เรื่องเด่น อานาปานะ (สติ) แบบพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ดังนี้


    ศีลเพื่อเสริมความดีงามของชีวิตและสังคม

    ศีลมีหลายขั้นตามเพศภูมิของกลุ่มชนนั้นๆ ศีลเบื้องต้นที่สุดได้แก่ ศีล ๕ (สิกขาบท ๕) ศีล ๘ (สิกขาบท ๘) ศีล ๑๐ (สิกขาบท ๑๐) ศีล ๒๒๗ (วินัยของภิกษุ) เป็นต้น หัวข้อนี้มาดูศีลซึ่งไม่ค่อยได้พูดถึงกัน คือ ศีลเพื่อเสริมความดีงามของชีวิตและสังคม มาในสิงคาลสูตร ทีพระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ให้เป็น คิหิวินัย คือ วินัยของคฤหัสถ์ หรือศีลสำหรับชาวบ้าน หรือศีลสำหรับประชาชน ดังสาระที่สรุปได้ ดังต่อไปนี้

    หมวด ๑: ปลอดความชั่ว ๑๔ ประการ คือ

    ก. ละกรรมกิเลส (ข้อเสื่อมเสียของความประพฤติ) ๔ อย่าง ได้แก่
    ๑. ปาณาติบาต
    ๒ อทินนาทาน
    ๓. กาเมสุมิจฉาจาร
    ๔. มุสาวาท

    ข. ไม่กระทำบาปกรรมโดย ๔ สถาน คือ ไม่ทำกรรมชั่วด้วยลุแก่
    ๑. ฉันทาคติ - ลำเอียงเพราะชอบ
    ๒. โทสาคติ - ลำเอียงเพราะชัง
    ๓. โมหาคติ - ลำเอียงเพราะเขลา
    ๔. ภยาคติ - ลำเอียงเพราะกลัว

    ค. ไม่เสพอบายมุข (ช่องทางเสื่อมเสีย หรือหายหมดไป) แห่งโภคะ ๖ ประการ คือ
    ๑. ติดสุรา และของมึนเมา
    ๒. ติดเที่ยวกลางคืน
    ๓. ติดเที่ยวดูการเล่น
    ๔. ติดการพนัน
    ๕. ติดคบเพื่อนชั่ว
    ๖. เกียจคร้านการงาน

    หมวด ๒: (เตรียมทุนชีวิต ๒ ด้าน คือ)

    - รู้จักมิตรแท้ มิตรเทียม ซึ่งควรคบ และไม่ควรคบ ได้แก่
    ก. มิตรเทียม ๔ จำพวก คือ
    ๑. คนปอกลอก
    ๒. คนดีแต่พูด
    ๓. คนหัวประจบ
    ๔. คนชวนฉิบหาย

    ข. มิตรแท้ ๔ จำพวก คือ
    ๑. มิตรอุปการะ
    ๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์
    ๓. มิตรแนะนำประโยชน์
    ๔. มิตรมีน้ำใจ

    - เก็บรักษาสะสมทรัพย์ เหมือนดังผึ้งขยันรวบรวมน้ำเกสรดอกไม้สร้างรัง หรือเหมือนตัวปลวก ก่อสร้างจอมปลวก แล้วพึงจัดสรรทรัพย์ใช้สอย โดยแบ่งเป็น ๔ ส่วน
    ก. กินใช้ เลี้ยงดูคน และทำประโยชน์ ๑ ส่วน
    ข. ทำทุนประกอบการงาน ๒ ส่วน
    ค. เก็บไว้ใช้คราวจำเป็น ๑ ส่วน
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ต่อ

    หมวด ๓: ปกแผ่ทิศทั้ง ๖

    - ทิศ ๖ ปฏิบัติหน้าที่ต่อบุคคลที่สัมพันธ์กับตนให้ถูกต้องตามฐานะทั้ง ๖ คือ

    ๑. ก. บุตรธิดา บำรุงมารดาบิดาผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหน้า โดย
    ๑) ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
    ๒) ช่วยทำกิจธุรการงานของท่าน
    ๓) ดำรงวงศ์สกุล
    ๔) ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
    ๕) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน

