอัปยศชอบกล

    จึงทำให้เรายอมรับความผิดหวังได้ยาก -.-"

    แต่จริงๆแล้ว ความผิดหวังให้อะไรมากกว่าที่เราคิด
    ให้สิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิต กับจิตใจ และ การเติบโตด้านใน
    บางทีมีคุณค่ามากกว่าความสมหวังด้วยซ้ำ

    เพราะ หลายครั้ง ความสมหวัง ทำให้เรา เสียคน ทนกับอะไรไม่ได้
    บางทีทำให้เรากลายเป็นคนอ่อนแอ

    ชีวิตคือการเรียนรู้ ทุกรอยบาดแผลแห่งความผิดหวัง ให้ความรู้ใหม่ๆกับเราเสมอ

    และ เป็นความรู้ใหม่ๆที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

    เพราะ ทำให้เราเติบโตขึ้น

    เพราะอะไร ความผิดหวัง จึงทำให้เราเติบโตขึ้น
    มีคนกล่าวว่า ที่เราผิดหวัง เพราะ เราหวังผิด...

    เราหวังในสิ่งที่ผิดไปจากความเป็นจริง.... เราจึงผิดหวังนั่นเอง

    ทุกรอยบาดแผลจากความผิดหวัง จึงมีค่ายิ่ง ...........เพราะทำให้เราได้เห็นโลกตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น

    แม้จะเจ็บปวด แต่ ทำให้เราตาสว่าง

    เราได้เติบโต และ เป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นจากสิ่งนี้

    เมื่อมองย้อนกลับไป
    หลายครั้ง .... เราต้องขอบคุณความผิดหวังเหล่านั้น
    ที่ทำให้เราเข้าใจโลกใบนี้มากขึัน
    เข้มแข็งมากขึ้น
    และใช้ชีวิตได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น

    จนทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์มากขึ้นในวันนี้

    #หมอเบิ่นนี่
    :-
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    dhukaseedhamma.jpg
    หลวงพ่อปราโมทย์ : ค่อยๆภาวนาไป มีสติรู้กายรู้ใจไป ภาวนาไปแบบลำบาก แบบแห้งแล้ง เรียกว่า “สุกขวิปัสสกะ” ภาวนาแบบแห้งผาก แห้งผากจริงๆนะ ภาวนาไปแล้ว โอย..ทุกข์ทั้งนั้นเลย จะเบรคก็ไม่ค่อยจะเบรค เบรคไม่ค่อยอยู่ เห็นแต่ทุกข์ทั้งวัน เห็นแต่ทุกข์ทั้งคืน ฝึกไปนะ จนใจมันเอือมกับความทุกข์ แล้วมันก็รู้ว่าหนีไม่ได้

    ในที่สุดใจยอมรับความทุกข์ ตรงนี้สำคัญละ อยู่กับทุกข์นะ หาทางหนีเท่าไหร่ๆก็ไม่พ้น หนีไปขึ้นภูเขา ขึ้นต้นไม้ ขึ้นไปเรือบิน ลงไปใต้น้ำ พวกความทุกข์ก็ตามไป หนีไม่พ้น หนีไม่พ้นก็ต้องอยู่กับมัน รู้แล้วว่าหนีไม่ได้ ใจก็ยอมรับ เอาละวะ อยู่ก็อยู่กับมัน ใจเป็นกลางกับความทุกข์ ภาวนาไปนะ ถึงจุดหนึ่งเนี่ย ใจจะเป็นกลางกับความทุกข์ เห็นนะ มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย พอใจเป็นกลางมากเข้าๆนะ ในที่สุดใจเนี่ยจะเกิดกลไกอัตโนมัติอย่างหนึ่ง พอมันเห็นทุกข์เต็มที่แล้วนะ มันจะสลัดตัวออกจากทุกข์ได้ อันนี้เป็นเรื่องแปลกมากเลย

    เพราะฉะนั้นเรารู้กายเรารู้ใจ เห็นเป็นทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่นะ ถึงวันหนึ่งเนี่ย จิตจะสลัดตัวออกไปจากขันธ์ ไม่ยึดน่ะ ไม่ยึดในขันธ์ ขันธ์ก็ยังทุกข์ต่อไปของขันธ์หรอก แต่จิตจะพ้นออกไปจากขันธ์ นี่วิธีปฏิบัตินะ ตั้งแต่เบื้องต้นมา มีสติรู้กายรู้ใจไป อดทน ต้องอดทน เพราะว่ามันจะซ้ำๆซากๆ ดูกายดูใจซ้ำซากไป จนสติอัตโนมัตินะ พอสติอัตโนมัติขึ้น มีสติทีแรกก็มีความสุขดีหรอก พอสติอัตโนมัติขึ้นมารู้ทั้งวันรู้ทั้งคืน คราวนี้ล่ะจะเจอทุกข์สาหัสสากรรจ์เลย

    ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรมหรอกนะ เพราะรู้ทุกข์นั้นแหละถึงจะเรียกรู้ธรรม เพราะความทุกข์เป็นความจริงของพระอริยะ ถ้าใจไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่ได้เป็นพระอริยะหรอกนะ พระอริยะรู้จักสัจจะความจริงข้อแรกก็คือทุกข์นั่นเอง รู้ทุกข์นะจนใจหมดแรงดิ้น หมดสมุทัย ไม่ดิ้นแล้ว หนีก็ไม่พ้นแล้ว ปฏิเสธก็ไม่ได้แล้ว หมดแรงดิ้นนะ ยอมจำนน ยอมจำนนนะ สู้ตายแล้วก็รู้เลย ตายแหงแก๋แล้วคราวนี้ ความทุกข์ถลุงเอาๆนะ ไม่มีทางรอดแล้ว แล้วก็ไม่มีทางหนีด้วย

    ในที่สุดใจนะ เห็นทุกข์แจ่มแจ้งนะ ทุกข์มันบีบคั้นนะ มันสลัดตัวเปรี้ยงออกไปเลย มันพ้นกันตรงนั้นแหละ มันพ้นตรงที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่าไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรมหรอกนะ


    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
     
  18. #เมตไตรยา

    #เมตไตรยา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2019
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +20
    สอนเราด้วยเราอยากลงยูทูปใส่ในกระทู้
     
  19. #เมตไตรยา

    #เมตไตรยา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2019
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +20
    ลงยูทูปในกระทู้..เราทำไม่เป็นอ่ะ
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,566
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    จำอวดหน้าม่าน | คอนเสิร์ตคุณพระช่วย สำแดงสด ๔ รวมแผ่นดิน

    คุณพระช่วย
    Sep 2, 2019
     

แชร์หน้านี้

Loading...