    ข. มารดาบิดา อนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้
    ๑) ห้ามกันจากความชั่ว
    ๒) ฝึกอบรมให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓) ให้ศึกษาศิลปวิทยา
    ๔) เป็นธุระในการมีคู่ครองที่สมควร
    ๕) มอบทรัพย์สมบัติให้เมื่อถึงโอกาส

    ๒. ก. ศิษย์ บำรุงครูอาจารย์ ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องขวา โดย
    ๑) ลุกรับ แสดงความเคารพ
    ๒) เข้าไปหา (เช่น ช่วยรับใช้ ปรึกษาซักถาม รับคำแนะนำ)
    ๓) ตั้งใจฟังและรู้จักฟัง
    ๔) ปรนนิบัติ ช่วยบริการ
    ๕) เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ

    ข. ครูอาจารย์ อนุเคราะห์ศิษย์ ดังนี้
    ๑) แนะนำฝึกอบรมให้เป็นคนดี
    ๒) สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
    ๓) สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง
    ๔) ยกย่องให้ปรากฏในหมู่พวก
    ๕) สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ (สอนให้เอาไปใช้งานเลี้ยงชีพได้จริง)

    ๓. ก. สามี บำรุงภรรยา ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหลัง โดย
    ๑) ยกย่องให้เกียรติสมฐานะภรรยา
    ๒) ไม่ดูหมิ่น
    ๓) ไม่นอกใจ
    ๔) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้าน
    ๕) หาเครื่องแต่งตัวมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส

    ข. ภรรยา อนุเคราะห์สามี ดังนี้
    ๑) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
    ๒) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
    ๓) ไม่นอกใจ
    ๔) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
    ๕) ขยันช่างจัดช่างทำเอางานทุกอย่าง

    ๔. ก. บำรุงมิตรสหาย ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องซ้าย โดย
    ๑) เผื่อแผ่แบ่งปัน
    ๒) พูดอย่างรักกัน
    ๓) ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
    ๔) มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน
    ๕) ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน

    ข. มิตรสหาย อนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
    ๑) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน
    ๒) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน
    ๓) ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้
    ๔) ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
    ๕) นับถือตลอดวงศ์ญาติของมิตร

    ๕. ก. นาย บำรุงคนรับใช้และคนงาน ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องล่าง โดย
    ๑) จัดงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังเพศวัยและความสามารถ
    ๒) ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่
    ๓) จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น
    ๔) มีอะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
    ๕) ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาส

    ข. คนรับใช้และคนงาน อนุเคราะห์นาย ดังนี้
    ๑) เริ่มทำงานก่อน
    ๒) เลิกงานทีหลัง
    ๓) เอาแต่ของที่นายให้
    ๔) ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
    ๕) นำความดีของนายงานและกิจการไปเผยแพร่

    ๖. ก. คฤหัสถ์ บำรุงพระสงฆ์ ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องบน โดย
    ๑) จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา
    ๒) จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา
    ๓) คิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
    ๔) ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
    ๕) อุปถัมภ์ ด้วยปัจจัย ๔

    ข. พระสงฆ์ ย่อมอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดังนี้
    ๑) ห้ามปรามสอนให้เว้นจากความชั่ว
    ๒) แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓) อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงาม
    ๔) ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง
    ๕) ชี้แจงอธิบายสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
    ๖) บอกทางสวรรค์ให้ (สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบความสุข)
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    สังคหวัตถุ ๔: บำเพ็ญหลักการสงเคราะห์ เพื่อยึดเหนี่ยวใจคนและประสานสังคม ๔ ประการ คือ
    ๑. ทาน - เผื่อแผ่แบ่งปัน
    ๒ ปิยวาจา - พูดอย่างรักกัน
    ๓. อัตถจริยา - ทำประโยชน์แก่เขา
    ๔. สมานัตตตา - เอาตัวเข้าสมาน
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    สหายทั้งสาม เห็นภาพพระพุทธศาสนาชัดขึ้นแล้วนะครับ หรือไม่ชัดอีกก็ว่ามา โดยเฉพาะเราจะโตศิษย์นาป่าพง
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    อ. วรณ์นิ ตอนได้อรูปอะไรที่ว่าเนี่ย เคยเหาะไปอาลวาดถึงพรหมโลกไหมขอรับ
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไม่เคย ไปนรก สวรรค์ อะไรทั้งนั้น จะมีก็แต่ จิตอื่นเขามาสื่อ ให้สัมผัสรับรู้
    ผมเคยนั่งสมาธิ เพ่งกสิณวงกลมสีแดง...มาตอนดึกๆ จิตมันรวมเหมือนทะลวงตามรู วิ่งทะลวงจะไปออกที่ไหนสักแห่ง ผมสกัด ฝืน หยุดมันเต็มที่ ..จนไม่ทะลวงออกอีกด้าน..ผมหงายหลังฟาดเตียงเลยเหงื่อแตก เพราะใช้กำลัง หยุดมัน สุดชีวิต....ผมเลย ไม่เห็นอะไร ไปไหนไม่ได้

    แต่ ส่วนมากจะไปทางความฝัน เช่น จิตอื่นมาพาไป จิตอาจารย์มาพาไป หลายที่ เลย ..แต่เมื่อมีจิตอื่น มาสื่อสารด้วย ผมจะรู้ครับ
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อย่ามาเรียกผมว่าอาจารย์เลยนะ เรียกเพื่อน พี่น้อง น่ะ พอได้

    เจตนาฝึกของผม เพื่อ พ้นทุกข์ พ้นจาก ความคิด ความจำได้ ไม่เอาอะไร
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อืม..ขอบคุณที่ยกมาให้อ่าน เพราะผมก็ ไม่เคยอ่านมาก่อนเลย แบบนี้
    เพราะ ขาดการอ่าน ตำราพระธรรม พระไตรมา.. มีแต่ ปฏิบัติ ด้วย กายใจจิต..เท่านั้น...ตำราเองที่อ่าน ก็ ...ของหลวงปู่มั่น เท่านั้น...กับ หลวงปู่ฝั้น นิดหน่อย

    ความจริง ชอบหลวงปู่ฝั้น...เพราะท่าน พูด สั้นๆ ง่ายๆ ว่า....ถ้าใจเราดี อยู่ที่ไหน อย่างอื่นก็ดีตามไปหมด....ถ้าใจเราไม่ดี อะไรๆก็ไม่ดีไปทั้งหมด...อิอิ

    ส่วนของหลวงปู่มั่น ก็อ่าน ดูสภาวะธรรม สภาวะจิต ภูมิรู้ ภูมิปัญญา ของท่าน ว่า ท่านจะอธิบาย ธรรมในหมวด ต่างๆ ว่าอย่างไร ท่านเข้าใจได้แค่ไหน

    ผมอ่าน เพื่อ สัมผัส แบบนี้ครับ
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผม เข้าใจว่า ไอ้ความทุกข์ทั้งหมด ที่เป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต ...มันล้วนมีใน ความคิด ความจำได้ นี่แหล่ะ ...เวลาเรานอนหลับ จะเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุด เพราะ มันไม่ต้องรับรู้อะไร ไม่ต้องใช้ความคิด...แต่พอเราตื่นขึ้นมา ไอ้ สิ่งต่างๆ ก็ทะยอยๆๆๆมาให้รับรู้ ให้จำได้ ให้คิดหวน ให้ระลึกมา ทั้งที่ ไม่อยากจำ อยากจะลบ ลืมๆมันไป...

    ผมจึงตั้งจิตอธิฐาน ..ขอให้ตนเองพ้นจาก สิ่งเหล่านี้ สักที ไม่เอา นรก สวรรค์ นิพพาน สมบัติใดใด....ขอแค่ให้พ้นจาก ..ความคิด ความทรงจำ เหล่านี้ก็พอ

    ตั้งแต่นั้นมา...ชีวิตผมมันก็ พบเจอ ประสบการณ์ ที่ ..พิศดาร มาเรื่อยๆ นี่ไง
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความจริง อาจารย์ผมคนที่มาชี้ทางออกให้ผม ชำระอวิชชาได้ ท่านที่อยู่เจียงใหม่นี่ ผมยกว่าท่านคือพระพุทธเจ้า สำหรับผม...เลยนะ

    เพราะ ความพิศดารของท่าน ..พูดไป คนอื่นคง ไม่เชื่อหรอก..อิอิ
    ท่านสอนผมมากมายหลายเรื่อง..เกินจะมีในตำรา
    โดยเฉพาะ เรื่อง ของพลังงานจิต พลังงานธาตุ พลังงานของสรรพสิ่ง
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ท่านบอกว่า ความรู้ ความเข้าใจ บางอย่าง...มันเป็นพุทธวิสัย...ภูมิของพุทธะ คนทั่วไป ที่ไม่มีพุทธะวิสัย ไม่มีทาง เข้าใจได้หรอก เพราะมันต้องใช้ปัญญา อันยิ่ง ในการ ทำความเข้าใจ...คนอื่นได้ยินได้ฟัง ก็เหมือน เกินกำลังที่ เขาจะมาทำความเข้าใจได้....เพราะระดับ ภูมิปัญญา รูปนามของแต่ละคน ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น จุดประสงค์ในการสร้าง....ไม่เหมือนกัน..(ความอยากที่เป็นเหตุปัจจัยแห่งการเกิด ไม่เหมือนกัน).....อันนี้คือ ตัว จำแนกแจกแจง กรรม ครับ
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผมว่า คำอธิฐานนี่ ก็ เป็นตัวการสำคัญเหมือนกันนะ
    อย่างบางคน อธิฐาน ... อยากร่ำอยากรวย อยากสวยอยากหล่อ อยากเก่ง อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นแบบนั้นแบบนี้ อยากเป็นเทวดา อยากเป็นพระอรหันต์...อยากถึงพระนิพพาน...

    แต่พอมาเกิดอีกชาติต่อมา...มันก็หลงอยากไปกับ อย่างอื่นอีก ไปเรื่อยๆ..จนไม่รู้ตัวว่า เคยอธิฐานขอ ให้ตนเอง สมอยากเรื่อง อะไรไว้บ้าง..
    เพราะ ทุกเรื่องที่ อธิฐานขอ เมื่อมาเกิด มันต้อง..สร้าง สะสม เหตุปัจจัย เพื่อสิ่งที่ตนเองเคยอธิฐาน เอาไว้ด้วย มันถึงจะเป็นการ ปลูกพืช ให้ตรงกับ ที่ตนเองต้องการ ในผลนั้นๆ

    โดยเฉพาะ พระนิพพาน..คืออะไร..นี่ต้อง ศึกษา ให้ขึ้นใจ เลยว่า...ต้องทำอย่างไรบ้าง จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง...เพราะพระนิพพาน มันล้วนต้อง ชำระ สมมุติ ออกให้หมดสิ้น...นั่นเอง คือ ...แนวทางที่ต้อง ปฏิบัติให้ ถึง...
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ศีล.......ความปกติ.....เป็นธรรมชาติ....คือธรรม........คือผู้รู้..สรรพสิ่ง ที่ อนิจจัง
    สมาธิ....ความสงบ....ไม่หลงไปกับอุปทาน คือฌาณ....คือผู้ตื่นออกจาก ทุกขัง
    ปัญญาคือ....การใช้ชีวิตตามมรรคแปด ..ตามธรรมชาติ ตามธรรม.ที่ล้วนเป็น อนัตตา...เป็นปัญญาตามธรรมชาติ ไม่ไช่ปัญญาที่มีในตน แต่อย่างใด
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    1...หาที่ สงัด วิเวก
    2....นั่งคู้บัลลังก์...สมาธิ ตั้งอยู่เบื้องหน้า (เหมือนพระประธาน ไม่หลับตา)แต่ สายตาไม่จับสิ่งใด และไม่ตั้งเข้ามาในกายตน...ให้ตั้งอยู่ในความว่าง นะหว่าง กายเรากับ ทุกสมมุติด้านนอกกาย แสดงว่า ตั้งอยู่กับ...ลม นั่นเอง

    ทีนี้ก็มา จับที่ ลมเข้ามาในกายสุด และลมที่ออกกลับไปนอกกายสุด
    เมื่อเกิดสมาธิ จิตแนบแน่นไปกับลม...เวลาลมเข้ากาย สติจะรู้ สภาวะของกายทั้งหมด..ว่า ยุบ พอง ร้อนหนาว คัน ทุกเวทนา ทุกผัสสะ..ตลอดจนความคิด ที่ แทรกขึ้นมา ในช่วงที่ สติเผลอไป..แล้วรู้ทันเมื่อไหร่ ก็...ดึงกลับมาจับที่ลม ที่ว่างตรงหน้า ..อีกครั้ง..(ลืมตานะ อย่าหลับตา)...จน...เกิด ความสงบ ถึงขั้น ปัสสิทธิ ได้...คือ ลมหาย โน่นแหล่ะ...แต่รู้ นั้น ยังคงพัฒนา รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม อยู่อย่างนั้น...(อันนี้ ผมก็ไม่เคยทำนะ..แค่ อาจารย์ เคยบอกมา)

    เพราะ ตัวผมเองิเมื่อครั้ง เคยนั่ง เข้าถึง ความสว่างนั้น..ก็พอเข้าใจได้แล้วว่า เมื่อพ้น กาย เวทนา ความคิด ..มาได้นั้น เหลือแต่จิตรู้ นั้น เป็นเช่นไร..คงไม่ต่างกันนัก...ผมจึง มาเน้น การปฏิบัติเพื่อหาทางพ้นจาก ความคิด ความจำได้ พ้นจากจิต..ได้จริงๆ...จะดีกว่า นั่งสมาธิ แล้ว พ้นแค่ในสมาธิ พอบืมตา มาใช้ชีวิต กลับ เหมือนเดิม..แบบนี้ มัน ำม่จริงเลย
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    แต่พอมาฝึกแยกจิตดูกาย แบบสติปัฏฐานสี่
    เมื่อสติ พ้น จาก กาย เวทนา ใจ ได้แล้ว...ตัวสติรู้นี่เองคือ ตัวจิตอวิชชา อย่างแท้จริง ตัวตนเหตุแห่ง สมุทัย ตัวรวมของ กองขันธ์ทั้งหลาย มันคือ อุปทานขันธ์ที่แท้จริง....ส่วนในการนั่งสมาธิ...ตัวสติรู้...มันก็แค่...สงบนิ่ง เพราะ อำนาจของฌาณ เท่านั้น...กองขันธ์เอย อวิชชาเอย...หาได้ เผยตัวตนที่แท้จริงไม่....สำหรับผมนะ ส่วนตัว

    ดังนั้น...ความว่างทั้งหลายที่จิตเข้าถึง...เท่าที่เคย เข้าถึงมา มันจึง เหลือรู้ อยู่.. แต่ ไม่ไช่การพ้นจากมัน ไง...มันแค่...พรหมลูกฟัก
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไม่ว่าจะเป็น ฌาณขั้นไหน ผมก็ไม่สนใจ
    จะมาอ้าง ฌาณสมาบัติ ผมก็ไม่สนใจ
    เพราะ..คำว่าพ้นแล้ว...มันจึงเป็น คำตอบที่ชัดเจนที่สุด
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ในการที่ผมฝึก สร้าง ร่างจำแลง(สร้างเจตสิก) ขึ้นมา

    ตัวที่สร้าง ที่คิดสร้าง คือ..ตัวใจ...เท่านั้น ที่ทำได้ และรับรู้ว่า สร้างแล้ว
    แต่ยังมีอีกตัวคือ ตัวรู้ หรือ ตัววิญญาณรู้..เป็นตัวที่ตามไปครอบให้ ความคิดนั้นๆ มันดิ้นได้ อุปทานได้ มีเรื่องมีราวได้..มีชีวิตชีวาเกิดขึ้น เป็นเจตสิก..นั้นๆ

    ตัววิญญาณรู้ ตัวนี้ เอง...ที่คอยครอบงำ ชี้นำ บงการในทุกผัสสะ ในทุกความคิด จนเกิดเป็น เวทนา กิเลสตัณหา อุปทาน ภพชาติ เกิดขึ้น...มันยึดครอง ด้วย
    อุปทานในกองขันธ์นี้มาตลอด หลายภพชาติที่เกิดตาย เกิดตาย...

    ดังนั้น ถ้า ใครไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ตัววิญญาณนี้ ว่า มันทำงานยังไง มีอยู่จริงหรือไม่...แยก จิตนี้ กับ กายใจ ไม่ออก...ก็ย่อม ต้อง ตกอยู่ในวังวนของความหลง....เป็นธรรมดา นั่นเอง
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    อย่าขัดใจผมเลย ให้ผมเรียกเถอะขอรับ อาจารย์วรณ์นิ สาธุสามครั้ง

    พ้นจากความจำได้แล้ว อ.นิวรณ์จะจำอะไรได้ขอรับ ถ้าจำอะไรไม่ได้ สมมุติมีคนจับไปปล่อยนอกบ้าน แล้วจะจำทางกลับบ้านได้หรือขอรับ

    เมื่อพ้นจากความจำได้แล้ว จะจำลูกจำเมียได้หรือขอรับ
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ เรื่อง...ของ นามหรือ...พลังงาน

    แสงมีพลังงาน ความร้อน
    โกรธ มีพลังงานความร้อน
    กรรม มีพลังงาน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีพลังงาน
    จิตมีพลังงาน
    จักรวาลนี้ วัฏะสงสารนี้ มีพลังงาน
    ทุกธาตุมีพลังงาน

    นิพพาน แปลว่า พ้น ดับ เย็น....จากพลังงาน หมายถึง จิตตนเอวเป็นอนัตตา หมดพลังงาน...จึงเรียกได้ เต็มปากว่า...ไม่เป็นขั้วบวกหรือขั้วลบ แต่ เป็นกลาง ต่อ วัฏะสงสารแห่งนี้....เป็นกลางแบยนี้ เรียก อีกชื่อว่า...เป็น สัมมา
    นั่นเอง

    เรื่อง สัมผัส รับรู้ พลังงานได้...จึง เป็นอีกสิ่งหนึ่ง...ที่ ต้องเรียนรู้

    มันถึงจะเข้าใจในเรื่องของ กฏแห่งกรรมว่า เป็นจริง มีจริง ไม่เถียงใครได้อีก แต่จะเชื่อ ด้วยตัวเองว่า...กรรมมีจริง ผลของกรรม มีจริง

    และเรื่องการสัมผัสพลังงานนี้ ผม ก็ สามารถ ถ่ายทอด กับคนอื่นได้
    ผมเคยถ่ายให้ลูก...ตอนแรก จะ สามารถ สัมผัส พลังงาน หรือ ลมปราณนี้ ด้วย ผ่ามือ ทั้งสอง...จากนั้นค่อยพัฒนา ไปส่วนอื่นๆของร่างกาย แล้วแต่ใคร
    จะฝึกฝนต่อไป
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พ้นมาจาก ความจำได้ ใน สัญญาขันธ์ครับ
    ก็ ตอนแรก มันโละทิ้งหมดเลย ไม่เหลืออะไร ไง ...เข้าใจคำว่า ตายมั้ยครับ
    ที่ผมว่า มันไม่สนสิ่งใด มันก็มีแค่ กาย ที่เหลืออยู่ รอวันตายเท่านั้น...อิอิ

    ตอนที่ ถึงที่สุด เมื่อจิต อนัตตาไป...มันหมดสิ้นทุกสิ่งไง
    ที่สุดของรู้ ที่สุดของอยาก ที่สุดของสงสัย ที่สุดของคิด ที่สุดของอัตตาตัวตน....มันเหมือน...คนตายครับ ....

    ไม่กินอะไร ..ไม่อาลัยอาวรณ์อะไร...จริงๆ
    ก็เพราะมีอาจารย์ ที่เจียงใหม่ มาช่วยแก้ไง..ผมถึงมาเปฌนผม ทุกวันนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...